จากข่าวที่ญี่ปุ่นมีการเตือนการก่อการร้ายในภูมิภาคอาเซียน ทำให้เห็นว่า “การก่อการร้าย” เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวพวกเรากว่าที่คิด หลายครั้งมันไม่เลือกเหยื่อ ไม่เลือกวิธีการ ขอเพียงสร้างความเสียหายและฝังความหวาดกลัวเข้าไปในจิตใจคนให้มากที่สุด ผู้ลงมือก็พร้อมทำ
“การก่อการร้ายแบบพลีชีพ” หรือ suicide attack เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุด จากความแนบเนียนและตรวจสอบยากของมัน คนร้ายที่ใช้วิธีนี้มักไม่ต้องมีทุนหนา ไม่ต้องเตรียมทางหนีทีไล่ เพราะเมื่อแลกชีวิตแล้ว ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็น
...นี่ทำให้แม้การก่อการร้ายชนิดนี้นับเป็นแค่ 4% จากเหตุวินาศกรรมทั้งหมด แต่ยอดเหยื่อผู้เสียชีวิตจากระเบิดฆ่าตัวตาย กลับมีมากถึง 32% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของความเสียหายจากเหตุวินาศกรรม (บันทึกสถิติปี 1981 - 2006)
อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งยอมละทิ้งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตนเอง? เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาแล้วบ้าง? มันมีโอกาสเกิดขึ้นในไทยหรือไม่? แล้วควรต้องป้องกันตัวอย่างไร? มาหาคำตอบไปด้วยกันในบทความนี้ครับ...

*** ก่อการร้ายไปทำไม? ***
เป้าหมายของการก่อการร้าย ปรากฏอยู่ในคำเรียกภาษาอังกฤษ ได้แก่ Terrorism หรือ “การสร้างความกลัว” โดยผู้ทำต้องการให้คนรู้สึกหวาดหวั่นไม่ปลอดภัย
ส่วนเหตุผลของการกระทำนั้น มีตั้งแต่ความพยายามแบ่งแยกดินแดนอย่างที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์, ความพยายามต่อสู้การกดทับทางเชื้อชาติจากอำนาจรัฐ เช่น กรณีของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม, รวมถึงการต่อสู้เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ของกลุ่ม ISIS
หัวใจหลักของปฏิบัติการรูปแบบดังกล่าวคือการสร้างความหวาดกลัวในคนหมู่มาก, ดึงประเด็นของสังคมมาให้โฟกัสกับเรื่องที่กลุ่มก่อการร้ายอยากสื่อ, แบ่งแยกคนในสังคมออกจากกัน บังคับให้คนที่เป็นกลางต้องเลือกข้าง
…ซึ่งวิธีก่อการร้ายที่มีประสิทธิภาพยิ่ง คือการก่อการร้ายแบบพลีชีพนี่เอง
ภาพแนบ: ราจีฟ คานธี
*** จุดเริ่มต้นการก่อการร้ายพลีชีพ ***
เหตุก่อการร้ายแบบพลีชีพนี้มีมานานแล้วในประวัติศาสตร์ แต่เหตุอันน่าสะพรึงและถูกกล่าวขานว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการโจมตีแบบพลีชีพในยุคสมัยใหม่ คือเหตุสังหาร “ราจีฟ คานธี” อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย ขณะกำลังหาเสียงในรัฐทมิฬนาดู ประเทศอินเดีย ในวันที่ 21 พฤษภาคม 1991
ภาพแนบ: รูปสุดท้ายของราจีฟ ขณะกำลังหาเสียง
ขณะที่ราจีฟกำลังเดินไปทักทายมวลชนอยู่นั้น เด็กสาวคนหนึ่งนามว่าดนุ ก็เดินเข้ามาและทำทีจะแตะเท้าของราจีฟ (ในประเพณีอินเดีย การสวมพวงมาลัยและแตะเท้าถือเป็นการอวยพร) ก่อนจะจุดชนวนระเบิดที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อ ซึ่งคร่าชีวิตทั้งตัวดนุ, นายราจีฟ, และคนรอบข้างอีก 14 รายในชั่วพริบตา
ภาพแนบ: ประภาการัน
ความเสียหายนั้นทำให้อินเดียตัดสินใจ "เลิกแทรกแซง" สงครามกลางเมืองศรีลังกา กลุ่มก่อการร้ายพยัคฆ์ทมิฬที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้จึงบรรลุเป้าหมายโดยง่าย
ผู้นำกลุ่มอย่าง ประภาการัน เล็งเห็นว่าวิธีการดังกล่าว ใช้ทรัพยากรน้อยแต่สร้างความเสียหายมหาศาล และสามารถข่มขวัญศัตรูได้เป็นอย่างดี จึงตั้งให้ปฏิบัติการพลีชีพกลายเป็นหนึ่งในยุทธวิธีหลักของฝ่ายพยัคฆ์ทมิฬเรื่อยมา
ภาพแนบ: ประภาการันกับหน่วยเสือดำ
*** หน่วยเสือดำ ***
หน่วยเสือดำหรือ Black Tiger เป็นหน่วยที่มีเชื่อเสียงฉาวโฉ่ของกบฏพยัคฆ์ทมิฬ เพราะพวกเขาเป็นหน่วยคอมมานโดที่ฝึกฝนตนเองมาปฏิบัติภารกิจฆ่าตัวตายโดยเฉพาะ
ภาพแนบ: เข็มขัดระเบิด
ใครต้องการสมัครเป็นหน่วยเสือดำ จะต้อง “เขียนเรียงความ” ส่งไปหาประภาการันเพื่อแสดงความสามารถ, ศักยภาพ, และทัศนคติของผู้เขียน
ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการฝึกต่างๆ ตั้งแต่การปลอมตัว การแทรกซึม การใช้อาวุธทุกชนิดรวมถึงอาวุธไม้ตายอย่าง "เข็มขัดระเบิด"
จนกระทั่งเมื่อพวกเขามีความแข็งแกร่งมากพอแล้ว ก่อนวันออกปฏิบัติการจริง ประภาการันจะให้พวกเขาเข้ามาหาพร้อมเลี้ยงอาหารชั้นดีและถามสารทุกข์สุขดิบต่างๆ จบลงด้วยการถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนทหารเหล่านี้จะ “ถูกส่งไปตาย” ในวันถัดมา
...แน่นอนว่าการเข้าร่วมหน่วยเสือดำคือเกียรติยศของชาวทมิฬจำนวนมาก พวกเขาต่างส่งเรียงความให้ผู้นำของพวกเขาได้พิจารณาอย่างไม่ขาดสาย แม้จะรู้ถึงชะตากรรมที่รออยู่ปลายทางก็ตาม…
*** เหตุ 9/11 ***
เมื่อพูดถึงการก่อการร้ายพลีชีพที่โด่งดังและสะเทือนขวัญชาวโลกมากที่สุดก็ไม่พ้น “เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน” หรือ 9/11
ในช่วงเช้าของวันอังคารที่ 11 กันยายน 2001 ผู้ก่อการร้ายจำนวน 19 ราย จี้เครื่องบินของยูไนเต็ดแอร์ไลน์และอเมริกันแอร์ไลน์รวม 4 เครื่อง ก่อนจะบังคับเครื่องบินสองลำชนเข้ากับตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ภาพแนบ: จุดที่เครื่องบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ตก
เครื่องบินอีกลำได้ชนที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือตึกเพนตากอน ขณะเครื่องบินลำสุดท้ายร่วงลงก่อนจะเดินทางถึงเป้าหมายที่คาดว่าถ้าไม่ใช่อาคารรัฐสภา (Capitol Building) ก็เป็นทำเนียบขาว
...เหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์กว่า 2,977 ราย ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และเปลี่ยนโลกสู่ยุคของ “สงครามต่อต้ายการก่อการร้าย”…

*** เหตุระเบิดที่เกาะบาหลี ***
หลังเหตุการณ์ 9/11 ทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (Global War on Terror) ซึ่งหนึ่งในเหตุระเบิดพลีชีพครั้งสำคัญ เกิดขึ้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2002 ในเกาะบาหลี
ภาพแนบ: ความเสียหายจากระเบิดบาหลี ปี 2002
ภาพแนบ: อนุสรณ์ของเหตุการณ์นี้
ผู้ก่อการร้ายเป็นสมาชิกกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยะห์ จำนวนสองคน โดยคนหนึ่งลักลอบนำระเบิดเข้ามาในย่านสถานบันเทิงยามราตรีในเขตคูตา ก่อนจะจุดระเบิดที่ซุกซ่อนไว้ที่บาร์แห่งหนึ่ง ส่วนมือระเบิดอีกรายใช้รถบรรทุกระเบิด ซึ่งจอดปะปนกับรถปกติในเขตชุมชนเป็นอาวุธสังหาร
เหตุนี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนท้องถิ่นเสียชีวิตรวมกันถึง 202 ราย บาดเจ็บอีก 209 ราย
ภาพแนบ: รถบรรทุกระเบิดพลีชีพในสภาพดี
*** รถบรรทุกระเบิดพลีชีพ ***
ช่วงกลุ่ม ISIS เรืองอำนาจนั้นมีการใช้ "รถบรรทุกระเบิดพลีชีพ" หรือที่เรียกว่า SVBIED (Suicide Vehicle-Borne Improvised Explosive Device) อย่างแพร่หลาย
อาวุธนี้คือการเอาระเบิดจำนวนมากใส่รถ ให้ขับไประเบิดตัวตายกับศัตรู มันมีอานุภาพรุนแรง ป้องกันยาก จัดเป็นสุดยอดอาวุธอย่างหนึ่ง
ภาพแนบ: เด็กคนดังกล่าว
พวก ISIS มักให้เด็กซึ่งจัดเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าไม่มาก แต่ล้างสมองง่าย เป็นคนขับรถ
ยกตัวอย่างกรณีของเด็กชายวัย 11 ขวบคนหนึ่ง ซึ่ง ISIS ได้บันทึกวิดีโอและสัมภาษณ์เด็กที่จะส่งไปตายไว้อย่างละเอียดเพื่อส่งวีดีโอไปปลุกใจคนอื่นๆ ต่อ บอกว่าขนาดเด็กอายุแค่นี้ยังเสียสละเลย
ในสัมภาษณ์นั้น เด็กชายได้นั่งอยู่กับพ่อ โดยพ่อเล่ารายละเอียดภารกิจ พร้อมสอนลูกว่า ให้พลีชีพเพื่ออุดมการณ์ ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ เด็กจึงกอดและจูบลาพ่อครั้งสุดท้าย ก่อนจะขับรถจากไป จากนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น…
...วิดีโอดังกล่าวของไอซิส จบลงด้วยคลิปสรรญเสริญวีรกรรมของเด็กชายพร้อมเพลงประกอบ…

*** เหตุโจมตีสนามบินฮามิด คาร์ไซ ***
เหตุระเบิดพลีชีพล่าสุดที่ได้รับความสนใจ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา มือระเบิดพลีชีพจากกลุ่มไอซิสสาขาอัฟกานิสถาน (ISIS-K) จำนวนสองรายโจมตีด่านคัดกรองผู้อพยพออกจากอัฟกานิสถาน ณ ท่าอากาศยานนานาชิตฮามิด คาร์ไซ กรุงคาบูล ก่อนสมาชิกอื่นจะมีการเปิดฉากยิงใส่ยิงผู้บริสุทธิ์ที่ตื่นตระหนก
เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ประชาชนกว่า 172 ราย และทหารสหรัฐอีก 13 นายเสียชีวิตจากการโจมตีเพียงชั่วพริบตา

*** ความเป็นไปได้ในไทย ***
ต้องยอมรับว่า แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผู้ก่อการร้ายมาระยะหนึ่งแล้ว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 กันยายน กระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้ส่งอีเมลแจ้งเตือนผ่านมายังสถานทูตญี่ปุ่นในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ รวมทั้งไทย ให้ระวังภัย”ก่อการร้าย” โดยเฉพาะ “มือระเบิดพลีชีพ” ซึ่งอาจก่อเหตุในพื้นที่ชุมชน, สถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงแหล่งเศรษฐกิจต่างๆ ฯลฯ
กรณีการเตือนนี้แตกต่างจากสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบที่ชาติสมาชิกอาเซียนเผชิญร่วมกันอยู่แล้ว เพราะมันอาจเป็นการโจมตีพื้นที่ปลอดภัย (หรือ “พื้นที่สีเขียว”)
นี่จึงถือเป็นภัยครั้งใหม่ที่ทุกชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรต้องเตรียมรับมือให้ทันท่วงที
ภาพแนบ: ระเบิดที่แยกราชประสงค์ ภาพจากข่าวสด
แม้ในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ ซึ่งสถานทูตญี่ปุ่นได้ระบุไว้ในเมล จะยังไม่เคยประสบเหตุระเบิดพลีชีพมาก่อน แต่ก็เคยถูกก่อการร้ายใหญ่ด้วย "การวางระเบิด" มาแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น คดีระเบิดที่แยกราชประสงค์ ในปี 2015 (2558)

*** เหตุระเบิดที่ราชประสงค์ ***
วันที่ 17 สิงหาคม 2015 เวลา 18:55 น. เกิดเหตุวางระเบิดขึ้นใกล้กับศาลท้าวมหาพรหม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งหน่วยเก็บกู้ระเบิดเข้าไปตรวจสอบ วิเคราะห์ออกมาว่าเป็นระเบิดทีเอ็นทีหนัก 3 กิโลกรัมอยู่ในท่อบริเวณศาลท้าวมหาพรหม มีรัศมีทำลายล้างประมาณ 100 เมตร และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าบุคคลต้องสงสัยน่าจะมีเชื้อแขก
ภาพแนบ: โฉมหน้าของผู้ต้องหาในคดี
ตำรวจสามารถจำผู้ต้องหาคนแรกเป็นชายสัญชาติตุรกีได้ในวันที่ 29 สิงหาคมปีเดียวกัน ก่อนขยายผลจับผู้ต้องหาได้อีกจำนวนหนึ่ง และพบว่าผู้ต้องหาเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำชาวมุสลิมอุยกูร์เข้าไทย ก่อนส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ
...ตอนนี้คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลยุติธรรม หลังขึ้นศาลทหารมาแล้ว...

แม้จะไม่ใช่เหตุระเบิดพลีชีพ แต่ภัยก่อการร้ายไม่ใช่สิ่งไกลตัวเราอีกต่อไป
ชาวไทยเช่นผมและผู้อ่าน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และพลุกพล่านอย่างกรุงเทพฯ ควรต้องระวังตัวและช่วยกันสอดส่องความน่าสงสัย ซึ่งจะมีวิธีปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติดังต่อไปนี้นะครับ...
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** การก่อการร้ายแบบพลีชีพ ***
“การก่อการร้ายแบบพลีชีพ” หรือ suicide attack เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุด จากความแนบเนียนและตรวจสอบยากของมัน คนร้ายที่ใช้วิธีนี้มักไม่ต้องมีทุนหนา ไม่ต้องเตรียมทางหนีทีไล่ เพราะเมื่อแลกชีวิตแล้ว ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็น
...นี่ทำให้แม้การก่อการร้ายชนิดนี้นับเป็นแค่ 4% จากเหตุวินาศกรรมทั้งหมด แต่ยอดเหยื่อผู้เสียชีวิตจากระเบิดฆ่าตัวตาย กลับมีมากถึง 32% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของความเสียหายจากเหตุวินาศกรรม (บันทึกสถิติปี 1981 - 2006)
อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งยอมละทิ้งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตนเอง? เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาแล้วบ้าง? มันมีโอกาสเกิดขึ้นในไทยหรือไม่? แล้วควรต้องป้องกันตัวอย่างไร? มาหาคำตอบไปด้วยกันในบทความนี้ครับ...
*** ก่อการร้ายไปทำไม? ***
เป้าหมายของการก่อการร้าย ปรากฏอยู่ในคำเรียกภาษาอังกฤษ ได้แก่ Terrorism หรือ “การสร้างความกลัว” โดยผู้ทำต้องการให้คนรู้สึกหวาดหวั่นไม่ปลอดภัย
ส่วนเหตุผลของการกระทำนั้น มีตั้งแต่ความพยายามแบ่งแยกดินแดนอย่างที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์, ความพยายามต่อสู้การกดทับทางเชื้อชาติจากอำนาจรัฐ เช่น กรณีของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม, รวมถึงการต่อสู้เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ของกลุ่ม ISIS
หัวใจหลักของปฏิบัติการรูปแบบดังกล่าวคือการสร้างความหวาดกลัวในคนหมู่มาก, ดึงประเด็นของสังคมมาให้โฟกัสกับเรื่องที่กลุ่มก่อการร้ายอยากสื่อ, แบ่งแยกคนในสังคมออกจากกัน บังคับให้คนที่เป็นกลางต้องเลือกข้าง
…ซึ่งวิธีก่อการร้ายที่มีประสิทธิภาพยิ่ง คือการก่อการร้ายแบบพลีชีพนี่เอง
ภาพแนบ: ราจีฟ คานธี
*** จุดเริ่มต้นการก่อการร้ายพลีชีพ ***
เหตุก่อการร้ายแบบพลีชีพนี้มีมานานแล้วในประวัติศาสตร์ แต่เหตุอันน่าสะพรึงและถูกกล่าวขานว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการโจมตีแบบพลีชีพในยุคสมัยใหม่ คือเหตุสังหาร “ราจีฟ คานธี” อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย ขณะกำลังหาเสียงในรัฐทมิฬนาดู ประเทศอินเดีย ในวันที่ 21 พฤษภาคม 1991
ภาพแนบ: รูปสุดท้ายของราจีฟ ขณะกำลังหาเสียง
ขณะที่ราจีฟกำลังเดินไปทักทายมวลชนอยู่นั้น เด็กสาวคนหนึ่งนามว่าดนุ ก็เดินเข้ามาและทำทีจะแตะเท้าของราจีฟ (ในประเพณีอินเดีย การสวมพวงมาลัยและแตะเท้าถือเป็นการอวยพร) ก่อนจะจุดชนวนระเบิดที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อ ซึ่งคร่าชีวิตทั้งตัวดนุ, นายราจีฟ, และคนรอบข้างอีก 14 รายในชั่วพริบตา
ภาพแนบ: ประภาการัน
ความเสียหายนั้นทำให้อินเดียตัดสินใจ "เลิกแทรกแซง" สงครามกลางเมืองศรีลังกา กลุ่มก่อการร้ายพยัคฆ์ทมิฬที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้จึงบรรลุเป้าหมายโดยง่าย
ผู้นำกลุ่มอย่าง ประภาการัน เล็งเห็นว่าวิธีการดังกล่าว ใช้ทรัพยากรน้อยแต่สร้างความเสียหายมหาศาล และสามารถข่มขวัญศัตรูได้เป็นอย่างดี จึงตั้งให้ปฏิบัติการพลีชีพกลายเป็นหนึ่งในยุทธวิธีหลักของฝ่ายพยัคฆ์ทมิฬเรื่อยมา
ภาพแนบ: ประภาการันกับหน่วยเสือดำ
*** หน่วยเสือดำ ***
หน่วยเสือดำหรือ Black Tiger เป็นหน่วยที่มีเชื่อเสียงฉาวโฉ่ของกบฏพยัคฆ์ทมิฬ เพราะพวกเขาเป็นหน่วยคอมมานโดที่ฝึกฝนตนเองมาปฏิบัติภารกิจฆ่าตัวตายโดยเฉพาะ
ภาพแนบ: เข็มขัดระเบิด
ใครต้องการสมัครเป็นหน่วยเสือดำ จะต้อง “เขียนเรียงความ” ส่งไปหาประภาการันเพื่อแสดงความสามารถ, ศักยภาพ, และทัศนคติของผู้เขียน
ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการฝึกต่างๆ ตั้งแต่การปลอมตัว การแทรกซึม การใช้อาวุธทุกชนิดรวมถึงอาวุธไม้ตายอย่าง "เข็มขัดระเบิด"
จนกระทั่งเมื่อพวกเขามีความแข็งแกร่งมากพอแล้ว ก่อนวันออกปฏิบัติการจริง ประภาการันจะให้พวกเขาเข้ามาหาพร้อมเลี้ยงอาหารชั้นดีและถามสารทุกข์สุขดิบต่างๆ จบลงด้วยการถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนทหารเหล่านี้จะ “ถูกส่งไปตาย” ในวันถัดมา
...แน่นอนว่าการเข้าร่วมหน่วยเสือดำคือเกียรติยศของชาวทมิฬจำนวนมาก พวกเขาต่างส่งเรียงความให้ผู้นำของพวกเขาได้พิจารณาอย่างไม่ขาดสาย แม้จะรู้ถึงชะตากรรมที่รออยู่ปลายทางก็ตาม…
*** เหตุ 9/11 ***
เมื่อพูดถึงการก่อการร้ายพลีชีพที่โด่งดังและสะเทือนขวัญชาวโลกมากที่สุดก็ไม่พ้น “เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน” หรือ 9/11
ในช่วงเช้าของวันอังคารที่ 11 กันยายน 2001 ผู้ก่อการร้ายจำนวน 19 ราย จี้เครื่องบินของยูไนเต็ดแอร์ไลน์และอเมริกันแอร์ไลน์รวม 4 เครื่อง ก่อนจะบังคับเครื่องบินสองลำชนเข้ากับตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ภาพแนบ: จุดที่เครื่องบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ตก
เครื่องบินอีกลำได้ชนที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือตึกเพนตากอน ขณะเครื่องบินลำสุดท้ายร่วงลงก่อนจะเดินทางถึงเป้าหมายที่คาดว่าถ้าไม่ใช่อาคารรัฐสภา (Capitol Building) ก็เป็นทำเนียบขาว
...เหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์กว่า 2,977 ราย ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และเปลี่ยนโลกสู่ยุคของ “สงครามต่อต้ายการก่อการร้าย”…
*** เหตุระเบิดที่เกาะบาหลี ***
หลังเหตุการณ์ 9/11 ทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (Global War on Terror) ซึ่งหนึ่งในเหตุระเบิดพลีชีพครั้งสำคัญ เกิดขึ้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2002 ในเกาะบาหลี
ภาพแนบ: ความเสียหายจากระเบิดบาหลี ปี 2002
ภาพแนบ: อนุสรณ์ของเหตุการณ์นี้
ผู้ก่อการร้ายเป็นสมาชิกกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยะห์ จำนวนสองคน โดยคนหนึ่งลักลอบนำระเบิดเข้ามาในย่านสถานบันเทิงยามราตรีในเขตคูตา ก่อนจะจุดระเบิดที่ซุกซ่อนไว้ที่บาร์แห่งหนึ่ง ส่วนมือระเบิดอีกรายใช้รถบรรทุกระเบิด ซึ่งจอดปะปนกับรถปกติในเขตชุมชนเป็นอาวุธสังหาร
เหตุนี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนท้องถิ่นเสียชีวิตรวมกันถึง 202 ราย บาดเจ็บอีก 209 ราย
ภาพแนบ: รถบรรทุกระเบิดพลีชีพในสภาพดี
*** รถบรรทุกระเบิดพลีชีพ ***
ช่วงกลุ่ม ISIS เรืองอำนาจนั้นมีการใช้ "รถบรรทุกระเบิดพลีชีพ" หรือที่เรียกว่า SVBIED (Suicide Vehicle-Borne Improvised Explosive Device) อย่างแพร่หลาย
อาวุธนี้คือการเอาระเบิดจำนวนมากใส่รถ ให้ขับไประเบิดตัวตายกับศัตรู มันมีอานุภาพรุนแรง ป้องกันยาก จัดเป็นสุดยอดอาวุธอย่างหนึ่ง
ภาพแนบ: เด็กคนดังกล่าว
พวก ISIS มักให้เด็กซึ่งจัดเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าไม่มาก แต่ล้างสมองง่าย เป็นคนขับรถ
ยกตัวอย่างกรณีของเด็กชายวัย 11 ขวบคนหนึ่ง ซึ่ง ISIS ได้บันทึกวิดีโอและสัมภาษณ์เด็กที่จะส่งไปตายไว้อย่างละเอียดเพื่อส่งวีดีโอไปปลุกใจคนอื่นๆ ต่อ บอกว่าขนาดเด็กอายุแค่นี้ยังเสียสละเลย
ในสัมภาษณ์นั้น เด็กชายได้นั่งอยู่กับพ่อ โดยพ่อเล่ารายละเอียดภารกิจ พร้อมสอนลูกว่า ให้พลีชีพเพื่ออุดมการณ์ ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ เด็กจึงกอดและจูบลาพ่อครั้งสุดท้าย ก่อนจะขับรถจากไป จากนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น…
...วิดีโอดังกล่าวของไอซิส จบลงด้วยคลิปสรรญเสริญวีรกรรมของเด็กชายพร้อมเพลงประกอบ…
*** เหตุโจมตีสนามบินฮามิด คาร์ไซ ***
เหตุระเบิดพลีชีพล่าสุดที่ได้รับความสนใจ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา มือระเบิดพลีชีพจากกลุ่มไอซิสสาขาอัฟกานิสถาน (ISIS-K) จำนวนสองรายโจมตีด่านคัดกรองผู้อพยพออกจากอัฟกานิสถาน ณ ท่าอากาศยานนานาชิตฮามิด คาร์ไซ กรุงคาบูล ก่อนสมาชิกอื่นจะมีการเปิดฉากยิงใส่ยิงผู้บริสุทธิ์ที่ตื่นตระหนก
เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ประชาชนกว่า 172 ราย และทหารสหรัฐอีก 13 นายเสียชีวิตจากการโจมตีเพียงชั่วพริบตา
*** ความเป็นไปได้ในไทย ***
ต้องยอมรับว่า แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผู้ก่อการร้ายมาระยะหนึ่งแล้ว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 กันยายน กระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้ส่งอีเมลแจ้งเตือนผ่านมายังสถานทูตญี่ปุ่นในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ รวมทั้งไทย ให้ระวังภัย”ก่อการร้าย” โดยเฉพาะ “มือระเบิดพลีชีพ” ซึ่งอาจก่อเหตุในพื้นที่ชุมชน, สถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงแหล่งเศรษฐกิจต่างๆ ฯลฯ
กรณีการเตือนนี้แตกต่างจากสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบที่ชาติสมาชิกอาเซียนเผชิญร่วมกันอยู่แล้ว เพราะมันอาจเป็นการโจมตีพื้นที่ปลอดภัย (หรือ “พื้นที่สีเขียว”)
นี่จึงถือเป็นภัยครั้งใหม่ที่ทุกชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรต้องเตรียมรับมือให้ทันท่วงที
ภาพแนบ: ระเบิดที่แยกราชประสงค์ ภาพจากข่าวสด
แม้ในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ ซึ่งสถานทูตญี่ปุ่นได้ระบุไว้ในเมล จะยังไม่เคยประสบเหตุระเบิดพลีชีพมาก่อน แต่ก็เคยถูกก่อการร้ายใหญ่ด้วย "การวางระเบิด" มาแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น คดีระเบิดที่แยกราชประสงค์ ในปี 2015 (2558)
*** เหตุระเบิดที่ราชประสงค์ ***
วันที่ 17 สิงหาคม 2015 เวลา 18:55 น. เกิดเหตุวางระเบิดขึ้นใกล้กับศาลท้าวมหาพรหม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งหน่วยเก็บกู้ระเบิดเข้าไปตรวจสอบ วิเคราะห์ออกมาว่าเป็นระเบิดทีเอ็นทีหนัก 3 กิโลกรัมอยู่ในท่อบริเวณศาลท้าวมหาพรหม มีรัศมีทำลายล้างประมาณ 100 เมตร และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าบุคคลต้องสงสัยน่าจะมีเชื้อแขก
ภาพแนบ: โฉมหน้าของผู้ต้องหาในคดี
ตำรวจสามารถจำผู้ต้องหาคนแรกเป็นชายสัญชาติตุรกีได้ในวันที่ 29 สิงหาคมปีเดียวกัน ก่อนขยายผลจับผู้ต้องหาได้อีกจำนวนหนึ่ง และพบว่าผู้ต้องหาเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำชาวมุสลิมอุยกูร์เข้าไทย ก่อนส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ
...ตอนนี้คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลยุติธรรม หลังขึ้นศาลทหารมาแล้ว...
แม้จะไม่ใช่เหตุระเบิดพลีชีพ แต่ภัยก่อการร้ายไม่ใช่สิ่งไกลตัวเราอีกต่อไป
ชาวไทยเช่นผมและผู้อ่าน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และพลุกพล่านอย่างกรุงเทพฯ ควรต้องระวังตัวและช่วยกันสอดส่องความน่าสงสัย ซึ่งจะมีวิธีปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติดังต่อไปนี้นะครับ...
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***