คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
เครือเอกชนแห่งหนึ่ง พัฒนาระบบนี้มาครับ ในระดับประถมและอนุบาล เพื่อเป้าหมายในการนำไปสอบข้อเขียนต่างๆได้ โดยแนวคิดก็คือ
เวลาเขียน เด็กไม่รู้ว่า รูปสระแทนเสียง หน้าตาเป็นอย่างไร รวมถึง ภาษาไทยมีสระที่ผสมกันหลายตัวเพื่อเสียงต่างๆ แถม เปลี่ยนรูปเมื่อมีตัวสะกดมาด้วย ดังนั้น จึงให้เรียนในแบบ"ท่องลำดับการเขียน" เป็นหลักเลย
ผมดีคือ เด็กเขียนและสะกดคำได้เก่ง แต่ พื้นฐานการเรียนภาษาแบบผสมเสียง จะด้อยกว่าระบบการศึกษาแบบอื่นๆ ส่วนเด็กๆที่จบมาจากที่นี่ มักยืนยันว่า เมื่อไปเรียนในระดับสูงขึ้นก็ปรับตัวได้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ใช้เวลาสักหน่อย พอสอบเข้าไปได้แล้ว สามารถปรับชีวิตเข้าสู่การเรียนภาษาต่างๆแบบธรรมดาได้
ส่วนตัวผม ผมไม่เชื่อในการสอนแบบนั้นครับ ยังคงเชื่อในการเรียนด้วยการผสมเสียงและฝึกหัดการเทียบเสียงกับรูปอักษรและสระแบบเดิม แม้วา่จะยากกว่าก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีแค่ภาษาไทยที่เป็นแบบนี้ครับ "เอ อา อะ" เป็นเสียงเอาะ เราก็จำรูปมันซะ พอสะกด "กอ เอาะ" ก็เอามาต่อกัน ไม่เห็นต้องไปเรียน "เอ กอ อา อะ" เป็นเกาะ เลย
คือผมเดาเอาว่า คนที่คิดวิธีการศึกษาแบบนี้ เน้นไปที่ผลของการศึกษาเพื่อไปสอบทำคะแนน สิบเข้า มากกว่า โดยไม่ได้มองที่หลักภาษาศาสตร์
อยากรู้ว่าเด็กที่เรียนแบบนี้ขนตอนนี้ไปเรียนภาษาศาสตร์ มีความรู้สุกอย่างไรบ้าง ปรับตัวอย่างไรบ้างหรือไม่ หรืออาจจะเป็นอย่างที่ทุกคนบอกก็ได้คือ
เมื่อเด็กเรียนแล้วสอบเข้าไปยังโรงเรียนดีๆได้แล้ว ก็ปรับตัวเข้าหารูปแบบเดิมๆต่อไปได้ไม่ยาก
ปล.ไอ้เจ้าระบบการเรียนแบบนี้ คล้ายๆกับสมัยก่อนที่เราเรียนภาษาอังกฤษกันแบบว่า "เอ เอ็น ที แอ็นท์" ครับ ท่องตัวอักษรแล้วจำว่าเขียนอย่างไร ไม่สนใจเสียงของมัน แล้วคนรุ่นนั้นพอมาเห็นศัพท์ตัวอักษรเยอะๆปุ๊บ ก็จะขาดความสามารถในการผสมคำออกมาเป็นเสียงไป ถ้าเรียกกันง่ายๆคือ อ่านออกช้ากว่าคนเรียนมาในระบบการผสมอักษรและเสียงต่างๆเข้าด้วยกัน ลองโยนคนสองรุ่นที่เรียนคนละระบบเข้าไปสิครับ ในบ้านเมืองที่มีแต่ภาษาอังกฤษ คนแรกที่เรียนการสะกดคำท่องจำมา จะอ่านออกเฉพาะคำที่หัดมา แต่อีกคน จะอ่านออกมั่วๆได้เกือบทุกคำเลย ส่วนความหมายนั้น คนแรกถ้ารู้จักท่องมาก็รู้ความหมาย ในขณะที่คนที่สอง อ่านทุกอย่างได้แต่ความหมายไม่รู้เลย
เวลาเขียน เด็กไม่รู้ว่า รูปสระแทนเสียง หน้าตาเป็นอย่างไร รวมถึง ภาษาไทยมีสระที่ผสมกันหลายตัวเพื่อเสียงต่างๆ แถม เปลี่ยนรูปเมื่อมีตัวสะกดมาด้วย ดังนั้น จึงให้เรียนในแบบ"ท่องลำดับการเขียน" เป็นหลักเลย
ผมดีคือ เด็กเขียนและสะกดคำได้เก่ง แต่ พื้นฐานการเรียนภาษาแบบผสมเสียง จะด้อยกว่าระบบการศึกษาแบบอื่นๆ ส่วนเด็กๆที่จบมาจากที่นี่ มักยืนยันว่า เมื่อไปเรียนในระดับสูงขึ้นก็ปรับตัวได้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ใช้เวลาสักหน่อย พอสอบเข้าไปได้แล้ว สามารถปรับชีวิตเข้าสู่การเรียนภาษาต่างๆแบบธรรมดาได้
ส่วนตัวผม ผมไม่เชื่อในการสอนแบบนั้นครับ ยังคงเชื่อในการเรียนด้วยการผสมเสียงและฝึกหัดการเทียบเสียงกับรูปอักษรและสระแบบเดิม แม้วา่จะยากกว่าก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีแค่ภาษาไทยที่เป็นแบบนี้ครับ "เอ อา อะ" เป็นเสียงเอาะ เราก็จำรูปมันซะ พอสะกด "กอ เอาะ" ก็เอามาต่อกัน ไม่เห็นต้องไปเรียน "เอ กอ อา อะ" เป็นเกาะ เลย
คือผมเดาเอาว่า คนที่คิดวิธีการศึกษาแบบนี้ เน้นไปที่ผลของการศึกษาเพื่อไปสอบทำคะแนน สิบเข้า มากกว่า โดยไม่ได้มองที่หลักภาษาศาสตร์
อยากรู้ว่าเด็กที่เรียนแบบนี้ขนตอนนี้ไปเรียนภาษาศาสตร์ มีความรู้สุกอย่างไรบ้าง ปรับตัวอย่างไรบ้างหรือไม่ หรืออาจจะเป็นอย่างที่ทุกคนบอกก็ได้คือ
เมื่อเด็กเรียนแล้วสอบเข้าไปยังโรงเรียนดีๆได้แล้ว ก็ปรับตัวเข้าหารูปแบบเดิมๆต่อไปได้ไม่ยาก
ปล.ไอ้เจ้าระบบการเรียนแบบนี้ คล้ายๆกับสมัยก่อนที่เราเรียนภาษาอังกฤษกันแบบว่า "เอ เอ็น ที แอ็นท์" ครับ ท่องตัวอักษรแล้วจำว่าเขียนอย่างไร ไม่สนใจเสียงของมัน แล้วคนรุ่นนั้นพอมาเห็นศัพท์ตัวอักษรเยอะๆปุ๊บ ก็จะขาดความสามารถในการผสมคำออกมาเป็นเสียงไป ถ้าเรียกกันง่ายๆคือ อ่านออกช้ากว่าคนเรียนมาในระบบการผสมอักษรและเสียงต่างๆเข้าด้วยกัน ลองโยนคนสองรุ่นที่เรียนคนละระบบเข้าไปสิครับ ในบ้านเมืองที่มีแต่ภาษาอังกฤษ คนแรกที่เรียนการสะกดคำท่องจำมา จะอ่านออกเฉพาะคำที่หัดมา แต่อีกคน จะอ่านออกมั่วๆได้เกือบทุกคำเลย ส่วนความหมายนั้น คนแรกถ้ารู้จักท่องมาก็รู้ความหมาย ในขณะที่คนที่สอง อ่านทุกอย่างได้แต่ความหมายไม่รู้เลย
แสดงความคิดเห็น
ปี 2564 มีลูกๆบ้านไหนที่โรงเรียนสอนสะกดคำภาษาไทยแปลกๆไหมคะ เช่น คำว่า “เกาะ” อ่านว่า เอ-กอ-อา-อะ =เกาะ
มีบ้านไหนที่ลูกอยู่ชั้นอนุบาลแล้วครูสอนอ่านแบบเรียงทีละตัว
เช่น เกาะ อ่านว่า เอ-กอ-อา-อะ = เกาะ (ไม่ใช่ กอ-เอาะ = เกาะ)
ยิ้ม อ่านว่า ยอ-อิ-ไม้โท -มอ = ยิ้ม (ไม่ใช่ ยอ-อิ-มอ-ยิม-ไม้โท=ยิ้ม)