เราแต่งงานมาได้เกือบ 4 ปีแล้ว แต่ย้ายมาอยู่กับครอบครัวสามีได้เกือบสามปี ก่อนเราจะย้ายมา เคยมีคนถามว่าย้ายไปอยู่กันสองคนหรอ เราบอกว่าอยู่กับแม่สามีและพี่ชายเค้าด้วย คนนั้นก็แอบเตือนๆเรานะว่า คิดดูดีๆนะ ถ้าอยู่กันสองคนได้จะดีที่สุด อยู่กับแม่สามียังไงก็เกิดปัญหา เราก็บอกเค้าไปว่าเราอยู่ได้ แม่สามีเราใจดีมาก คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เค้าก็บอกว่าเชื่อเถอะ เมื่อก่อนเค้าก็คิดแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่รอด
และเมื่อเราได้เข้ามาอยู่บ้านสามีเป็นทาวน์เฮาส์อยู่ด้วยกันสี่คน รวมเราด้วย เราก็พยายามปรับตัวอยู่พอสมควร สามีกับพี่ชายไปทำงานจ.-ส. เราอยู่กับแม่สามีสองคน มันก็รู้สึกอึดอัดนิดๆ นะ เจอหน้ากันทุกวัน เราก็ชวนคุยไม่ค่อยเก่ง บางทีก็ขึ้นไปอยู่บนห้องนอน แม่แกก็ไปถามสามีว่าเราเบื่อแกรึป่าว คือบางทีเราก็อยากได้ความเป็นส่วนตัวบ้าง จะให้อยู่กับแกตลอดเวลาเลยก็คงไม่ได้ เราเลยต้องพยายามมาอยู่กับแกนั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน เพราะแกขับรถไม่เป็น ไม่เคยไปไหนเอง ต้องมีคนขับรถไปส่ง วันหนึ่งพาแกไปงานทำบุญที่บ้านญาติแล้วเค้าก็ถามเราว่าเมื่อไหร่จะมีลูก แม่แกก็พูดประมาณว่ามีหลานแล้วเหนื่อย เราคิดว่าจะแกคงไม่อยากได้ จนวันหนึ่งเราท้อง
เรากลับไปอยู่บ้านเดือนนึง และกลับมาบ้านสามีและบอกแม่สามีว่าเราท้องแล้ว แกก็นิ่งๆนะ ไม่ได้ว่าอะไร เราคิดนะว่าการได้อยู่กับแกทุกๆวัน จะทำให้เราสนิทกันไปเอง แต่มันกลับรู้สึกอึดอัดมากขึ้น จนทำให้บางทีเราแอบน้อยใจสามี ร้องไห้คนเดียว ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะเราท้องด้วย ในระหว่างนี้เราต้องพาแกไปดูช่างต่อเติมห้องที่บ้านใหม่ ซึ่งพี่ชายสามีเราซื้อไว้ และจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน
เมื่อบ้านต่อเติมเสร็จ เรากับสามีย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ก่อน ประมาณสองอาทิตย์ ช่วงนั้นเรารู้สึกโล่งมาก สบายใจมาก และแกก็ย้ายตามมา จนเราคลอดลูก แกดูรักหลาน เห่อมาก วันที่เราออกจากรพ. สามีเราให้แม่เค้ามารับเรากับลูก ซึ่งตอนนั้นพ่อกับแม่เรามาพอดี เลยให้พ่อเรามากับแม่สามี เราก็งงว่าทำไมสามีเราไม่พาเรากับลูกกลับเลย จะให้แม่แกมารับทำไม สามีบอกแม่เค้าอุ้มลูกเราไปรถเค้า แล้วจะให้เรานั่งไปกับพ่อเรา ซึ่งต้องแยกรถกัน แต่ตอนนั้นพยาบาลที่มาส่งเค้าบอกว่า ไม่ควรให้น้องแยกกับแม่ เพราะถ้าน้องร้องหิวนมจะทำยังไง เราก็เลยนั่งไปกับสามีด้วย ซึ่งแม่สามีก็อุ้มลูกเราไว้ ตอนนั้นเรารู้สึกโกรธมาก ที่เค้าแยกลูกไปจากเรา
เมื่อเรากลับมาอยู่บ้าน เราให้แม่เราช่วยเลี้ยงลูกเราเดือนนึง หลังจากนั้นเราก็เลี้ยงเอง รู้สึกไม่อยากให้แม่สามีมาช่วยเลี้ยง มีความรู้สึกต่อต้านแกสูงมาก บวกกับแกมักจะมีความเชื่อโบราณมาใช้เลี้ยงลูกเรา เราไม่ได้อคติกับความเชื่อโบราณหรอกนะ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความเชื่อโบราณก็ไม่ใช่ว่าจะถูกเสมอ เราจึงพยายามเลี้ยงเราเองไม่ให้แกมาช่วย จนบางครั้งความคิดไม่ตรงกันก็มีเถียงกันบ้าง แต่ไม่รุนแรง จนแกน่าจะรู้สึกได้ว่าเราไม่ชอบ ครั้งนึงเถียงกันต่อหน้าสามีเลย เรื่องกล้วย พอลูกเราหกเดือน เริ่มกินข้าวได้ แกก็จะให้ลูกเรากินกล้วย บอกว่าให้กินกล้วยแทนข้าวได้เลย แต่เรายังไม่อยากให้กิน กลัวลูกท้องผูก อยากให้กินข้าวบดผสมนม ผสมผัก คือเราก็แอบไม่ยอม ลูกเราเราก็อยากเลี้ยงเอง บางทีแกพาลูกเราไปยืนเกาะตู้วางโทรทัศน์ซึ่งมันมีฝุ่นเกาะอยู่ เราก็บอกลูกเราว่า ไปเล่นที่อื่นดีกว่าตรงนี้มีฝุ่น เราอุ้มลูกเราออกมา แกก็พูดกระแทกตามหลังว่า เป็นฝุ่นก็เช็ดได้ เราพยายามนิ่ง และอีกหลายๆอย่างที่แกทำแล้วเราไม่เห็นด้วย เช่น พาลูกเราวัยสองเดือนไปนั่งตากแดดตากลมหน้าบ้านตอนสาย หยอกเล่นลูกเราเวลากินข้าว มาเล่นกับลูกเราตอนเราจะพาเข้านอน คือตอนกลางวันทั้งวันก็ไม่มาเล่น อะไรที่แกไม่พอใจ แกก็บอกสามีเราหมด แต่เราไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับแม่ให้สามีฟังเลย เพราะมันไม่ดีแน่ๆ
เราพยายามอดทนและทำใจให้อยู่กับแม่สามีให้ได้ แต่เหมือนบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าเราทำผิดอะไร อยู่ๆแกก็ไม่พูดด้วย ความอึดอัดยิ่งทวีคูณไปอีก และวันนึงแกต้องกลับไปดูแลยายที่ต่างจังหวัด ช่วงนั้นคือเราสบายใจมากๆ และคิดว่าอยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอด
แกไปอยู่ต่างจังหวัดเกือบปี พอถึงวันที่แกต้องกลับมาอยู่ด้วยกัน เราก็คิดว่า เอาน่าลองดูใหม่ จูนกะแกใหม่ อะไรๆ จะต้องดีขึ้น แกอยู่ได้เดือนนึง แรกๆก็เหมือนจะดีขึ้น แต่ก็กลับมาเหมือนเดิม อารมณ์้เราก็ขึ้นๆลงๆ ควบคุมไม่ได้ จนตอนนี้เราอึดอัดและอยากย้ายไปอยู่บ้านหลังเดิม แต่เราก็กลัวว่าถ้าบอกสามีไปเค้าจะไม่สบายใจ เพราะยังไงเค้าก็อยากให้เราอยู่กับครอบครัวเค้า อยากให้ช่วยเหลือแม่เค้า แต่เราว่าสามีเราก็น่าจะสัมผัสได้นะ และมันก็น่าจะถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายซะที เรากลับมานึกถึงคำเตือนในวันนั้นเลย แต่เราเลือกไม่ได้ ไม่อยากเป็นตัวปัญหาเลย แต่การที่เรามาอยู่กับเค้าเราก็เสียสละโอกาสมากมาย ทั้งการงานดีๆ เงินเดือนสามหมื่น ชีวิตส่วนตัว ต้องจากบ้านมาไกลเพื่อใช้ชีวิตคู่ ไม่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ของตัวเอง ได้แค่อธิษฐานขอพรให้ชีวิตมีความสุข อย่าให้มีอะไรแย่ไปกว่านี้ การย้ายออกไปอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่เราจะคุยกับคนกลางยังไงดี
อยากแยกบ้านกับแม่สามี แต่ไม่รู้จะพูดกับสามียังไง
และเมื่อเราได้เข้ามาอยู่บ้านสามีเป็นทาวน์เฮาส์อยู่ด้วยกันสี่คน รวมเราด้วย เราก็พยายามปรับตัวอยู่พอสมควร สามีกับพี่ชายไปทำงานจ.-ส. เราอยู่กับแม่สามีสองคน มันก็รู้สึกอึดอัดนิดๆ นะ เจอหน้ากันทุกวัน เราก็ชวนคุยไม่ค่อยเก่ง บางทีก็ขึ้นไปอยู่บนห้องนอน แม่แกก็ไปถามสามีว่าเราเบื่อแกรึป่าว คือบางทีเราก็อยากได้ความเป็นส่วนตัวบ้าง จะให้อยู่กับแกตลอดเวลาเลยก็คงไม่ได้ เราเลยต้องพยายามมาอยู่กับแกนั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน เพราะแกขับรถไม่เป็น ไม่เคยไปไหนเอง ต้องมีคนขับรถไปส่ง วันหนึ่งพาแกไปงานทำบุญที่บ้านญาติแล้วเค้าก็ถามเราว่าเมื่อไหร่จะมีลูก แม่แกก็พูดประมาณว่ามีหลานแล้วเหนื่อย เราคิดว่าจะแกคงไม่อยากได้ จนวันหนึ่งเราท้อง
เรากลับไปอยู่บ้านเดือนนึง และกลับมาบ้านสามีและบอกแม่สามีว่าเราท้องแล้ว แกก็นิ่งๆนะ ไม่ได้ว่าอะไร เราคิดนะว่าการได้อยู่กับแกทุกๆวัน จะทำให้เราสนิทกันไปเอง แต่มันกลับรู้สึกอึดอัดมากขึ้น จนทำให้บางทีเราแอบน้อยใจสามี ร้องไห้คนเดียว ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะเราท้องด้วย ในระหว่างนี้เราต้องพาแกไปดูช่างต่อเติมห้องที่บ้านใหม่ ซึ่งพี่ชายสามีเราซื้อไว้ และจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน
เมื่อบ้านต่อเติมเสร็จ เรากับสามีย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ก่อน ประมาณสองอาทิตย์ ช่วงนั้นเรารู้สึกโล่งมาก สบายใจมาก และแกก็ย้ายตามมา จนเราคลอดลูก แกดูรักหลาน เห่อมาก วันที่เราออกจากรพ. สามีเราให้แม่เค้ามารับเรากับลูก ซึ่งตอนนั้นพ่อกับแม่เรามาพอดี เลยให้พ่อเรามากับแม่สามี เราก็งงว่าทำไมสามีเราไม่พาเรากับลูกกลับเลย จะให้แม่แกมารับทำไม สามีบอกแม่เค้าอุ้มลูกเราไปรถเค้า แล้วจะให้เรานั่งไปกับพ่อเรา ซึ่งต้องแยกรถกัน แต่ตอนนั้นพยาบาลที่มาส่งเค้าบอกว่า ไม่ควรให้น้องแยกกับแม่ เพราะถ้าน้องร้องหิวนมจะทำยังไง เราก็เลยนั่งไปกับสามีด้วย ซึ่งแม่สามีก็อุ้มลูกเราไว้ ตอนนั้นเรารู้สึกโกรธมาก ที่เค้าแยกลูกไปจากเรา
เมื่อเรากลับมาอยู่บ้าน เราให้แม่เราช่วยเลี้ยงลูกเราเดือนนึง หลังจากนั้นเราก็เลี้ยงเอง รู้สึกไม่อยากให้แม่สามีมาช่วยเลี้ยง มีความรู้สึกต่อต้านแกสูงมาก บวกกับแกมักจะมีความเชื่อโบราณมาใช้เลี้ยงลูกเรา เราไม่ได้อคติกับความเชื่อโบราณหรอกนะ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความเชื่อโบราณก็ไม่ใช่ว่าจะถูกเสมอ เราจึงพยายามเลี้ยงเราเองไม่ให้แกมาช่วย จนบางครั้งความคิดไม่ตรงกันก็มีเถียงกันบ้าง แต่ไม่รุนแรง จนแกน่าจะรู้สึกได้ว่าเราไม่ชอบ ครั้งนึงเถียงกันต่อหน้าสามีเลย เรื่องกล้วย พอลูกเราหกเดือน เริ่มกินข้าวได้ แกก็จะให้ลูกเรากินกล้วย บอกว่าให้กินกล้วยแทนข้าวได้เลย แต่เรายังไม่อยากให้กิน กลัวลูกท้องผูก อยากให้กินข้าวบดผสมนม ผสมผัก คือเราก็แอบไม่ยอม ลูกเราเราก็อยากเลี้ยงเอง บางทีแกพาลูกเราไปยืนเกาะตู้วางโทรทัศน์ซึ่งมันมีฝุ่นเกาะอยู่ เราก็บอกลูกเราว่า ไปเล่นที่อื่นดีกว่าตรงนี้มีฝุ่น เราอุ้มลูกเราออกมา แกก็พูดกระแทกตามหลังว่า เป็นฝุ่นก็เช็ดได้ เราพยายามนิ่ง และอีกหลายๆอย่างที่แกทำแล้วเราไม่เห็นด้วย เช่น พาลูกเราวัยสองเดือนไปนั่งตากแดดตากลมหน้าบ้านตอนสาย หยอกเล่นลูกเราเวลากินข้าว มาเล่นกับลูกเราตอนเราจะพาเข้านอน คือตอนกลางวันทั้งวันก็ไม่มาเล่น อะไรที่แกไม่พอใจ แกก็บอกสามีเราหมด แต่เราไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับแม่ให้สามีฟังเลย เพราะมันไม่ดีแน่ๆ
เราพยายามอดทนและทำใจให้อยู่กับแม่สามีให้ได้ แต่เหมือนบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าเราทำผิดอะไร อยู่ๆแกก็ไม่พูดด้วย ความอึดอัดยิ่งทวีคูณไปอีก และวันนึงแกต้องกลับไปดูแลยายที่ต่างจังหวัด ช่วงนั้นคือเราสบายใจมากๆ และคิดว่าอยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอด
แกไปอยู่ต่างจังหวัดเกือบปี พอถึงวันที่แกต้องกลับมาอยู่ด้วยกัน เราก็คิดว่า เอาน่าลองดูใหม่ จูนกะแกใหม่ อะไรๆ จะต้องดีขึ้น แกอยู่ได้เดือนนึง แรกๆก็เหมือนจะดีขึ้น แต่ก็กลับมาเหมือนเดิม อารมณ์้เราก็ขึ้นๆลงๆ ควบคุมไม่ได้ จนตอนนี้เราอึดอัดและอยากย้ายไปอยู่บ้านหลังเดิม แต่เราก็กลัวว่าถ้าบอกสามีไปเค้าจะไม่สบายใจ เพราะยังไงเค้าก็อยากให้เราอยู่กับครอบครัวเค้า อยากให้ช่วยเหลือแม่เค้า แต่เราว่าสามีเราก็น่าจะสัมผัสได้นะ และมันก็น่าจะถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายซะที เรากลับมานึกถึงคำเตือนในวันนั้นเลย แต่เราเลือกไม่ได้ ไม่อยากเป็นตัวปัญหาเลย แต่การที่เรามาอยู่กับเค้าเราก็เสียสละโอกาสมากมาย ทั้งการงานดีๆ เงินเดือนสามหมื่น ชีวิตส่วนตัว ต้องจากบ้านมาไกลเพื่อใช้ชีวิตคู่ ไม่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ของตัวเอง ได้แค่อธิษฐานขอพรให้ชีวิตมีความสุข อย่าให้มีอะไรแย่ไปกว่านี้ การย้ายออกไปอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่เราจะคุยกับคนกลางยังไงดี