เป็นมือใหม่นะคะ และนี่คือกระทู้แรก
แนะนำเราได้นะคะ ขอเริ่มเรื่องเลยนะคะ^^
เรื่องมีอยู่ว่า เรากับแฟนเราคนนี้ เราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน จนกระทั่งได้มาคบกัน
* ซึ่งในระหว่างที่เราคบกัน เราจับได้ว่า เค้าก็ติดต่อแฟนเก่าอยู่ตลอด เราคุยกับเค้า เค้าก็ไม่ยอมเลิกคุยกัน ซึ่งทางแฟนเก่าเค้าก็มีแฟนใหม่แล้ว จนวันที่เราหมดความอดทนเราเลยขอเลิก ซึ่งเค้าก็ขอโอกาสอีกครั้งค่ะ
ใช่....ค่ะ เราใจอ่อน เราเลยให้โอกาส
.....และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดค่ะ
การกลับมาครั้งนี้ ทำให้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนไปแบบสุดๆ เดิมที่เราทำงานเป็นพิธีกรอยู่ช่องนึงในขณะนั้น ซึ่งเราเคยทำทั้งพริตตี้ และเป็นเอ็มซี พิธีกรตามงานต่างๆ ใช่ค่ะ อนาคตเราขยับไปข้างหน้าเรื่อยๆ ชีวิตกำลังดี
จนมีอยู่วันนึงเราได้งานยาวต่างจังหวัดค่ะ เราก็ขับรถไปงานอีเว้นนึงที่จังหวัดโคราชค่ะ เราทำงานทุกวันค่ะ รับงานตลอดไม่เคยปัดงานเลย ทำงานมาตลอด จนวันนึงที่เรารู้สึกแปลกๆเราทำงานด้วยความรู้สึกทีเราเพลียมาก หิวตลอดเวลา หงุดหงิด เวียนหัว และที่สำคัญ!!ประจำเดือนไม่มาค่ะ
วันนั้น เราสงสัยว่าจะเราท้องรึป่าว เราเลยคุยกับแฟน ว่าเรารู้สึกว่าเราจะตั้งท้องก็ได้นะเดี๋ยว เราจะตรวจครรภ์พรุ่งนี้เช้าดูอีกที เพื่อความชัวร์ ซึ่งตอนนั้นแฟนดีใจมากค่ะ บอกว่าส่งผลตรวจมาเมื่อไหร่จะส่งลงไลน์กลุ่มครอบครัวเลย เราก็ไม่ได้หนักใจอะไร ด้วยวัยที่ใกล้ 30 แล้ว ประกอบกับหน้าที่การงานที่มีอยู่ กับเงินเก็บ เราทำงาน เค้าทำงาน เราคิดค่ะ ยังไงก็รอดแน่นอน
***จนกระทั่งเรามาตรวจครรภ์ ตอนตีสี่ สรุปท้องตามคาดค่ะ เราส่งบอกแฟนเราทันที แฟนเราตอนแรกพูดด้วยน้ำเสียงดีใจให้เราดูแลตัวเองดีๆ ทุกอย่างดูจะราบรื่นค่ะ จนกระทั่งสายๆเราโทรหาเค้าปกติ ซึ่งเค้าก็รับสาย นั่นหล่ะค่ะ น้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
**คำพูดที่ดูกังวล อีกทั้งเค้าบอกว่าไม่กล้าที่บ้าน แน่นอนค่ะ เราทะเลาะกันยกใหญ่ และเค้าบอกว่าเค้าปรึกษาแฟนเก่าค่ะ เราอึ้งมากก ทำอะไรไม่ถูกค่ะ เราได้แต่ถามย้ำๆว่าเค้าจะเอายังไง จะรับผิดชอบมั้ย แน่นอนค่ะ เค้าไม่รับผิดชอบ!!!! และคำพูดที่ได้ฟังจากปากเค้าคือ เค้าโทษว่าเป็นความผิดเรา ในระหว่างนั้นเรากลับมาที่กรุงเทพค่ะ เราก็ส่งข้อความกับโทรคุยกันตลอดกับเรื่องที่เกิดขึ้น เค้าบอกให้เราเก็บเป็นความลับค่ะ ห้ามบอกที่บ้านเค้า และไม่ให้บอกที่บ้านเรา ซึ่งใครจะปิดได้คะ
**เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เค้าบอกว่าเค้าจะดูแลเราเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้แม้แต่เพื่อนรอบตัวเรา. เรางงค่ะ เราสับสนมาก และแน่นอนค่ะเราเลือกที่จะปฏิเสธความคิดเค้าที่จะให้เราทำค่ะ จนกระทั่งเค้าบอกว่าถ้าให้ที่บ้านเค้ารู้ เค้าจะเอาแค่ลูก แต่ไม่รับผิดชอบเราค่ะ เราได้แต่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นค่ะ ในระหว่าที่เราคุยๆกัน เค้าไม่เคยมาหาเราเลยค่ะตั้งแต่เกิดเรื่อง เราตัดสินใจบอกที่บ้าน และเลิกยุ่งกับเค้าในทันทีค่ะ เราอุ้มท้องไปหาหมอคนเดียว
...... โดยมีครอบครัวให้กำลังใจค่ะ จนกระทั่งเราทำงานเลี้ยงลูก โดยมีที่บ้านช่วยเลี้ยงด้วยค่ะ เวลาผ่านไปจนลูกอายุได้ 2 ขวบกว่าๆ เราถึงจะมีเวลาไปเข้าวัดบวชชีพราหมณ์ค่ะ (ในระหว่างนั้นเราไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราให้เพื่อนๆรู้เลยค่ะ เราเลือกที่จะเงียบและเก็บทุกอย่างไว้ไม่ติดต่อกับเค้าอีก )
......หลังจากเราบวชเสร็จ เราโล่งค่ะ เรารู้สึกว่าอยากให้อภัยเค้าค่ะ (พ่อของลูก) เราเลยทักเฟซเค้าไปค่ะ หลังจากนั้นเราได้คุยกับเค้า เรายกโทษให้หมดค่ะ ขอให้ชีวิตเค้าหลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ
#แน่นอนค่ะตอนนั้นเราเพิ่งได้รู้ว่าชีวิตเค้างานหด เพราะ โควิดค่ะ อ่อเค้าติดการพนันด้วยค่ะ เค้าบอกนะคะ ว่าเค้ามีเท่าไหร่ก็เอาไปเล่นหมด เราได้แต่บอกว่าเลิกซะ แล้วเริ่มต้นใหม่ค่ะ ใช่ค่ะเค้าอยากเริ่มต้นใหม่กับเราอีกครั้ง !!
(ให้โอกาสได้มั้ย ).....เราลังเลค่ะ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเราไม่เคยคบกับใครอีกเลยเพราะเราห่วงลูกค่ะ กลัวผู้ชายและที่บ้านผู้ชายจะรับผู้หญิงลูกติดไม่ได้ เราอายค่ะ และไม่อยากทำให้ใครลำบากใจและตัวเองต้องมานั่งกังวลเราเลือกที่จะโสดใช้ชีวิตกับลูกค่ะ
***จนกระทั่งเค้าขอโอกาส เราก็ให้โอกาสเค้านะคะ เริ่มกลับมาคุยกัน เรียนรู้กันใหม่ค่ะ แน่นอนค่ะเราไม่ไว้ใจในตัวเค้าเท่าไหร่ค่ะ ระแวงไปหมด เช็กโทรศัพย์เค้าตลอดจนรู้ว่าเค้ามีคุยๆกับรุ่นพี่คนนึง ไปนอนข้างที่บ้านคนๆนี้ แต่เค้าบอกว่านอนข้างห้องลูกชายเค้า เราเจอแชทที่คุยในเชิงหยอดกันค่ะ รุ่นพี่ผู้หญิงส่งรูปตัวเองให้เค้าค่ะ แฟนเราก็ชมปนหยอดค่ะ เราจับได้ค่ะ เราบอกให้เลิกติดต่อกัน เค้าบอกเค้าทำไม่ได้เพราะช่วงที่เค้าติดพนัน เค้ายืมเงินจากรุ่นพี่คนนี้เยอะค่ะ ประมาณ เกือบๆ3แสนค่ะ @,@
****แต่ยีมหลายครั้งนะคะ โดยเค้าไม่ได้บอกเหตุผลข้ออ้างในการขอยืมเงินมาค่ะ เราได้คุยกับเค้าจริงจังค่ะ เค้าติดเงินรุ่นพี่อยู่หลายคนมากๆค่ะ จำนวนหลักหมื่นค่ะ แต่มีรุ่นพี่คนนี้คนเดียวที่ร่วม 3 แสนค่ะ เราก็บอกเค้าให้หางานทำแล้วใช้หนึ้ทุกคนซะ
****แน่นอนค่ะผลกระทบโควิดทำให้งานขับรถรับนักท่องเที่ยวต้องชะงักและหยุดตัวลงค่ะ เค้าไม่มีงาน ไม่มีเงิน เราให้เค้าค่ะ ช่วยเค้าผ่อนรถที่เค้าเคยซื้อตอนทำงานกับแฟนเก่าเค้า
(คือตอนที่เราเลิกกันเค้าก็ไปคบแฟนคนใหม่ค่ะที่ทำงานในสายงานเดียวกันค่ะ)
**ขอข้ามเรื่องแฟนเก่าคนนี้เลยนะคะ **
****ตอนนี้ที่บ้านเค้ารับรู้ค่ะว่า เค้าทำเราท้องและทิ้งเราไป เค้าบอกเรื่องลูกเรื่องเราค่ะ เราก็บอกที่บ้านค่ะว่าเราให้โอกาสเค้าอีกครั้ง ซึ่งที่บ้าน เรารู้ค่ะว่าเค้าต้องห่วงแน่นอนค่ะ แต่ที่บ้านเราเค้าก็อยากให้เรามีครอบครัวที่สมบูรณ์ และอยากให้ที่บ้านของทั่งสองฝ่ายมาคุยกันผูกข้อไม้ข้อมือ ตอนนั้นด้วยที่เค้าตกงานไม่มีเงิน มีแต่หนึ้เราเข้าใจค่ะ ก็เลยรอเวลาก่อน ทำแค่ให้เค้าเข้าไปขอขมาพ่อกับพี่ชายเราค่ะ แค่นั้น !!
***พ่อเราก็บอกแค่ว่าพร้อมเมื่อไหร่ให้เอาครอบครัวมาคุยแต่อย่านานนะ
( จากวันนั้นจนวันนี้ 1 ปี กับอีก1เดือนค่ะ เค้าไม่เคยเอาครอบครัวเค้ามาคุยเรื่องผูกข้อไม้ข้อมือเลย) T T
***เราก็ได้แต่รอค่ะ จนเมื่อไม่นานที่ผ่านมาค่ะ เค้ากลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะพ่อเค้าล้มต้องใส่เฝือกอ่อนไม่มีคนดูแล เค้าเลยกลับไปอยู่บ้านค่ะ จนกระทั่งพ่อเค้าหายดีแล้ว เค้าก็ยังคงอยู่ที่บ้านเค้าค่ะ ไม่มาอยู่ด้วยกันอีกเลย **ในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ค่าที่อยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราออกค่ะ ตอนนั้นเค้าเริ่มทำงานกับพี่ชายเราไม่นาน ได้เงินเดือน 15,000 จนสองเดือนผ่านมาได้20,000 ค่ะ เราเงินเยอะกว่าเราเลยไม่ซีเรียสคิดว่าช่วยได้ก็ช่วยกันไปค่ะ ^^
มาต่อค่ะ....เค้าก็มาหาเราบ้างนะคะ แต่ทุกครั้งที่มาพี่สาวเค้าจะโทรตามเค้า หรือโทรหาเราเพื่อถามว่าเค้าจะกลับบ้านมั้ย เป็นแบบนี้ทุกครั้งค่ะ
**เล่ามาถึงจุดนี้ซักที^^ ยาวหน่อยนะคะ
จนมามีอยู่วันนึงค่ะ เค้าไม่สบายเค้ามีอาการตัวร้อนค่ะ เค้าบอกว่าเค้าจะมาหาเราให้เราช่วยสวอปตรวจเชื้อให้หน่อย เราคิดว่าเค้าคงระแวงค่ะ เลยบอกว่าได้!!
เย็นวันนั้นเค้ามาที่คอนโดเราค่ะ ตอนนั้นตัวเขาเริ่มร้อนมากค่ะ แต่สวอปตรวจแล้ว
#ไม่พบเชื้อค่ะ#
เค้าขึ้นมาที่ห้องเราให้เราอุ่นข้าวต้มให้หน่อยจะขอกินยา พอมาถึงห้องเค้าก็นอนก่อนเลยค่ะ เกือบชั่วโมงอาการเค้าเริ่มแย่ลง มีไข้ 38.6 ไข้เริ่มสูงค่ะ ตอนนั้นเค้าไม่กล้าโดนตัว
(ซึ่งเราคิดว่าถ้าเราจะติดก็คงติดตั้งแต่ไปสวอปตรวจเชื้อให้เค้าละหล่ะ) (--!)
......และแน่นอนเราไม่เห็นพี่สาวเค้าโทรมาเราเลยถามเค้าค่ะว่าพี่เธอไม่โทรมาหร๋อ? เค้าบอกว่าเค้าส่งข้อความบอกแล้ว พี่สาวเค้าไม่ให้กลับบ้านให้นอนคอนโดค่ะ. จ่ะ (@,@)
***เราก็ได้แต่อึ้งค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ เราเช็ดตัวให้เค้าตลอดทั้งคืนค่ะ กินยาลดไข้ๆทุก4 ชั่วโมงค่ะ ไข้ไม่ลดแต่ไม่สูงขึ้นค่ะ
เค้าได้แต่ ขอโทษ เราตลอดสลับกับ ขอบคุณ T T
****จนกระทั่งตอนเช้า พี่สาวเค้าโทรหาเราค่ะ ถามถึงอาการเค้า และถามเราว่ารู้มั้ยว่าเพื่อนเค้าคนไหนที่ติดโควิด เพราะเค้าเล่าให้พ่อเค้าฟังก่อนมาหาเราค่ะ เราอึ้งมากเพราะเค้าไม่ได้เราเลยว่าเค้าไปใกล้ชิดเพื่อนที่ติดโควิดมาค่ะ เราเลยถามเค้าค่ะว่า เพื่อนเค้าคนไหนที่ติดโควิด เค้าตอบมาค่ะ. และแน่นอนเพื่อนคนนั้นเค้าเพิ่งใกล้ชิดมาค่ะ
**(ต้องขอบอกก่อนนะคะว่าลูกเราอยู่กับป้าและอาเราค่ะ ไม่ได้ออกข้างนอกและไม่ได้อยู่กับเราเพราะเราต้องทำงานข้างนอกเจอคนกลัวจะได้รับเชื้อและอันตรายเลยต้องห่างกันก่อนค่ะ)
....มาต่อกันต่อค่ะ
...?เราได้แต่ถามเค้าว่า...ทำไมเค้าตัวร้อนเค้าถึงมาหาเรา ? เค้าบอกว่าเค้ากลัวพ่อเค้าติดค่ะ แต่เค้าก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นโควิดนะ ........ เค้าเงียบแค่นั้น หลังจากพูดจบ เราไม่ได้ถามต่อ เราคิดว่าเรารู้ค่ะ ว่าเค้ารู้ว่าตัวเองเสี่ยง แต่ไม่รู้จะไปพักที่ไหน เพราะไปที่บ้านพ่อเค้าก็อายุมาก กลัวไปติด!!
บทสนทนาเรากับพี่สาวเค้ายังมีต่อ...
** พี่สาวเค้าบอกให้เอายาจีนที่มีสรรพคุณต้านโควิดให้เค้ากินและให้เรากินด้วย เช้า กลางวัน เย็น. และไม่ให้เค้ากลับบ้านอยู่ที่คอนโดไปก่อน บอกเรายังไม่ต้องไปหาลูก (@,@)
ตอนนั้นงงมากค่ะ เค้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งเรา
-แต่ว่าตอนนั้นอาการเค้ายังทรงๆค่ะ ไข้เริ่มลดเล็กน้อย
จนกระทั่งมาตอนเย็นค่ะ อาการไข้เริ่มกลับมาสูงอีก เราเลยส่งข้อความบอกพี่สาวเค้า!!!
พี่สาวเค้าบอกให้พาไปโรงบาลเลย แล้วบอกว่าเป็นไข้เลือดออก!!!
ถึงตรงนี้....บอกเลยค่ะ ว่าบ้าไปแล้ว!!! ทุกคนรักชีวิต จะให้เราทำแบบนั้นเราทำไม่ได้ค่ะ เราไม่รู้เลยว่าที่ตรวจของเราได้มาตรฐานแค่ไหน กับการไม่พบเชื้อ แต่มีไข้สูงและสุ่มเสี่ยง เพราะใกล้ชิดผู้ป่วยโควิดมา. เราไม่ทำค่ะ
****เราปฐมพยาบาลเค้าด้วยวิธีต่างที่ทำให้ไข้ลด นึงในนั้นเราถามเค้าว่าได้ถ่ายรึยัง เค้ายอกว่ายังเราเลยจับสวนก้นค่ะ 555555. สรุปเค้าถ่ายค่ะ จากไข้สูงเกือบ 39 ค่อยๆลดลงจนเหลือ 35.9 ค่ะ เหงื่อเค้าเริ่มออกค่ะ อาการดีขึ้นค่ะ
โล่งละ เราคิดว่านะ ไม่น่าจะติดโควิด แต่น่าจะเป็นสาเหตุที่เค้าไปเล่นกีฬามาแล้วล้ม!! ค่ะ
แต่เรื่องโล่งใจอยู่ได้ไม่นานค่ะ เราดูอาการเค้าจนเที่ยงคืนว่าไม่มีไข้เราเลยไปนอนและตั้งนาฬิกาปลุกมาดูเค้าเป็นระยะๆ เราตั้งเวลาที่ ตี02.30 ค่ะ
**** แต่เราต้องตื่นก่อนเวลาเพราะอาการเค้าแย่ลงค่ะ เค้าปลุกเราด้วยอาการหนาวสั่นตอนตี2 มาพร้อมกับไข้สูงถึง 40 เราเลยจะพาเค้าไปที่โรงบาลค่ะ แต่ก่อนไปเค้าขอโทรหาพี่สาวเค้า ว่าจะไปโรงบาลนะ ไม่ไหวแล้ว (~,~) เราทำการสวอปอีกครั้งเพื่อความชัวร์ ครั้งนี้ #ไม่พบเชื้อ !!
...เราพาเค้าไปค่ะ สรุปหมอฉีดยาแก้ปวดเพราะหลังของเค้าคือแข็งมาก เจ็บมาก ขยับตัวทีเค้าก็ร้องลั่นเลยค่ะ.
....หลังจากกลับมาอาการดูเบาลง น่าจะเพราะยาที่ฉีดค่ะ แต่เค้าก็ยังเจ็บหลังอยู่แต่มีไข้อ่อนๆค่ะ กินยาไม่ดีขึ้น
พี่สาวเค้าโทรหาเรา ให้เราพาเค้าไปโรงบาลอีกครั้ง เราตกลงค่ะ เพราะเราเห็นเค้าได้รับผลข้างเคียงขอยาลดปวด คือ อาเจียน ใจสั่น มึนหัวค่ะ
***สรุปไปโรงบาลอีกครั้งตอน10โมงกว่าแต่ครั้งนี้พี่สาวเค้ามาค่ะ หมอบอกให้เจาะเลือด เพราะล้มไม่น่าจะมีไข้ แต่ต้องมีอะไรซักอย่างเลยเช็คเลือด สรุปเค้าติดเชื้อในกระแสเลือด !!
**อาจเป็นแผลที่ไปเล่นน้ำตกแล้วไม่ได้ล้างแผลให้สะอาด ประกอบกับล้มร่างกายเลยอ่อนแอง่าย
เค้ากินยาฆ่าเชื้ออยู่สองมื้อค่ะ หลังจากที่อาการเค้าดีขึ้นมากๆที่บ้านเค้าก็ให้กลับไปอยู่ที่บ้าน!!
ตอนนี้เราได้คิดค่ะ ว่าเค้าไม่ได้ห่วงเราเลย และครอบครัวเห็นแก่ตัวแบบนี้เราควรไปยังไงต่อดีคะ
***อยากเลิกแบบดีๆค่ะ เพราะส่วนตัวไม่ชอบการโกรธเกลียดอาฆาตใครเลยจริงๆ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
ถ้าเจอครอบครัวของแฟนเห็นแก่ตัว และแฟนไม่เป็นห่วงเราเลย จะไปต่อหรือพอแค่นี้?
แนะนำเราได้นะคะ ขอเริ่มเรื่องเลยนะคะ^^
เรื่องมีอยู่ว่า เรากับแฟนเราคนนี้ เราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน จนกระทั่งได้มาคบกัน
* ซึ่งในระหว่างที่เราคบกัน เราจับได้ว่า เค้าก็ติดต่อแฟนเก่าอยู่ตลอด เราคุยกับเค้า เค้าก็ไม่ยอมเลิกคุยกัน ซึ่งทางแฟนเก่าเค้าก็มีแฟนใหม่แล้ว จนวันที่เราหมดความอดทนเราเลยขอเลิก ซึ่งเค้าก็ขอโอกาสอีกครั้งค่ะ
ใช่....ค่ะ เราใจอ่อน เราเลยให้โอกาส
.....และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดค่ะ
การกลับมาครั้งนี้ ทำให้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนไปแบบสุดๆ เดิมที่เราทำงานเป็นพิธีกรอยู่ช่องนึงในขณะนั้น ซึ่งเราเคยทำทั้งพริตตี้ และเป็นเอ็มซี พิธีกรตามงานต่างๆ ใช่ค่ะ อนาคตเราขยับไปข้างหน้าเรื่อยๆ ชีวิตกำลังดี
จนมีอยู่วันนึงเราได้งานยาวต่างจังหวัดค่ะ เราก็ขับรถไปงานอีเว้นนึงที่จังหวัดโคราชค่ะ เราทำงานทุกวันค่ะ รับงานตลอดไม่เคยปัดงานเลย ทำงานมาตลอด จนวันนึงที่เรารู้สึกแปลกๆเราทำงานด้วยความรู้สึกทีเราเพลียมาก หิวตลอดเวลา หงุดหงิด เวียนหัว และที่สำคัญ!!ประจำเดือนไม่มาค่ะ
วันนั้น เราสงสัยว่าจะเราท้องรึป่าว เราเลยคุยกับแฟน ว่าเรารู้สึกว่าเราจะตั้งท้องก็ได้นะเดี๋ยว เราจะตรวจครรภ์พรุ่งนี้เช้าดูอีกที เพื่อความชัวร์ ซึ่งตอนนั้นแฟนดีใจมากค่ะ บอกว่าส่งผลตรวจมาเมื่อไหร่จะส่งลงไลน์กลุ่มครอบครัวเลย เราก็ไม่ได้หนักใจอะไร ด้วยวัยที่ใกล้ 30 แล้ว ประกอบกับหน้าที่การงานที่มีอยู่ กับเงินเก็บ เราทำงาน เค้าทำงาน เราคิดค่ะ ยังไงก็รอดแน่นอน
***จนกระทั่งเรามาตรวจครรภ์ ตอนตีสี่ สรุปท้องตามคาดค่ะ เราส่งบอกแฟนเราทันที แฟนเราตอนแรกพูดด้วยน้ำเสียงดีใจให้เราดูแลตัวเองดีๆ ทุกอย่างดูจะราบรื่นค่ะ จนกระทั่งสายๆเราโทรหาเค้าปกติ ซึ่งเค้าก็รับสาย นั่นหล่ะค่ะ น้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
**คำพูดที่ดูกังวล อีกทั้งเค้าบอกว่าไม่กล้าที่บ้าน แน่นอนค่ะ เราทะเลาะกันยกใหญ่ และเค้าบอกว่าเค้าปรึกษาแฟนเก่าค่ะ เราอึ้งมากก ทำอะไรไม่ถูกค่ะ เราได้แต่ถามย้ำๆว่าเค้าจะเอายังไง จะรับผิดชอบมั้ย แน่นอนค่ะ เค้าไม่รับผิดชอบ!!!! และคำพูดที่ได้ฟังจากปากเค้าคือ เค้าโทษว่าเป็นความผิดเรา ในระหว่างนั้นเรากลับมาที่กรุงเทพค่ะ เราก็ส่งข้อความกับโทรคุยกันตลอดกับเรื่องที่เกิดขึ้น เค้าบอกให้เราเก็บเป็นความลับค่ะ ห้ามบอกที่บ้านเค้า และไม่ให้บอกที่บ้านเรา ซึ่งใครจะปิดได้คะ
**เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เค้าบอกว่าเค้าจะดูแลเราเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้แม้แต่เพื่อนรอบตัวเรา. เรางงค่ะ เราสับสนมาก และแน่นอนค่ะเราเลือกที่จะปฏิเสธความคิดเค้าที่จะให้เราทำค่ะ จนกระทั่งเค้าบอกว่าถ้าให้ที่บ้านเค้ารู้ เค้าจะเอาแค่ลูก แต่ไม่รับผิดชอบเราค่ะ เราได้แต่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นค่ะ ในระหว่าที่เราคุยๆกัน เค้าไม่เคยมาหาเราเลยค่ะตั้งแต่เกิดเรื่อง เราตัดสินใจบอกที่บ้าน และเลิกยุ่งกับเค้าในทันทีค่ะ เราอุ้มท้องไปหาหมอคนเดียว
...... โดยมีครอบครัวให้กำลังใจค่ะ จนกระทั่งเราทำงานเลี้ยงลูก โดยมีที่บ้านช่วยเลี้ยงด้วยค่ะ เวลาผ่านไปจนลูกอายุได้ 2 ขวบกว่าๆ เราถึงจะมีเวลาไปเข้าวัดบวชชีพราหมณ์ค่ะ (ในระหว่างนั้นเราไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราให้เพื่อนๆรู้เลยค่ะ เราเลือกที่จะเงียบและเก็บทุกอย่างไว้ไม่ติดต่อกับเค้าอีก )
......หลังจากเราบวชเสร็จ เราโล่งค่ะ เรารู้สึกว่าอยากให้อภัยเค้าค่ะ (พ่อของลูก) เราเลยทักเฟซเค้าไปค่ะ หลังจากนั้นเราได้คุยกับเค้า เรายกโทษให้หมดค่ะ ขอให้ชีวิตเค้าหลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ
#แน่นอนค่ะตอนนั้นเราเพิ่งได้รู้ว่าชีวิตเค้างานหด เพราะ โควิดค่ะ อ่อเค้าติดการพนันด้วยค่ะ เค้าบอกนะคะ ว่าเค้ามีเท่าไหร่ก็เอาไปเล่นหมด เราได้แต่บอกว่าเลิกซะ แล้วเริ่มต้นใหม่ค่ะ ใช่ค่ะเค้าอยากเริ่มต้นใหม่กับเราอีกครั้ง !!
(ให้โอกาสได้มั้ย ).....เราลังเลค่ะ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเราไม่เคยคบกับใครอีกเลยเพราะเราห่วงลูกค่ะ กลัวผู้ชายและที่บ้านผู้ชายจะรับผู้หญิงลูกติดไม่ได้ เราอายค่ะ และไม่อยากทำให้ใครลำบากใจและตัวเองต้องมานั่งกังวลเราเลือกที่จะโสดใช้ชีวิตกับลูกค่ะ
***จนกระทั่งเค้าขอโอกาส เราก็ให้โอกาสเค้านะคะ เริ่มกลับมาคุยกัน เรียนรู้กันใหม่ค่ะ แน่นอนค่ะเราไม่ไว้ใจในตัวเค้าเท่าไหร่ค่ะ ระแวงไปหมด เช็กโทรศัพย์เค้าตลอดจนรู้ว่าเค้ามีคุยๆกับรุ่นพี่คนนึง ไปนอนข้างที่บ้านคนๆนี้ แต่เค้าบอกว่านอนข้างห้องลูกชายเค้า เราเจอแชทที่คุยในเชิงหยอดกันค่ะ รุ่นพี่ผู้หญิงส่งรูปตัวเองให้เค้าค่ะ แฟนเราก็ชมปนหยอดค่ะ เราจับได้ค่ะ เราบอกให้เลิกติดต่อกัน เค้าบอกเค้าทำไม่ได้เพราะช่วงที่เค้าติดพนัน เค้ายืมเงินจากรุ่นพี่คนนี้เยอะค่ะ ประมาณ เกือบๆ3แสนค่ะ @,@
****แต่ยีมหลายครั้งนะคะ โดยเค้าไม่ได้บอกเหตุผลข้ออ้างในการขอยืมเงินมาค่ะ เราได้คุยกับเค้าจริงจังค่ะ เค้าติดเงินรุ่นพี่อยู่หลายคนมากๆค่ะ จำนวนหลักหมื่นค่ะ แต่มีรุ่นพี่คนนี้คนเดียวที่ร่วม 3 แสนค่ะ เราก็บอกเค้าให้หางานทำแล้วใช้หนึ้ทุกคนซะ
****แน่นอนค่ะผลกระทบโควิดทำให้งานขับรถรับนักท่องเที่ยวต้องชะงักและหยุดตัวลงค่ะ เค้าไม่มีงาน ไม่มีเงิน เราให้เค้าค่ะ ช่วยเค้าผ่อนรถที่เค้าเคยซื้อตอนทำงานกับแฟนเก่าเค้า
(คือตอนที่เราเลิกกันเค้าก็ไปคบแฟนคนใหม่ค่ะที่ทำงานในสายงานเดียวกันค่ะ)
**ขอข้ามเรื่องแฟนเก่าคนนี้เลยนะคะ **
****ตอนนี้ที่บ้านเค้ารับรู้ค่ะว่า เค้าทำเราท้องและทิ้งเราไป เค้าบอกเรื่องลูกเรื่องเราค่ะ เราก็บอกที่บ้านค่ะว่าเราให้โอกาสเค้าอีกครั้ง ซึ่งที่บ้าน เรารู้ค่ะว่าเค้าต้องห่วงแน่นอนค่ะ แต่ที่บ้านเราเค้าก็อยากให้เรามีครอบครัวที่สมบูรณ์ และอยากให้ที่บ้านของทั่งสองฝ่ายมาคุยกันผูกข้อไม้ข้อมือ ตอนนั้นด้วยที่เค้าตกงานไม่มีเงิน มีแต่หนึ้เราเข้าใจค่ะ ก็เลยรอเวลาก่อน ทำแค่ให้เค้าเข้าไปขอขมาพ่อกับพี่ชายเราค่ะ แค่นั้น !!
***พ่อเราก็บอกแค่ว่าพร้อมเมื่อไหร่ให้เอาครอบครัวมาคุยแต่อย่านานนะ
( จากวันนั้นจนวันนี้ 1 ปี กับอีก1เดือนค่ะ เค้าไม่เคยเอาครอบครัวเค้ามาคุยเรื่องผูกข้อไม้ข้อมือเลย) T T
***เราก็ได้แต่รอค่ะ จนเมื่อไม่นานที่ผ่านมาค่ะ เค้ากลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะพ่อเค้าล้มต้องใส่เฝือกอ่อนไม่มีคนดูแล เค้าเลยกลับไปอยู่บ้านค่ะ จนกระทั่งพ่อเค้าหายดีแล้ว เค้าก็ยังคงอยู่ที่บ้านเค้าค่ะ ไม่มาอยู่ด้วยกันอีกเลย **ในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ค่าที่อยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราออกค่ะ ตอนนั้นเค้าเริ่มทำงานกับพี่ชายเราไม่นาน ได้เงินเดือน 15,000 จนสองเดือนผ่านมาได้20,000 ค่ะ เราเงินเยอะกว่าเราเลยไม่ซีเรียสคิดว่าช่วยได้ก็ช่วยกันไปค่ะ ^^
มาต่อค่ะ....เค้าก็มาหาเราบ้างนะคะ แต่ทุกครั้งที่มาพี่สาวเค้าจะโทรตามเค้า หรือโทรหาเราเพื่อถามว่าเค้าจะกลับบ้านมั้ย เป็นแบบนี้ทุกครั้งค่ะ
**เล่ามาถึงจุดนี้ซักที^^ ยาวหน่อยนะคะ
จนมามีอยู่วันนึงค่ะ เค้าไม่สบายเค้ามีอาการตัวร้อนค่ะ เค้าบอกว่าเค้าจะมาหาเราให้เราช่วยสวอปตรวจเชื้อให้หน่อย เราคิดว่าเค้าคงระแวงค่ะ เลยบอกว่าได้!!
เย็นวันนั้นเค้ามาที่คอนโดเราค่ะ ตอนนั้นตัวเขาเริ่มร้อนมากค่ะ แต่สวอปตรวจแล้ว
#ไม่พบเชื้อค่ะ#
เค้าขึ้นมาที่ห้องเราให้เราอุ่นข้าวต้มให้หน่อยจะขอกินยา พอมาถึงห้องเค้าก็นอนก่อนเลยค่ะ เกือบชั่วโมงอาการเค้าเริ่มแย่ลง มีไข้ 38.6 ไข้เริ่มสูงค่ะ ตอนนั้นเค้าไม่กล้าโดนตัว
(ซึ่งเราคิดว่าถ้าเราจะติดก็คงติดตั้งแต่ไปสวอปตรวจเชื้อให้เค้าละหล่ะ) (--!)
......และแน่นอนเราไม่เห็นพี่สาวเค้าโทรมาเราเลยถามเค้าค่ะว่าพี่เธอไม่โทรมาหร๋อ? เค้าบอกว่าเค้าส่งข้อความบอกแล้ว พี่สาวเค้าไม่ให้กลับบ้านให้นอนคอนโดค่ะ. จ่ะ (@,@)
***เราก็ได้แต่อึ้งค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ เราเช็ดตัวให้เค้าตลอดทั้งคืนค่ะ กินยาลดไข้ๆทุก4 ชั่วโมงค่ะ ไข้ไม่ลดแต่ไม่สูงขึ้นค่ะ
เค้าได้แต่ ขอโทษ เราตลอดสลับกับ ขอบคุณ T T
****จนกระทั่งตอนเช้า พี่สาวเค้าโทรหาเราค่ะ ถามถึงอาการเค้า และถามเราว่ารู้มั้ยว่าเพื่อนเค้าคนไหนที่ติดโควิด เพราะเค้าเล่าให้พ่อเค้าฟังก่อนมาหาเราค่ะ เราอึ้งมากเพราะเค้าไม่ได้เราเลยว่าเค้าไปใกล้ชิดเพื่อนที่ติดโควิดมาค่ะ เราเลยถามเค้าค่ะว่า เพื่อนเค้าคนไหนที่ติดโควิด เค้าตอบมาค่ะ. และแน่นอนเพื่อนคนนั้นเค้าเพิ่งใกล้ชิดมาค่ะ
**(ต้องขอบอกก่อนนะคะว่าลูกเราอยู่กับป้าและอาเราค่ะ ไม่ได้ออกข้างนอกและไม่ได้อยู่กับเราเพราะเราต้องทำงานข้างนอกเจอคนกลัวจะได้รับเชื้อและอันตรายเลยต้องห่างกันก่อนค่ะ)
....มาต่อกันต่อค่ะ
...?เราได้แต่ถามเค้าว่า...ทำไมเค้าตัวร้อนเค้าถึงมาหาเรา ? เค้าบอกว่าเค้ากลัวพ่อเค้าติดค่ะ แต่เค้าก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นโควิดนะ ........ เค้าเงียบแค่นั้น หลังจากพูดจบ เราไม่ได้ถามต่อ เราคิดว่าเรารู้ค่ะ ว่าเค้ารู้ว่าตัวเองเสี่ยง แต่ไม่รู้จะไปพักที่ไหน เพราะไปที่บ้านพ่อเค้าก็อายุมาก กลัวไปติด!!
บทสนทนาเรากับพี่สาวเค้ายังมีต่อ...
** พี่สาวเค้าบอกให้เอายาจีนที่มีสรรพคุณต้านโควิดให้เค้ากินและให้เรากินด้วย เช้า กลางวัน เย็น. และไม่ให้เค้ากลับบ้านอยู่ที่คอนโดไปก่อน บอกเรายังไม่ต้องไปหาลูก (@,@)
ตอนนั้นงงมากค่ะ เค้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งเรา
-แต่ว่าตอนนั้นอาการเค้ายังทรงๆค่ะ ไข้เริ่มลดเล็กน้อย
จนกระทั่งมาตอนเย็นค่ะ อาการไข้เริ่มกลับมาสูงอีก เราเลยส่งข้อความบอกพี่สาวเค้า!!!
พี่สาวเค้าบอกให้พาไปโรงบาลเลย แล้วบอกว่าเป็นไข้เลือดออก!!!
ถึงตรงนี้....บอกเลยค่ะ ว่าบ้าไปแล้ว!!! ทุกคนรักชีวิต จะให้เราทำแบบนั้นเราทำไม่ได้ค่ะ เราไม่รู้เลยว่าที่ตรวจของเราได้มาตรฐานแค่ไหน กับการไม่พบเชื้อ แต่มีไข้สูงและสุ่มเสี่ยง เพราะใกล้ชิดผู้ป่วยโควิดมา. เราไม่ทำค่ะ
****เราปฐมพยาบาลเค้าด้วยวิธีต่างที่ทำให้ไข้ลด นึงในนั้นเราถามเค้าว่าได้ถ่ายรึยัง เค้ายอกว่ายังเราเลยจับสวนก้นค่ะ 555555. สรุปเค้าถ่ายค่ะ จากไข้สูงเกือบ 39 ค่อยๆลดลงจนเหลือ 35.9 ค่ะ เหงื่อเค้าเริ่มออกค่ะ อาการดีขึ้นค่ะ
โล่งละ เราคิดว่านะ ไม่น่าจะติดโควิด แต่น่าจะเป็นสาเหตุที่เค้าไปเล่นกีฬามาแล้วล้ม!! ค่ะ
แต่เรื่องโล่งใจอยู่ได้ไม่นานค่ะ เราดูอาการเค้าจนเที่ยงคืนว่าไม่มีไข้เราเลยไปนอนและตั้งนาฬิกาปลุกมาดูเค้าเป็นระยะๆ เราตั้งเวลาที่ ตี02.30 ค่ะ
**** แต่เราต้องตื่นก่อนเวลาเพราะอาการเค้าแย่ลงค่ะ เค้าปลุกเราด้วยอาการหนาวสั่นตอนตี2 มาพร้อมกับไข้สูงถึง 40 เราเลยจะพาเค้าไปที่โรงบาลค่ะ แต่ก่อนไปเค้าขอโทรหาพี่สาวเค้า ว่าจะไปโรงบาลนะ ไม่ไหวแล้ว (~,~) เราทำการสวอปอีกครั้งเพื่อความชัวร์ ครั้งนี้ #ไม่พบเชื้อ !!
...เราพาเค้าไปค่ะ สรุปหมอฉีดยาแก้ปวดเพราะหลังของเค้าคือแข็งมาก เจ็บมาก ขยับตัวทีเค้าก็ร้องลั่นเลยค่ะ.
....หลังจากกลับมาอาการดูเบาลง น่าจะเพราะยาที่ฉีดค่ะ แต่เค้าก็ยังเจ็บหลังอยู่แต่มีไข้อ่อนๆค่ะ กินยาไม่ดีขึ้น
พี่สาวเค้าโทรหาเรา ให้เราพาเค้าไปโรงบาลอีกครั้ง เราตกลงค่ะ เพราะเราเห็นเค้าได้รับผลข้างเคียงขอยาลดปวด คือ อาเจียน ใจสั่น มึนหัวค่ะ
***สรุปไปโรงบาลอีกครั้งตอน10โมงกว่าแต่ครั้งนี้พี่สาวเค้ามาค่ะ หมอบอกให้เจาะเลือด เพราะล้มไม่น่าจะมีไข้ แต่ต้องมีอะไรซักอย่างเลยเช็คเลือด สรุปเค้าติดเชื้อในกระแสเลือด !!
**อาจเป็นแผลที่ไปเล่นน้ำตกแล้วไม่ได้ล้างแผลให้สะอาด ประกอบกับล้มร่างกายเลยอ่อนแอง่าย
เค้ากินยาฆ่าเชื้ออยู่สองมื้อค่ะ หลังจากที่อาการเค้าดีขึ้นมากๆที่บ้านเค้าก็ให้กลับไปอยู่ที่บ้าน!!
ตอนนี้เราได้คิดค่ะ ว่าเค้าไม่ได้ห่วงเราเลย และครอบครัวเห็นแก่ตัวแบบนี้เราควรไปยังไงต่อดีคะ
***อยากเลิกแบบดีๆค่ะ เพราะส่วนตัวไม่ชอบการโกรธเกลียดอาฆาตใครเลยจริงๆ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ