*** เปิดประตูสู่โลกผีญี่ปุ่น ***

เวลาพูดถึงญี่ปุ่นแล้ว หนึ่งในสิ่งที่เรานึกถึง นอกจาก การกิน เกม และการ์ตูนแล้วนั้น คงไม่พ้น “เรื่องผี” เพราะผีญี่ปุ่นมีหลากหลายแบบมาก นอกจากความหลอน บางตัวก็น่าสนใจ หรือบางครั้ง อาจไปถึงขั้นน่ารัก!?

เนื่องจากวันฮัลโลวีนใกล้เข้ามาแล้ว บทความนี้ผมเลยจะขอเล่านิยามของผีญี่ปุ่น ทั้งที่เรียกว่า “ยูเร” และ “โยไค”พร้อมนำเรื่องราวของผีญี่ปุ่นอีก 7 ตัวมาเล่าประกอบโดยมีทั้งเรื่องภูติผีที่ดังที่สุด (หมายเลข 3) เรื่องน่าสงสารที่สุด (หมายเลข 4) และเรื่องที่น่ารักที่สุด (หมายเลข 7)


ก่อนจะไปฟังเรื่องผี ต้องขอเกริ่นประวัติก่อน หลายแหล่งจะแบ่งผีญี่ปุ่นออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ยูเร (幽霊) และ โยไค (妖怪) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้นะครับ…

“ยูเร” หากแปลความหมายตรงตามตัวอักษรแล้ว “ยู” หมายถึง ซีดจาง ส่วน “เร” หมายถึงวิญญาณ รวมเป็น “วิญญาณจืดจาง” ฟังดูน่าสงสาร... ซึ่งก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละครับ เพราะยูเรมาจากคนที่ตายตาไม่หลับ เพราะยังมีบุญคุณความแค้นซึ่งไม่ได้สะสางให้ลุล่วง หรืออาจเพราะลูกหลานไม่ได้จัดงานศพให้ถูกต้อง เลยยังต้องวนเวียนอยู่บนโลกตามยถากรรม หากเปรียบกับไทยก็คล้ายๆ คำว่า “สัมภเวสี”


ภาพแนบ: ยูเร

ยูเรเฮี้ยนๆ โดยมาก มาจากคนที่ตอนมีชีวิตอยู่นั้นอาภัพ เจอเรื่องโหดร้ายรุนแรง โดนกลั่นแกล้งมาตลอด หรืออาจจะตายโดยยังไม่สิ้นอายุขัย (เช่น ฆ่าตัวตาย หรือโดนฆาตกรรม) พวกนี้ก็จะเฮี้ยนเป็นพิเศษ อันเป็นที่มาของความหลอนมากมาย

ถ้าใครเคยเห็นภาพผีญี่ปุ่นรูปร่างหน้าตาเหมือนคนแต่หน้าซีดๆ ใส่ชุดขาว ผมยาวดำ ไม่มีขา ลอยไปลอยมา บางทีก็ปรากฏตัวเป็นเพียงลูกไฟ ...นั่นล่ะครับยูเร

 
ภาพแนบ: ผีโคมไฟ
 
ส่วน “โยไค” นั้น “โย” คำว่าหมายถึง ความน่าสนใจ น่าหลงใหล ส่วนคำว่า “ไค” แปลว่า ปริศนา ความไม่ชอบมาพากล รวมกันแล้วก็เป็น “อะไรแปลกๆ ที่น่าค้นหา” ฟังดูน่าสนใจกว่ายูเรมาก และก็มีหลากรูปแบบกว่ามากด้วย

โยไคนั้นหากเทียบกับไทย น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า “ผี” ตามความเชื่อเรื่องศาสนาผีหรือวิญญาณนิยม (Animism) ซึ่งเป็นศาสนาแรกที่คนในโลกนับถือร่วมกัน ผีในที่นี้หมายถึงตัวตนเหนือธรรมชาติที่สามารถให้คุณให้โทษได้ โดยผีไม่จำเป็นต้องเป็นผีร้าย หลายกรณีเราก็เรียกเทพว่าผี เช่นผีฟ้า เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่หลายครั้งโยไคก็กลายเป็นคามิ (เทพ) ได้ด้วย

ดังนั้น โยไคอาจปรากฏอยู่ในหลากรูปแบบ เป็นได้ทั้งวิญญานที่สิงอยู่ในข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน เช่น ผีร่ม, ผีโคมไฟ ฯลฯ หรือจะเป็นอสูรกายเช่น ยักษ์, ผีคอยาว, กัปปะ, จิ้งจอก อะไรแบบนั้นก็ได้



ในศาสนาผีญี่ปุ่น มนุษย์นั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และจะมีการกลับชาติมาเกิดแบบ random เหมือนศาสนาผีของไทย เช่นคนเมื่อตายแล้วอาจจะไปเกิดเป็นเทนงู และกลับมาเกิดเป็นคนอีก โดยไม่ได้มีกติกาเรื่องบุญกรรมของศาสนาพุทธมาเกี่ยวนัก (คอนเซปการกลับชาติมาเกิดแบบนี้ยังเห็นได้จากนิทานพื้นบ้านบางเรื่องของไทย เช่นปลาบู่ทอง ที่คนตายแล้วกลายเป็นปลาบู่ ต้นไม้ และนกแขกเต้าแบบ random)

ในที่นี้เรื่องผมจะหยิบยกเรื่องของ “ภูติผีปีศาจญี่ปุ่น” ที่ดังๆ มาเล่าพอหอมปากหอมคอทั้งหมด 7 เรื่องนะครับ… 


ภาพแนบ: อามาเทระสุ

เรื่องที่ 1: อีกาสามขา

“อีกาสามขา” หรือ “ยาตะการาสุ” เป็นหนึ่งในสัตว์วิเศษสำคัญของญี่ปุ่น สืบทอดมาจากความเชื่อดั้งเดิมของจีนที่ว่ามีอีกาอาศัยอยู่บนดวงอาทิตย์ (ผู้อ่านอาจจะคุ้นกับตำนานโฮ่วอี้ยิงอีกาพระอาทิตย์ของจีน) และเนื่องจากคนญี่ปุ่นนับถือพระอาทิตย์ จึงนับถืออีกาสามขาเป็นสัญลักษณ์แทนกันไปด้วย

บางกระแสเชื่อว่าอีกานั้นคือพระอาทิตย์ ส่วนขาสามขาที่งอกออกมาหมายถึง ฟ้า, ดิน, และคน (คอนเซปของของสำคัญสามอย่างที่ลอกมาจากจีนอีกแล้ว) และเมื่อความเชื่อจีนผสมกับความเชื่อท้องถิ่น ชาวญี่ปุ่นก็ถือกันว่า ยาตะการาสุ คือนกผู้ส่งสารของอามาเทระสุ เทพีแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทพสูงสุดในศาสนาชินโต ดังนั้นสถานะในช่วงต่อมาของอีกาสามขาก็พัฒนาจากโยไคไปเป็นคามิด้วย


ภาพแนบ: จักรพรรดิจิมมุและยาตะการะสุ 

ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคเทพนิยาย พระจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่น นาม “จักรพรรดิจิมมุ” ได้พยายามสร้างชาติ แต่ประสบความลำบากทั้งจากศัตรูเผ่าอื่นและภัยธรรมชาติ เทพีอามาเทระสุเห็นใจเลยให้ยาตะการาสุไปนำทางจักรพรรดิจิมมุมุ่งสู่ทิศตะวันออก จนสามารถสร้างอาณาจักรขึ้นมาได้สำเร็จ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ยามาโตะ (ปัจจุบันคือนารา)

ปัจจุบัน ญี่ปุ่นยังมีการใช้อีกาสามขาเป็นสัญลักษณ์อยู่ ปรากฏให้เห็นในสัญลักษณ์ทีมฟุตบอลญี่ปุ่น (JFA) นั่นเอง


ภาพแนบ: เทนงูที่มีหน้าเป็นนกกา ศิลปะสมัยเอโดะ 

เรื่องที่ 2: เทนงู

เทนงูเดิมเป็นผู้เฝ้าสวรรค์ (คันจิของเทนงูอ่านเป็นจีนว่าเทียนโก้ว แปลตรงตัวคือ “สุนัขสวรรค์”) รูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีปีกบินไปไหนมาไหนได้ แรกๆ เชื่อกันว่าเทนงูมีปากเหมือนอีกา แต่ยุคต่อมากลับมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ยังมีใบหน้าสีแดง ตาโต และจมูกยาว กว่าคนทั่วๆ ไป ทั้งดูโกรธอยู่เสมอๆ นักวิชาการรุ่นหลังเชื่อว่ารูปลักษณ์ของเทนงูอาจจะมาจากครุฑอินเดีย และครุฑถูกเอามาปนกับชื่อสุนัขสวรรค์ได้อย่างไรนั้นยังไม่แน่ชัด

ตำนานช่วงแรกๆ กล่าวถึงเทนงูในทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คือเป็นมารที่ชอบก่อกวนชาวบ้าน โดยเฉพาะพระสงฆ์ เทนงูมักหลอกลวงให้คนไขว้เขว, จับไปปล่อยป่าบ้างล่ะ, หรือไม่ก็สิงผู้หญิงไปล่อลวงพระจนให้ตบะแตก


ภาพแนบ: จักรพรรดชูโทกุกลายเป็นเทนงู 

...มีตำนานเล่าว่าจักรพรรดิคนหนึ่งชื่อชูโทกุโดนขับออกจากบัลลังก์ และพยายามชิงอำนาจคืนแต่แพ้ ก่อนตายเลยลั่นสาบานแก้แค้น และกลายเป็นปีศาจเทนงูไป

ยุคต่อๆ มา ผู้คนมองเทนงูในมุมมองที่ดีขึ้น เช่นในยุคคามาคุระมีการเขียนแยก “เทนงูที่ดี” กับ “เทนงูที่ไม่ดี” ออกจากกัน ซึ่งในความไม่ดี ก็มีการอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะเทนงูตัวนั้นๆ ทะเยอทะยานเกินไปจึงหลงผิด แต่จริงๆ เนื้อในพวกเขาเป็นคนดี ชาติก่อนเป็นคนมีศีลธรรม

ช่วงศตวรรษที่ 18 - 19 เทนงูกลายเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา คอยรักษาป่าไม่ให้มีนายพรานเข้าไปบุกรุก หากนายพรานจะเข้าป่า ต้องบูชาเทนงูก่อน มิเช่นนั้นจะโดนกลั่นแกล้ง

ท้ายที่สุด เทนงูก็ได้ยกระดับจากแค่เป็นภูติผีปีศาจกลายเป็นคามิองค์หนึ่งไปด้วย...



เรื่องที่ 3: ยักษ์โอนิ

ยักษ์ญี่ปุ่น จริงๆ ก็คล้ายยักษ์บ้านเรา คือตัวใหญ่ ผิวกายมีหลายสี เขี้ยวยาว ถือตะบอง แต่ความต่างคือโอนิจะมีเขาด้วย

...ทั้งนี้บางทียักษ์โอนิจะเกิดมาจากวิญญาณของคนที่ทำชั่วมากๆ พอตายไปเลยกลายเป็นอสูร แต่สำหรับคนที่โคตรชั่ว ยังไม่ตายก็เป็นยักษ์ได้เหมือนกัน โดยโอนิที่โด่งดังก็เช่น “โอตาเกะมารุ” ซึ่งนอกจากมีกำลังมหาศาลยังมีเวทมนตร์ด้วย 



โอนิเป็นดาวเด่นในเทศกาล “เซทสึบุน” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 2 หรือ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี

จริงๆ เซทสึบุนหมายถึง “วันก่อนเปลี่ยนฤดูกาล” ฉะนั้นในปีๆ หนึ่งจะมีเซทสึบุนอยู่ 4 รอบ แต่ที่กำหนดฉลองตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นการเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นเหตุสำคัญ

ผู้คนจะแสดงความยินดีในการรอดพ้นจากฤดูหนาว โดยปาถั่วเพื่อขับไล่ความชั่วร้าย ซึ่ง “ความชั่วร้าย” ในที่นี้ คือการเอาคนที่ดวงซวยมาแต่งเป็นโอนิแล้วให้คนอื่นไล่ปาถั่วแกล้งนั่นเอง 


ภาพแนบ: รูปหล่อของโมโมทาโร่ที่โอคายามะ คอร์กี้ในรูปขายาวกว่าปกติ เพราะช่างฝีมือกลัวคนไม่เห็น 

อีกตำนานหนึ่งที่โอนิมีบทบาทมากและเราน่าจะคุ้นเคยกันดีคือตำนาน “โมโมทาโร่” หรือเด็กชายที่เกิดจากลูกท้อซึ่งตากับยายไปเก็บมาได้จากริมน้ำ

เด็กชายโมโมทาโร่เป็นคนจิตใจดี พอโตขึ้น และพบว่าหมู่บ้านโดนยักษ์บุกบ่อยๆ เลยออกเดินทางไปปราบ ซึ่งระหว่างทางโมโมทาโร่ก็ได้พรรคพวกเป็นนก ลิง กับหมาคอร์กี้ และสามารถจัดการโอนิลงได้สำเร็จ คืนความสงบสุขแก่หมู่บ้านอีกครั้ง


ภาพแนบ: ต่อให้คิทสึเนะแปลงร่างสวยยังไง เงาก็ยังเป็นจิ้งจอก

เรื่องที่ 4: ปีศาจจิ้งจอก

“คิทสึเนะ” หรือปีศาจจิ้งจอกนั้น ถือเป็นสัตว์วิเศษ ยิ่งอายุมากยิ่งมีหางมาก (สูงสุด 9 หาง) ยิ่งตบะกล้าแกร่ง จะยิ่งมีปัญญามาก แถมยังแปลงเป็นมนุษย์ได้ด้วย ...ตามในตำนานญีปุ่น จะมีเทพจิ้งจอกอีกตนคืออินาริ ซึ่งความต่างของทั้งสองคือ อินาริเป็นคามิในชินโต ส่วนคิทสึเนะเป็นโยไค

ตามความเชื่อบอกว่า คิทสึเนะจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เมื่ออายุ 50 ปี (บ้างก็ว่า 100 ปี) โดยเมื่อใช้ใบไม้แปะหัว ก็จะแปลงร่างได้ (อีกตัวที่แปลงร่างได้ด้วยวิธีนี้คือ “ทะนุกิ” จึงมีบางเรื่องเล่าบอกว่าสองตัวนี้เป็นคู่แข่งกัน) ถึงคิทสึเนะจะแปลงเป็นคนไหน เพศอะไร อายุเท่าไหร่ก็ได้ แต่ที่เราคุ้นเคยสุดก็คือเวอร์ชั่นที่แปลงเป็นผู้หญิงสวยๆ


ภาพแนบ: ทามาโมะ โนะ มาเอะ

มีตำนานเล่าเกี่ยวกับจิ้งจอกเก้าหางตนหนึ่งอวตารตนเป็นเด็กหญิง (ภาษาญี่ปุ่นเรียกจิ้งจอกแบบนี้ว่า “คิวบิโนะโยโกะ”) มีคู่สามีภรรยาเก็บเธอไปเลี้ยงแล้วตั้งชื่อว่า “มิคุซึเมะ” ซึ่งปรากฏว่าเธอโตขึ้นมาฉลาดมากๆ เก่งทั้งด้านศิลปะและวิชาการ เลยได้เข้าไปทำงานในวังใกล้ชิดจักรพรรดิ ได้ชื่อใหม่ว่า “ทามาโมะ โนะ มาเอะ”

อนิจจาเนื่องจากตัวจริงทามาโมะเป็นภูติผี เลยทำให้จักรพรรดิป่วย นางรู้ดีแต่ก็กลัวไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งมีหมอผีมาปัดรังควาญ เลยทำให้ความแตก นางต้องหนีไป แต่ก็ถูกตามฆ่าในที่สุด ซึ่งต่อมาจักรพรรดิก็ตายตามนางไปในเวลาไม่นาน ทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย ผู้คนจึงโทษว่าทามาโมะ โนะ มาเอะ เป็นผีชั่วร้าย ทะเยอทะยาน สร้างความยิ้มไปทั่ว… น่าสงสารเธอจริงๆ (ตำนานนี้น่าจะมาจากเรื่องนางปีศาจต๋าจีของจีนยุคราชวงศ์ซาง)



เรื่องที่ 5: นางเงือก

เงือกในภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า “นินเกียว” ซึ่งแปลตรงตัวได้เลยคือ “คนปลา” แต่เงือกญี่ปุ่นจะหน้าตาหลอนๆ หน่อย ไม่ใช่แบบในหนังลิตเติลเมอร์เมด หรือในพระอภัยมณี กล่าวคือ แม้ท่อนล่างจะเป็นปลา แต่ท่อนบนจะดูคล้ายลิงมากกว่ามนุษย์ บ้างก็ว่าเป็นปลาทั้งตัว แต่มีหัวเป็นคนมีเขามีเขี้ยว ...อันไหนก็ล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น

คนญี่ปุ่นมองว่าเงือกมีเวทมนนตร์ สามารถดลบันดาลให้ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด! เปรี้ยงปร้างสว่างไสวอันตรายไปทุกที่! และนอกจากนี้ หากชาวประมงคนไหน ไปจับเงือกขึ้นมาจากทะเล บริเวณนั้นจะเกิดเภทภัยขึ้น

...แล้วทำไมคนยังจะไปจับมันมา? เพราะเชื่อว่าการกินเนื้อเงือกจะทำให้เป็นอมตะไงล่ะ! 

*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่