มหาภัยพิบัติ 7 วันล้างโลก 📍ตอนที่ ๒ ครอบครัวของฉัน📍


ราตรี



ตะวัน

รัตติกาล’ ‘ทิวากาล’ เป็นชื่อที่พ่อกับแม่ตั้งให้พวกเรามาตั้งแต่เกิด ฉันมีน้องสาวฝาแฝด ที่ต่างกันมาก เราสองคนนั้นต่างกันทั้งนิสัยใจคอ สังคมเพื่อนรอบด้าน และหน้าตา ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็นฝาแฝดกันก็ตาม แต่ด้วยความที่มีลักษณะบุคลิกภายนอกไม่เหมือนกัน เลยทำให้เวลาออกไปไหนด้วยกัน คนอื่นมักจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเราเป็นแฟนกันเสมอ

น้องของฉันมักจะชอบใช้ฉันเป็นไม้กันหมาให้ เวลาที่มีสาวๆ เข้ามาจีบมัน แต่ไม่ว่าใครเจอฉันเข้าไปก็จอดทุกราย อาจเป็นเพราะบุคลิกของฉัน จึงมักจะทำให้คนรอบข้างกลัว แค่ฉันมองหน้าและพูดออกไป สาวๆ พวกนั้น ก็เผ่นแน่บหนีกันไปหมด บางครั้งฉันก็คิดว่าหรือฉันควรจะสลับร่างกับน้องของฉันดี เพราะฉันดูเป็นสาวห้าวไปเลย บางทีผู้หญิงบางคนยังหลงเข้ามาจีบฉัน ทั้งๆ ที่ฉันชอบผู้ชาย ฉันเองก็งงตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าสรุปแล้วฉันไม่เหมือนผู้หญิงตรงไหน?

ทั้งๆ ที่ฉันไว้ผมยาว มีตูด มีนม ทรวดทรงองค์เอวก็มี หุ่นไม่ได้ต่างจากผู้หญิงทั่วไปเลย ถ้าให้คะแนนเต็มสิบ ฉันก็ว่าฉันคงได้สักเจ็ด ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมของฉันมีสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยไปถึงกลางหลัง ใบหน้าของฉันเรียวเล็กทรงรูปไข่ มีตาสองชั้นดวงตากลมโตสวย แต่ทุกคนที่พบเห็นมักบอกว่าฉันตาดุ จมูกโด่งรั้นรับกับใบหน้า ตัวของฉันสูงโปร่งเพรียวลม แม้แต่น้องสาวฝาแฝดของฉันก็ยังไม่สูงเท่า

ฉันเป็นผู้หญิงที่มีเสียงทุ้มใหญ่ ขนาดน้องของฉันที่เสียงคล้ายกัน ก็ยังมีเสียงแหบและใหญ่ไม่เท่าฉัน เวลาฉันพูดออกมาเลยดูเหมือนพูดกระโชกโฮกฮาก เพราะชอบพูดเสียงดังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยทำให้คนรอบข้างไม่ค่อยชอบ บวกกับเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าหาใครก่อน จึงทำให้มีเพื่อนน้อยและเข้ากับคนอื่นได้ยาก

ถ้าหากเป็นคนที่ไม่รู้จัก ก็มักจะกลัวหรือไม่ชอบฉัน เพราะคิดว่าผู้หญิงคนนี้ เป็นคนที่นิสัยไม่น่าคบหา และไม่เป็นมิตรเอาซะเลย แต่ถ้าเป็นคนที่สนิทหรือรู้จักกันแล้ว จะรู้ว่าเป็นเพียงแค่บุคลิกภายนอกของฉันเท่านั้น จริงๆ แล้ว ฉันไม่มีอะไรเลย แถมยังเป็นคนพูดมากเสียด้วยซ้ำ

พวกเราทั้งคู่ยังมีความแปลกอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ฉันมักจะเป็นคนที่โชคดี หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ ดวงดีนั่นเอง ตลอดทั้งชีวิตของฉัน มักจะเจอเรื่องราวแปลกๆ หรือผ่านเรื่องราวที่ไม่ดีมามากมาย มีหลายครั้งที่คิดว่า เรื่องราวพวกนั้นมันเลวร้ายเกินไปหรือเปล่าสำหรับฉัน ฉันไม่น่าจะรับมันไหวแล้วด้วยซ้ำ ฉันคงผ่านมันไปไม่ได้แน่ๆ แต่ไม่รู้ทำไม ฉันถึงสามารถผ่านมันมาได้อย่างง่ายดายทุกที จนบางครั้งก็คิดว่า กูผ่านมันมาได้ยังไงวะ?

ซึ่งมันช่างต่างจากชีวิตของน้องสาวฝาแฝดของฉันโดยสิ้นเชิง ที่มันมักจะโชคร้ายหรือเป็นคนดวงไม่ค่อยดี เมื่อไหร่ที่เจอเรื่องราวแย่ๆ น้องของฉัน มันก็มักจะได้รับผลกระทบจากเรื่องราวนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ ก็จะสร้างบาดแผลเหวอะหวะให้กับน้องสาวของฉันเสมอ จนบางทีมันก็คิดว่า สิ่งที่มันได้เจอและได้รับนั้น อาจจะเป็นการรับเคราะห์กรรมแทนฉัน ที่โชคดีมาตลอดก็เป็นไปได้ และฉันจะบอกว่า…

ฉันมีสัมผัสที่หก!! ฉันสามารถมองเห็นวิญญาณได้ และมักจะฝันเห็นเรื่องราวแปลกๆ อยู่บ่อยครั้ง หรือบางเหตุการณ์ที่ฝันนั้น ก็มักจะเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง ส่วนน้องของฉันมันไม่สามารถที่จะมองเห็นวิญญาณได้ แต่กลับสามารถเชื่อมโยงกับฉันได้ทางความฝัน มันมักจะฝันเห็นในบางเหตุการณ์ที่ฉันฝัน หรือฝันเห็นเรื่องราวที่คล้ายๆ กัน

จากการฝันที่เชื่อมโยงกัน น้องของฉันมันเลยมักจะฝันถึงบุคคลหรือสิ่งที่ฉันนั้นสัมผัสได้เสมอ ฉันเป็นแฝดคนพี่ มีชื่อว่า รัตติกาล หรือเรียกว่า ราตรี ที่แปลว่า เวลากลางคืน

ส่วนน้องสาวฝาแฝดของฉันนั้น มีชื่อว่า ทิวากาล หรือเรียกว่า ตะวัน ที่แปลว่า เวลากลางวัน มันชอบไว้ผมสั้น ตัดผมทรงรองทรงสูงเปิดข้าง เจ้าตัวนั้นนิยมชมชอบหญิงสาว ขาว สวย ตัวเล็ก ขาเรียว ซึ่งรสนิยมต่างจากฉันโดยสิ้นเชิง บอกแค่นี้ก็น่าจะพอรู้แล้วว่า น้องของฉันมันร่างเป็นหญิงแต่ใจเป็นชาย น้องของฉันมีใบหน้าเรียวเล็กทรงรูปไข่ มีตาสองชั้นดวงตากลมโตสวยไม่ต่างจากฉัน แต่ติดที่ว่าหน้ามันหวานมากกว่า จมูกนิด ปากหน่อย อีกทั้งยังมีนิสัยร่าเริง พูดเก่งและเป็นมิตร จึงทำให้มันเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะและยังเข้ากับคนอื่นได้ง่าย

ด้วยความที่ไม่เหมือนกันในหลายๆ อย่าง จึงทำให้พวกเรามักจะทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ แต่ด้วยวัยเดียวกันและเหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง จึงทำให้พวกเราสนิทและรักกันมาก

พ่อของเรามักจะสอนให้พวกเราทั้งคู่นั่งสมาธิและสวดมนต์ตั้งแต่เด็กจนโต เพราะพ่อของพวกเรานั้น ก็มีสัมผัสที่หกเหมือนกัน ซึ่งท่านมีเซนส์ที่แรงกว่าฉันเสียด้วยซ้ำ ท่านจึงมักจะสอนลูกๆ ให้สวดมนต์ ไหว้พระ และนั่งสมาธิ อยู่เสมอ

พ่อชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ตนเคยพบเจอมา ให้ฉันและน้องได้ฟังอยู่บ่อยๆ พ่อบอกว่าการสวดมนต์ไหว้พระเป็นเรื่องที่ดี ทำให้สิ่งที่ไม่ดีหรือสิ่งชั่วร้ายไม่สามารถทำอะไรเราได้ เพราะจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองเราอยู่ จึงทำให้พวกเราเชื่อในเรื่องราวเร้นลับ และเคารพนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!” เสียงเคาะประตูห้องของฉันดังขึ้น

ราตรี! เสร็จหรือยัง จะสายแล้วนะ

เสร็จแล้ว! เสร็จแล้ว! แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวออกไป” ฉันหันมามองกระจก เช็กความเรียบร้อยเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จ ก็รีบหยิบกระเป๋าสะพายข้าง ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเดินออกไปจากห้องทันที มองไปเห็นน้องของฉันกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร

ช้าจังวะ! เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก” ฉันเดินเข้าไปยืนข้างๆ น้องของฉันและหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอบอกเป็นเวลา หกโมงสิบห้านาที

ทันอยู่! ทันอยู่! นั่งมอเตอร์ไซค์ไป แป๊บเดียวก็ถึง” ฉันบอกแล้วเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็น เดินมานั่งดื่มข้างๆ น้องของฉัน

วันนี้เป็นวันครบรอบห้าปี ที่พ่อกับแม่ของพวกเราได้จากไป เราสองคนพี่น้องจะไปไหว้พระทำบุญทุกๆ ปี ปีนี้ก็เช่นกัน เรื่องราวผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่พวกเราก็ยังคงคิดถึงพ่อกับแม่อยู่เหมือนเดิมเสมอ นึกถึงวันที่พวกเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุข

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน พวกท่านจากเราไปไวมาก ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นวันครบรอบวันเกิดของเราสองคนพี่น้อง อายุครบ 23 ปี และเป็นวันที่พวกเราทั้งคู่ได้รับใบปริญญา มันควรจะเป็นวันที่พวกเราควรจะมีความสุขที่สุด แต่วันนั้นกลับเป็นวันที่พวกเราเสียใจมากที่สุดในชีวิต

เมื่อได้รับข่าวร้ายผ่านทางโทรศัพท์ว่า พ่อกับแม่ของพวกเรา เสียชีวิตขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านมาหาพวกเรา ตามที่ได้นัดกันเอาไว้ว่า ตอนเย็นจะมาเลี้ยงฉลองด้วยกันที่บ้าน ในรถนั้นยังมีถุงขนมเค้กวางอยู่บนเบาะหลังรถอยู่เลย พอพวกเรารู้ ก็เสียใจมาก และได้แต่โทษตัวเองว่า ถ้าไม่ใช่เพราะไปเอาเค้กวันเกิดให้พวกเรา เหตุการณ์นี้ก็คงไม่เกิดขึ้น แต่พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ทำได้แค่นั่งกอดกันร้องไห้ที่หน้าห้องฉุกเฉินจนถึงเช้า ตั้งแต่วันนั้นมาพวกเราทั้งคู่ก็ไม่เคยฉลองงานวันเกิดอีกเลย

หลังจากมาถึงวัด พวกเราก็ไปไหว้พระและทำสังฆทานให้พ่อกับแม่ เมื่อเสร็จแล้วก็เดินไปหาพวกท่านทั้งสอง ที่อัฐิสถานกัน เพราะจะเอาดอกไม้กับน้ำมาเปลี่ยนให้พวกท่าน

พอไปถึงฉันก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านมันเย็นขึ้น เนื้อตัวของฉันมันเย็นไปหมด แต่เหงื่อนั้นกลับซึมไหลออกมาไม่หยุด ใจมันหายแว็บ สั่นๆ หวิวๆ ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา มองไปรอบด้าน ก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากต้นไม้และอัฐิสถานที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

“พ่อกับแม่สบายดีนะคะ” ฉันมองไปที่ป้ายรูปหินอ่อน แล้วส่งยิ้มไปให้กับพวกท่านทั้งสอง

น้องของฉันเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ แล้วบีบมือของฉันเอาไว้แน่น ฉันหันไปมอง เห็นน้องของฉันมันเม้มปากเอาไว้แน่นจนเป็นเส้นตรง จ้องมองไปที่ป้ายรูปหินอ่อนของพวกท่าน ด้วยดวงตาที่แดงก่ำและคลอเต็มไปด้วยน้ำตา ฉันเข้าใจความรู้สึกของมันดี ว่าเป็นยังไง ฉันรู้ เพราะพวกเรายังคงเสียใจกับเรื่องราวที่ผ่านมา และยังคงคิดว่าเป็นเพราะความผิดของพวกเรา คิดว่าคงจะไม่มีวันหาย ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

“ไม่ได้มานานเลย หญ้ารกขึ้นเยอะ ตะวันเอาทิชชูเปียกกับผ้าไปเช็ดป้ายหินอ่อนไป” ฉันพูดเพื่อทำลายบรรยากาศอันแสนหดหู่นี้ แล้วย่อตัวลงไปดึงพวกหญ้าที่ขึ้นรกปกคลุมไปทั่ว และเก็บขยะที่ถูกวางทิ้งไว้ เอาไปทิ้งที่ถุงดำที่วางอยู่ไม่ไกล

“ราตรี เดี๋ยวกูมานะ กูเอาแจกันไปล้างกับเปลี่ยนน้ำก่อน” ฉันพยักหน้ารับ แล้วเอาดอกไม้ช่อใหม่กับขวดน้ำออกมาจากถุง เปิดฝาขวด เอาวางไว้ที่หน้าป้ายหินอ่อน

“ตอนนี้พ่อกับแม่ไปอยู่ที่ไหนกันนะ มีความสุขดีรึเปล่า ตั้งแต่จากไปก็ไม่เคยมาหาพวกเราเลย ใจร้ายกันจังเลยนะคะ” ฉันพูดออกไปอย่างตัดพ้อ รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตน

ขณะที่จ้องมองไปที่รูปบนป้ายหินอ่อนอยู่นั้น อยู่ดีๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนมีลมวูบหนึ่งพัดผ่านตัวของฉันไป ฉันมองไปรอบด้าน เพื่อมองหาพวกท่านทั้งสอง แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย เหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันสามารถมองเห็นดวงวิญญาณได้ เห็นมาก็มากมาย แต่ทำไมทีกับพ่อแม่ของฉัน ฉันถึงไม่สามารถมองเห็นพวกท่านได้เลย

ตั้งแต่พวกท่านจากเราไป ฉันก็ไม่เคยเจอพวกท่านเลยสักครั้ง เราไม่ได้ร่ำลากันเลยสักคำ ฉันมีคำถามมากมายที่อยากจะถามพวกท่าน แต่ฉันก็ไม่สามารถทำได้ ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมฉันถึงมองไม่เห็นพวกท่าน

“ราตรี เอาดอกไม้มานี่” น้องของฉันเดินถือแจกันเข้ามาหา แล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมารับช่อดอกไม้จากมือของฉัน เอาไปใส่แจกันที่อยู่ในมือ แล้วเอาไปวางไว้ที่หน้าป้ายหินอ่อนของพ่อกับแม่

เมื่อพวกเราจัดการสิ่งของต่างๆ ตรงหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็หันไปมองที่รูปของพ่อกับแม่ บนป้ายหินอ่อนนั้น และนั่งคุกเข่าลง

พ่อกับแม่สบายดีไหม วันนี้พวกเรามาเยี่ยมนะ ตะวันคิดถึงพ่อกับแม่มาก ตะวัน…ขอโทษ ที่ทำให้พ่อกับแม่เป็นแบบนี้ ตะวันเสียใจจริงๆ ถ้าพ่อกับแม่หายโกรธพวกเราแล้ว มาเข้าฝันตะวันหน่อยนะ หรือมาหาราตรีก็ได้ พวกเราสองคนอยากเจอพ่อกับแม่มากจริงๆ พ่อกับแม่มาหาพวกเราหน่อยสิ ทำ…ไม ทำไมถึงไม่มาหาพวกเราเลยล่ะ พ่อกับแม่ไม่รักพวกเราแล้วเหรอ เพราะพวกเราใช่ไหม…พ่อกับแม่…ถึง…ไม่มาหาพวกเราเลย” น้องของฉันพูดออกมาเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ เสียงที่เปล่งออกมาเบาหวิวราวกับกระซิบ แต่ฉันกลับได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ มันยังคงดังก้องอยู่ในหูของฉัน นั่นสินะ หรือพ่อกับแม่จะโกรธพวกเราจริงๆ

ฉันกับน้องยังคงมองไปที่รูปของพวกท่านทั้งสอง ตอนนี้ได้แต่นั่งนิ่งและจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง นึกถึงเรื่องราวในวันวาน วันที่พวกเราเคยมีความสุขด้วยกัน เรื่องดีๆ พวกนั้น มันพังทลายลงไปเพราะพวกเรา ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้น นั่งอยู่อย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว มารู้สึกตัวอีกทีขาทั้งสองข้างของฉันก็ชาไปหมด จนขยับแทบไม่ได้ ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก แล้วหันไปมองที่น้องของฉัน ที่ยังคงนั่งอยู่เหมือนเดิมไม่ต่างไปจากฉันสักเท่าไหร่

พ่อแม่ราตรีกลับก่อนนะ แล้วปีหน้าพวกเราจะมาหาใหม่ ปะตะวัน กูว่าเรากลับกันเถอะ นี่ก็นานมากแล้ว” ฉันบอกและยกมือขึ้นไปแตะที่ไหล่ของน้องฉัน เพื่อเรียกให้มันรู้สึกตัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน น้องของฉันที่ได้ยิน ก็พยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน ช่วยกันเก็บของแล้วเดินตามฉันออกมา

“ราตรี ไม่เห็นพ่อกับแม่บ้างเลยเหรอ” น้องของฉันยังคงถามคำถามเดิมๆ เหมือนทุกปี เมื่อพวกเราพากันเดินออกมาจากตรงนั้น ฉันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญาที่จะตอบเหมือนกัน ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากเจอพ่อกับแม่นะ ฉันก็อยากเจอพวกท่านทั้งสองเหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อมันไม่เห็นจริงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่