[CR] [รีวิว+อวยขั้นสุด] DUNE: Part One (2021) | ยอดเยี่ยม - ทรงพลัง - งดงาม - ฉลาดล้ำ - ที่สุดแห่งปี 2021 [ไร้ส้มป่อย]

(คำเตือน : กระทู้นี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลของข้าพเจ้าเท่านั้น
หากมีบรรทัดหรือวรรคใดที่ข้าพเจ้านั้นเขียนบรรยายโดยใช้ภาษาที่ไม่สมจริง ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณประกอบการอ่านกระทู้นี้
ขอเรียนมาเพื่อทราบว่าข้าพเจ้าจะอวยหนังเรื่องนี้ให้สุดความสามารถของข้าพเจ้า เพราะมันถูกใจข้าพเจ้าเสียเหลือเกิน)

ต้นฉบับของ DUNE นั้นคือนิยายไซไฟโลกอนาคตที่ถูกเขียนโดย Frank Herbert ตัวนิยายถูกเขียนและตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1965 ถูกขนานนามว่าเป็นนิยายไซไฟที่มาก่อนกาลเวลา ได้รับคำชมจากผู้อ่านอย่างล้นหลามว่า "นี่คือ The Lord of the Rings ฉบับไซไฟ" และได้รับรางวัล Hugo Award และ Nebula Award สาขานิยายยอดเยี่ยมอีกด้วย ถูกสร้างเป็นหนังในปี 1984 โดยผู้กำกับ David Lynch และถูกนำไปดัดแปลงเป็นมินิซีรีส์ฉายทางทีวีในปี 2000

เราไม่เคยดู DUNE ฉบับปี 1984 มาก่อน ฉบับมินิซีรีส์ปี 2000 ก็ไม่เคยดู นิยายก็ไม่เคยคิดที่จะซื้อมาอ่าน เพราะพิจารณาจากความหนาของเนื้อหาแล้ว กลัววูบตั้งแต่ 10 หน้าแรก (เราไม่ถูกโฉลกกับนิยายไซไฟเลย The Martian ที่หนังสนุกมากแต่นิยายนี่คือยานอนหลับขนานแท้ หรือว่า The War of the World ที่หนังตื่นเต้นลุ้นระทึกทุกวินาทีแต่พออ่านนิยายแล้ววูบตลอด) แต่ที่อยากดูก็เพราะชื่อผกก. Denis Villeneuve เจ้าของผลงานหนังไซไฟที่เราชอบมากในศตวรรษนี้อย่าง Arrival และ Blade Runner 2049 เราชื่นชอบในการนำเสนอสาส์นจากหนังของเฮียแก มันดูละมุนละม่อมและนุ่มนวลดี เหมือนเรากำลังล่องลอยอยู่ในโลกของหนังจริงๆ

เนื้อเรื่องฉบับนิยาย : เมื่อจักรพรรดิพาดิชา ผู้นำสูงสุดของเหล่าดวงดาว มีบัญชาให้ดยุคเลโท อะเทรดีส เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์สละดาวคาลาดานที่ตระกูลอะเทรดีสของเขาปกครองมานานเพื่อไปครองบัลลังก์บนดาวดวงใหม่ที่ชื่ออาร์ราคิส หรือที่รู้จักในนาม “ดูน” ดาวแห่งทะเลทราย ดยุคเลโทจำใจต้องทำตามบัญชา แม้ว่าดาวอาร์ราคิสจะเป็นดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดในจักรวาลอย่าง “สไปซ์” ที่อาจสร้างความมั่งคั่งให้กับตระกูลอะเทรดีสและประชาชนของเขา แต่ดยุคเลโทรู้ดีว่าคำสั่งย้ายไปครองดาวอาร์ราคิสครั้งนี้ต้องเป็นแผนร้ายของบารอนวลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน แห่งตระกูลฮาร์คอนเนน ศัตรูคู่แค้น เขารู้ว่าจะต้องมีกับดักบางอย่าง และต้องเป็นกับดักที่อันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เนื้อเรื่องฉบับภาพยนตร์ : พอล อาร์เทรดีส อัจฉริยะหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมโชคชะตาอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเข้าใจ เขาต้องเดินทางไปยังดาวเคราะห์ที่อันตรายที่สุดในจักรวาลเพื่อความอยู่รอดและอนาคตของครอบครัวรวมถึงผู้คนของเขา หลังถูกรุกรานโดยกองกำลังวายร้ายหน้าเลือดที่หวังแย่งชิงทรัพยากรที่ล้ำค่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งสามารถใช้ดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติออกมาได้ และมีเพียงผู้ที่สามารถเอาชนะความกลัวได้เท่านั้นที่จะอยู่รอดในศึกครั้งนี้
เรารู้สึกชอบเกินความคาดหมายเหมือนกันนะ ทีแรกคือเตรียมใจไปหลับในโรงแล้วเพราะเพื่อนมารีวิวให้เราฟังว่า 'หลับทั้งเรื่อง' เราก็เกรงว่าหนังจะน่าเบื่อหรือเนิบกว่าหนังสองเรื่องก่อนหน้านี้ของ Villeneuve อย่าง Arrival กับ Blade Runner 2049 หรือเปล่า ก็เลยเตรียมตัวและเตรียมใจก่อนไปดู หลับก็ไม่เสียใจที่พยายาม (555) แต่ให้ตายเถอะ หนังสนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

คือมันสนุกแบบหนังบันเทิงเรื่องนึงเลยอ่ะ ไม่ได้ดูยากจนเกินไปหรือว่าเนิบช้าจนเกินไป หนังเล่าเรื่องได้ละเอียดและน่าติดตามมากๆ 2 ชั่วโมงครึ่งหาน่าเบื่อไม่ หนังเดินเรื่องเป็นเส้นตรง ไม่ซับซ้อน ไม่มีอะไรเข้าใจยาก แต่ช่วงแรกต้องโฟกัสนิดนึงเพราะหนังป้อนข้อมูลให้เยอะพอสมควร ทั้งชื่อดาว ชื่อเผ่า ชื่อตระกูล และชื่อตัวละคร ต้องตามให้ทัน สารภาพว่าเราจำชื่อดาวไม่ค่อยได้ (555) แต่ก็ยังคงบันเทิงกับหนังได้เต็มเปี่ยมเพราะแต่ละดาวหรือแต่ละเผ่าก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดูปุ๊บก็แยกออกทันทีว่าเป็นพวกไหน อาจจะเนือยไปบ้างสำหรับบางคน แต่เป็นความเนือยที่ละสายตาจากจอไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

อย่างที่บอกว่าเนื้อหาของหนังไม่ได้เข้าใจยาก เพราะ Main concept ของหนังมีความเป็นการเมืองเจือปนอยู่สูง มีเรื่องของศาสนาผสมอยู่นิดๆ แต่ภาพรวมมันจะออกรสคล้ายๆ Game of Thrones ผสมกับความอลังการแบบ Star Wars ด้วยตัวนิยายต้นฉบับมันเขียนขึ้นมาในปี 1965 แน่นอนว่ามันก็มีบางอย่างที่โคตรล้ำ และบางอย่างที่แอบเชย แต่พอมันมาอยู่ในมือของ Villeneuve ทุกอย่างออกมาดูดี ยิ่งใหญ่อลังการแบบ Extreme ไม่ดูลิเกจนเกินไป (ถ้าเอาผกก. ที่มือไม่ถึงมาทำ มีสิทธิ์บ้งสูงเลยนะ)
ดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ในตัวอย่างที่ดูแหม่งๆ มาอยู่ในหนังจริงแล้วคือที่สุดแห่งความพีค กลิ่นอายจะเหมือนในเรื่อง Blade Runner 2049 อยู่นะ คือมันฟังดูยิ่งใหญ่ เหนือกาลเวลา เหนือความจริง และดูหลอนในเวลาเดียวกัน บางฉากนี่ขนลุกซู่เลยเพราะดนตรี Build-up มาดีมาก ผสมกับ Sound Design ในเรื่องคือเป๊ะ ไม่มีหักสักคะแนน (Oscar สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมต้องสั่นสะเทือนเหมือนตอน Blade Runner 2049 แน่นอน) แทร็คที่เราชอบมากที่สุดในเรื่องก็คือ Paul's Dream ที่ในตย. ว่าอลังการแล้ว พอไปได้ยินในโรงคือกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด สู่ขิตแล้วจ้าพ่อ นี่ยังไม่นับงานกำกับภาพของ Greig Fraser นะ เราแนะนำโรง IMAX มากๆ ขนาดเราดูในโรงธรรมดาเรายังรู้สึกขนลุกเลย ถ้าดูจอใหญ่กว่านี้คือสู่ขิตรอบสองแน่ๆ

ในส่วนของนักแสดง ทีแรกเราเป็นห่วง Timothée Chalamet มากว่านางจะไหวมั้ย ไม่ห่วงการแสดงหรอก แต่ห่วงว่าออร่าจะมากพอจะรับบทเด่นในหนังฟอร์มยักษ์ขนาดนี้หรือเปล่า เพราะมองไปรอบตัว ดาราสมทบคือเบอร์ใหญ่เว่อร์ ทั้ง Rebecca Ferguson, Oscar Isaac, Jason Momoa, Josh Brolin, Dave Bautista, Stellan Skarsgård, Zendaya, Javier Bardem, Chang Chen ทุกคนคือรัศมีแรงพอที่จะถล่มนางให้ตายคาจอเลย เหมือนตอนที่เราดู Shang-Chi พระเอก Simu Liu เล่นดีนะ แต่ออร่าไม่มากพอที่จะดึงความเด่นของตัวเองออกมาไม่ให้โดนกลบได้ ฉากที่ต้องเล่นกับเฮียเหลียงคือเน่าสนิท เล่นกับ Michelle Yeoh ก็ออร่ายังไม่สู้ แต่ไม่ใช่กับ Timmy ในเรื่องนี้ เพราะนอกจากเล่นดีแล้ว ออร่าพุ่งมาก โคตรเด่น โคตรหล่อ โคตรรวยบารมี เคมีของนางกับ Rebecca คือดีงามพระรามแปด เราชอบฉากในเต้นท์มาก Timmy เล่นดีโคตร Rebecca ก็รับอารมณ์จาก Timmy ได้ดี เป็นหนึ่งในฉากสุดยอดการแสดงแห่งปีเลย อีกคนที่เราชอบพอสมควรก็คือ Zendaya ถึงแม้นางจะมาน้อย แต่นางมานะ
สิ่งที่ชอบ
1. สนุก นี่คือหนังไซไฟที่สนุกที่สุดและเป็นหนังที่เราชอบมากที่สุดแห่งปี 2021
2. บทหนัง ดัดแปลงมาจากนิยายได้ถูกต้องตามกระบวนการดัดแปลงตัวหนังสือสู่แผ่นฟิล์ม ข้อมูลครบ พร้อมสำหรับภาคต่อไป
3. การดำเนินเรื่อง น่าติดตามมากๆ แถมเดินไปข้างหน้าแบบไม่สะดุดเลย
4. งานสร้าง ยอดเยี่ยม
5. นักแสดง ยอดเยี่ยม
6. Timothée Chalamet + Rebecca Ferguson ยอดเยี่ยมที่สุด
7. ฉากแอคชั่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ Villeneuve กำกับฉากแอคชั่นได้มันส์และอลังการมากเลยค่ะสาว
8. ดนตรีประกอบโดย Hans Zimmer ต้องได้ชิงรางวัลแล้วแหละ
9. ตอนจบ จบได้ดี จบได้ถูกต้องสมกับเป็นปฐมบท

สรุป ไม่ผิดหวังเลยที่รอมานาน และไม่ผิดหวังที่ได้ดูในโรง เป็นหนึ่งในประสบการณ์ดูหนังที่น่าจดจำมากที่สุดในปีนี้เลย ได้ข่าวว่าทาง Warner Bros. อนุมัติสำหรับ Part Two แล้ว ตื่นเต้นมาก อยากดูแล้ว ขอแบบเต็มอิ่มจุกๆ เลยนะจ๊ะ (ขอสักสามชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ โทษฐานที่ทำให้รอนาน555)

คะแนนเฉลี่ยรวม : 10/10
ชื่อสินค้า:   DUNE: Part One (2021)
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่