คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ยาวนะครับ
เรื่องพฤติกรรมเปลี่ยน ไม่แปลกครับ บางท่านอาจจะบอกว่า เด็กเริ่มเปลี่ยนตอนวัยนั้น วัยนี้ แต่สำหรับผม ผมว่า จริงๆเค้าเปลี่ยนตลอดแหละครับ แต่เราไม่ได้ใส่ใจใกล้พอจะเห็นเอง กว่าจะเห็นก็ผ่านเลยไปแล้วถึงได้เห็น เด็ก ก็เหมือนต้นไม้ที่ถ้าคุณมองผ่านๆทุกวันไม่เห็นมีอะไรต่าง แต่ผ่านไปครึ่งปี ถึงมาสังเกตว่า สูงขึ้น ใบเปลี่ยนสี แต่บางคนที่ใส่ใจในรายละเอียด ใบเพิ่มมา กิ่งออกตุ่ม ดินเปลี่ยนสี ก็รู้แล้ว
เฉกเช่นนี้
ต่อมา เรื่อง"โกหก" เด็ก(หรือใครก็ตาม) โกหกเพราะอะไรครับ? การโกหกคือ พฤติกรรมปกปิดความผิด นั่นแสดงว่าเค้ารู้ว่าสิ่งที่ทำไป มันผิด และกลัวการลงโทษ ที่สำคัญ การโกหก หากถูกจับได้ จะเรียนรู้ว่า ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้อีก แต่หากจับไม่ได้ ก็จะเรียนรู้ว่า วใช้ต่อไปได้เรื่อยๆ (ขับรถฝ่าไฟแดง ไม่มีกล้อง ไม่มีตำรวจ จับไม่ได้ ก็ฝ่าซ้ำ)
ดังนั้น การป้องกันการโกหกคือการลดความเสี่ยงที่จะทำผิด ข้อนี้ยากที่สุด แต่ดีที่สุด เมื่อยกระดับความคิดจนเลยการเลือกทำสิ่งที่ผิดไปได้ ก็จะรู้สึกว่าไม่ควรทำผิดตั้งแต่แรก
ต่อมา เรื่องการลงโทษ ยิ่งโทษสูงเท่าไหร่ เด็ก(หรือใครก็ตาม) จะพยายามโกหกเพื่อให้พ้นผิดเท่านั้น ถ้าโทษเบาหรือสมเหตุผล จะยอมรับโทษนั้นได้ง่ายกว่า เมื่อเด็กตัดสินใจทำผิดไปแล้ว แสดงว่ามีสิ่งยั่วยวนใจให้ทำผิดมากกว่าทำตามกติกา และมองว่าโทษที่สูงไม่ใช่เครื่องมือไว้ขู่ให้ไม่กล้าลงมือ แต่เป็นตัวค้ำคอให้ปกปิดความผิด การเลือกใช้การลงโทษจึงมีผลสำคัญมาก ความผิดบางอย่าง สามารถนำมาพิจารณาโทษกันใหม่ได้
ต่อมาคือ การโกหกสำเร็จผลตามต้องการ ยิ่งจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็เหมือนกฏ กติกาในบ้านอ่อนแอ เมื่ออ่อนแอ ก็มีช่องว่าง และเกิดเป็นบรรยากาศที่ทำให้เด็กโกหกได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ดังนั้น พ่อแม่ที่มีลูกเริ่มโกหก ต้อง"ทุ่มเทเวลา" ในการคอยจับสังเกตพฤติกรรม และไล่ให้ทันลูกไปพร้อมๆกับวิธีแรก ที่ป้องปราบสร้างสำนึก หรือ จุดหมายจิตใจให้มากพอที่เค้าจะไม่กระทำสิ่งที่ผิดครับ
เรื่อง"การเรียน"
สิ่งที่ผิดพลาดอย่างนึง ซึ่งพบได้บ่อยในสังคมทุกวันนี้คือ "การเรียนคือหน้าที่" จะด้วยอะไรก็ตาม เมื่อเด็กรู้แค่ การเรียนเป็นหน้าที่ของเค้า เพื่อเรียนจบแล้วจะได้ทำงานหาเงิน เราจึงได้เห็นแนวคิดว่า ไม่ต้องเรียนก็ได้เงินเยอะได้ มาดึงให้เด็กๆออกจากระบบการศึกษา เด็กเริ่มรู้สึกว่า การศึกษาไม่ใช่เรื่องสำคัญ เป็นเพียง"หน้าที่"
เราควรปลูกฝังให้เค้ารู้สึกว่า การเรียนเป็น"ความหลงใหล" หรือ passion ในสิ่งที่เค้าสนใจ เรียนเพราะอยากรู้อยากเก่ง อยากได้ทักษะ ให้เห็นความสำคัญของการเรียนในแต่ละสิชา และค้นหาตัวเองให้พบ เพื่อผูกความสนใจไปกับการเรียน
อันสุดท้ายคือที่คุณ จขกท บอกว่า "ไม่มีเวลา" นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดครับ
ผมจัดสินใจออกจากงานที่ได้เงิน 6 หลักค่อนๆไปทางกลางๆเลย ครอบครัวมีใช้จ่ายสบายๆ เปลี่ยนมาทำงานอยู่บ้าน ได้เงินน้อยลง แต่มีเวลาอยู่กับลูกตั้งแต่ก่อนดควิดฯมาสักปีกว่า เมื่อโควิดฯมา ก็ปรับชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ แต่มี"เวลา" มากขึ้น แม้จะมี"เงิน" น้อยลง และพบว่า เวลา คือสิ่งล้ำค่าในช่วงวัยนี้ (ตอนนี้ลูกสาวอายุ 13 ปี)
ผมมีเวลาคุยกันทุกวัน เจอกันทุกวัน กินอาหารด้วยกัน นั่งดูเค้าเรียนออนไลน์เกือบตลอด เล่นเกมส์ ออกกำลังด้วยกัน ทำงานบ้าน พักผ่อน ไปเที่ยวไหนมาไหน ด้วยกัน
คำว่า"ด้วยกัน" นี่แหละครับ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด จะเล่นเกมส์ เล่นมือถือ หรืออะไรก็ตาม หากคุณมีวลา"ด้วยกัน" ปัญหาจะน้อยลงไปมาก
การเรียนและหน้าที่ต่างๆ เค้าก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าควรทำตัวอย่างไร
เราสละเวลาส่วนตัวของเราออกไป เอามาใช้"ด้วยกัน" ให้มากขึ้น ปรับชีวิตให้มี"เวลา" ก่อนที่จะหมดเวลา หรือรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว
อย่ารอให้คุณสังเกตว่าต้นไม้ต้นนี้ เปลี่ยนไปมากจนคุณต้องเสียใจ
แต่เอาเวลามารดน้ำ ดูแลดิน ขยับให้รับแสง เพื่อให้เป้นต้นไม้ที่คุณพึงพอใจ อย่างน้อยที่สุด ก็ได้ ลงมือเต็มที่แล้ว เพราะคุณย้อนเวลาให้ต้นไม้ กลับไปเป็นกิ่งเล็กๆๆใหม่ไม่ได้นะครับ
เรื่องพฤติกรรมเปลี่ยน ไม่แปลกครับ บางท่านอาจจะบอกว่า เด็กเริ่มเปลี่ยนตอนวัยนั้น วัยนี้ แต่สำหรับผม ผมว่า จริงๆเค้าเปลี่ยนตลอดแหละครับ แต่เราไม่ได้ใส่ใจใกล้พอจะเห็นเอง กว่าจะเห็นก็ผ่านเลยไปแล้วถึงได้เห็น เด็ก ก็เหมือนต้นไม้ที่ถ้าคุณมองผ่านๆทุกวันไม่เห็นมีอะไรต่าง แต่ผ่านไปครึ่งปี ถึงมาสังเกตว่า สูงขึ้น ใบเปลี่ยนสี แต่บางคนที่ใส่ใจในรายละเอียด ใบเพิ่มมา กิ่งออกตุ่ม ดินเปลี่ยนสี ก็รู้แล้ว
เฉกเช่นนี้
ต่อมา เรื่อง"โกหก" เด็ก(หรือใครก็ตาม) โกหกเพราะอะไรครับ? การโกหกคือ พฤติกรรมปกปิดความผิด นั่นแสดงว่าเค้ารู้ว่าสิ่งที่ทำไป มันผิด และกลัวการลงโทษ ที่สำคัญ การโกหก หากถูกจับได้ จะเรียนรู้ว่า ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้อีก แต่หากจับไม่ได้ ก็จะเรียนรู้ว่า วใช้ต่อไปได้เรื่อยๆ (ขับรถฝ่าไฟแดง ไม่มีกล้อง ไม่มีตำรวจ จับไม่ได้ ก็ฝ่าซ้ำ)
ดังนั้น การป้องกันการโกหกคือการลดความเสี่ยงที่จะทำผิด ข้อนี้ยากที่สุด แต่ดีที่สุด เมื่อยกระดับความคิดจนเลยการเลือกทำสิ่งที่ผิดไปได้ ก็จะรู้สึกว่าไม่ควรทำผิดตั้งแต่แรก
ต่อมา เรื่องการลงโทษ ยิ่งโทษสูงเท่าไหร่ เด็ก(หรือใครก็ตาม) จะพยายามโกหกเพื่อให้พ้นผิดเท่านั้น ถ้าโทษเบาหรือสมเหตุผล จะยอมรับโทษนั้นได้ง่ายกว่า เมื่อเด็กตัดสินใจทำผิดไปแล้ว แสดงว่ามีสิ่งยั่วยวนใจให้ทำผิดมากกว่าทำตามกติกา และมองว่าโทษที่สูงไม่ใช่เครื่องมือไว้ขู่ให้ไม่กล้าลงมือ แต่เป็นตัวค้ำคอให้ปกปิดความผิด การเลือกใช้การลงโทษจึงมีผลสำคัญมาก ความผิดบางอย่าง สามารถนำมาพิจารณาโทษกันใหม่ได้
ต่อมาคือ การโกหกสำเร็จผลตามต้องการ ยิ่งจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็เหมือนกฏ กติกาในบ้านอ่อนแอ เมื่ออ่อนแอ ก็มีช่องว่าง และเกิดเป็นบรรยากาศที่ทำให้เด็กโกหกได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ดังนั้น พ่อแม่ที่มีลูกเริ่มโกหก ต้อง"ทุ่มเทเวลา" ในการคอยจับสังเกตพฤติกรรม และไล่ให้ทันลูกไปพร้อมๆกับวิธีแรก ที่ป้องปราบสร้างสำนึก หรือ จุดหมายจิตใจให้มากพอที่เค้าจะไม่กระทำสิ่งที่ผิดครับ
เรื่อง"การเรียน"
สิ่งที่ผิดพลาดอย่างนึง ซึ่งพบได้บ่อยในสังคมทุกวันนี้คือ "การเรียนคือหน้าที่" จะด้วยอะไรก็ตาม เมื่อเด็กรู้แค่ การเรียนเป็นหน้าที่ของเค้า เพื่อเรียนจบแล้วจะได้ทำงานหาเงิน เราจึงได้เห็นแนวคิดว่า ไม่ต้องเรียนก็ได้เงินเยอะได้ มาดึงให้เด็กๆออกจากระบบการศึกษา เด็กเริ่มรู้สึกว่า การศึกษาไม่ใช่เรื่องสำคัญ เป็นเพียง"หน้าที่"
เราควรปลูกฝังให้เค้ารู้สึกว่า การเรียนเป็น"ความหลงใหล" หรือ passion ในสิ่งที่เค้าสนใจ เรียนเพราะอยากรู้อยากเก่ง อยากได้ทักษะ ให้เห็นความสำคัญของการเรียนในแต่ละสิชา และค้นหาตัวเองให้พบ เพื่อผูกความสนใจไปกับการเรียน
อันสุดท้ายคือที่คุณ จขกท บอกว่า "ไม่มีเวลา" นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดครับ
ผมจัดสินใจออกจากงานที่ได้เงิน 6 หลักค่อนๆไปทางกลางๆเลย ครอบครัวมีใช้จ่ายสบายๆ เปลี่ยนมาทำงานอยู่บ้าน ได้เงินน้อยลง แต่มีเวลาอยู่กับลูกตั้งแต่ก่อนดควิดฯมาสักปีกว่า เมื่อโควิดฯมา ก็ปรับชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ แต่มี"เวลา" มากขึ้น แม้จะมี"เงิน" น้อยลง และพบว่า เวลา คือสิ่งล้ำค่าในช่วงวัยนี้ (ตอนนี้ลูกสาวอายุ 13 ปี)
ผมมีเวลาคุยกันทุกวัน เจอกันทุกวัน กินอาหารด้วยกัน นั่งดูเค้าเรียนออนไลน์เกือบตลอด เล่นเกมส์ ออกกำลังด้วยกัน ทำงานบ้าน พักผ่อน ไปเที่ยวไหนมาไหน ด้วยกัน
คำว่า"ด้วยกัน" นี่แหละครับ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด จะเล่นเกมส์ เล่นมือถือ หรืออะไรก็ตาม หากคุณมีวลา"ด้วยกัน" ปัญหาจะน้อยลงไปมาก
การเรียนและหน้าที่ต่างๆ เค้าก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าควรทำตัวอย่างไร
เราสละเวลาส่วนตัวของเราออกไป เอามาใช้"ด้วยกัน" ให้มากขึ้น ปรับชีวิตให้มี"เวลา" ก่อนที่จะหมดเวลา หรือรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว
อย่ารอให้คุณสังเกตว่าต้นไม้ต้นนี้ เปลี่ยนไปมากจนคุณต้องเสียใจ
แต่เอาเวลามารดน้ำ ดูแลดิน ขยับให้รับแสง เพื่อให้เป้นต้นไม้ที่คุณพึงพอใจ อย่างน้อยที่สุด ก็ได้ ลงมือเต็มที่แล้ว เพราะคุณย้อนเวลาให้ต้นไม้ กลับไปเป็นกิ่งเล็กๆๆใหม่ไม่ได้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
ปัญหาพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูก
ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม คือ ควบคุมเวลาตัวเองไม่ได้ ต้องดุต้องว่า(ซึ่งรู้ว่ามันไม่ควรเลย) ถ้าไม่สั่งให้หยุด ให้พอ ก็ยังเล่นเรื่อยๆ (จำกัดเวลาในการเล่น 1 ชั่วโมง/วัน) บางครั้งก็ยังขอต่ออีกนิด พอไม่ให้ก็ไม่พอใจ
ผมเองยอมรับว่าดูแลเขาไม่ดีพอ เลยทำให้เขาเป็นแบบนี้ พูดดีก็แล้ว ตีก็แล้ว ดุด่าก็แล้ว ซึ่งพฤติกรรมที่ไม่ดี ผมเองก็รู้หมดว่ามันไม่ดี ไม่ได้ทำให้อะไรๆดีขึ้น ยิ่งมีแต่สร้างบาดแผลในใจเขา แต่ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรแล้ว อยากให้เขากลับมาเป็นเด็กที่น่ารักและตั้งใจเรียนเหมือนเดิม เคยคิดว่าถ้าน้องเขาโตขึ้นแล้วทำได้ดีกว่าพี่เขา ก็จะปล่อยไม่สนใจ อันนี้คือแค่คิดเท่านั้นนะครับ สุดท้ายก็เป็นห่วงเขาอยู่ดี
ตอนนี้มืดไปหมดครับ อยากแก้ปัญหานี้ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี เลยมาขอคำแนะนำจากสังคมครอบครัวที่ชื่อว่า "พันทิป" ครับ