ยอดดับต่ำร้อย โควิดไทยวันนี้ เสียชีวิต 73 ราย ติดเชื้อใหม่ 10,630 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/news_2981872
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ศูนย์ข้อมูลโควิด 19 เผยแพร่ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2564
รวม 10,630 ราย จำแนกเป็น
ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 9,881 ราย
ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 673 ราย
ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 67 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 9 ราย
ผู้ป่วยสะสม 1,671,204 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)
หายป่วยกลับบ้าน 10,542 ราย
หายป่วยสะสม 1,544,906 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)
ผู้ป่วยกำลังรักษา 110,128 ราย
เสียชีวิต 73 ราย
ไทยติดเชื้อ ATK ใหม่ 7,421 ราย สะสมทะลุ 2 แสนราย ป่วยอาการหนัก 2,967 คน
https://www.matichon.co.th/local/news_2981882
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ศูนย์ข้อมูลโควิด 19 เผยแพร่ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2564
รวม 10,630 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 9,881 ราย , ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 673 ราย , ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 67 ราย , ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 9 ราย , ผู้ป่วยสะสม 1,671,204 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)
หายป่วยกลับบ้าน 10,542 ราย ,หายป่วยสะสม 1,544,906 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ,ผู้ป่วยกำลังรักษา 110,128 ราย
เสียชีวิต 73 ราย สะสม 17,607 ราย
ทั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อจากการตรวจ ATK แล้ว 7,421 ราย สะสมทั้งหมด 201,396 ราย
ผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลสนาม 68,245 ราย อาการหนัก 2,967 ราย และ อาการหนักใส่ท่อช่วยหายใจ 677 ราย
โควิดทำไทยขาดดุลครั้งแรกรอบ 16 ปี ttb ลั่นจุดเปราะบางเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย
https://www.prachachat.net/finance/news-778615
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินโควิด-19 ระบาด ทำไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครั้งแรกในรอบ 16 ปี นับจากปี 48 คาดปี 64 ไทยขาดดุลที่ 3.3% ของจีดีพี เชื่อปัญหาคลี่คลายหลังเปิดประเทศ พร้อมระบุเงินบาทที่อ่อนค่า 12.3% เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาค แต่ความเปราะบางจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนน้อย เหตุหนี้ต่างประเทศต่ำ 36% ของจีดีพี หนี้สาธารณะใกล้เคียงเพื่อนบ้าน
วันที่ 8 ตุลาคม 2564 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่าจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย โดยพิจารณาจากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงในช่วงเกือบ 2 ปี ส่งผลให้เริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี นับแต่ปี 2548 การเปลี่ยนแปลงนี้จึงกลายเป็นจุดเปราะบางของเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนมากในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมี หนี้สาธารณะ หนี้ภายนอกประเทศ และทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมากเพียงพอรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจได้
ตั้งแต่ต้นปี 2564 เงินบาทมีการอ่อนค่าลง 12.3% ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่ามากเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชีย หลังเกิดการระบาดระลอกใหม่จากโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟาและเดลตาในประเทศไทย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปของนักลงทุนต่างชาติต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยที่เปลี่ยนไปในบางจุด
ทั้งนี้ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งภาครัฐเป็นผู้ดูแลทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจภายใน อาทิ การขยายตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และภายนอก อาทิ ดุลการชำระเงิน ทุนสำรองระหว่างประเทศ และหนี้ภายนอกประเทศ ให้มีความสมดุลอยู่เสมอ หากเศรษฐกิจได้สะสมความเปราะบางในบางจุดอย่างต่อเนื่อง การเติบโตทางเศรษฐกิจก็อาจสะดุดลงจากความเปราะบางเหล่านี้ได้ในที่สุด ดังนั้น ควรเข้าใจทั้งจุดอ่อนที่กำลังเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน รวมถึงสิ่งที่ควรตระหนักและเร่งแก้ไขในระยะยาวเป็นสำคัญ
คาดปี 64 ไทยขาดดุล 3.3% ของจีดีพี
นอกจากวิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของไทยแล้ว ยังส่งผลให้เกิดความเปราะบางด้านดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอย่างชัดเจนด้วย ทั้งนี้เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีสัดส่วนภาคการค้าและบริการสูงถึง 45% ต่อจีดีพี (รายได้จากการท่องเที่ยว 13% ของจีดีพี) ทำให้ภาวะชะงักงันของรายได้ภาคการท่องเที่ยวในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ลากยาวมาจนถึงปี 2564 ส่งผลกระทบต่อรายรับเงินตราต่างประเทศของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ แม้การส่งออกสินค้าของไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วตามอุปสงค์ทั่วโลก และกลับมาเท่ากับช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 นับตั้งแต่ต้นปี 2564 แต่มีผลกระทบเพิ่มเติมจากรายจ่ายค่าบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (ค่าระวางเรือ) ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากในปี 2564 นี้ ส่งผลให้แม้ดุลการค้าจะเกินดุล แต่ดุลบริการกลับขาดดุลมากขึ้น และทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยกลายเป็นขาดดุล ซึ่ง ttb analytics คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 2564 จะขาดดุล 3.3% ของจีดีพี จากที่เกินดุล 3.4% ในปี 2563 ซึ่งใกล้เคียงกับคู่ค้าและคู่แข่งสำคัญอย่าง เวียดนาม ที่เบื้องต้นดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลประมาณ 2.8% ของจีดีพีในปี 2564 นี้ สอดคล้องกับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลที่ราว 1% ของจีดีพีในปี 2564 นี้เช่นกัน
แม้โดยรวมไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดหนักกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แต่ประเมินว่าความน่ากังวลจะเริ่มลดลง หลังทยอยเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้นในไตรมาส 4/2564 ซึ่งจะช่วยให้ดุลบริการรวมไปถึงดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป บนเงื่อนไขที่ว่าจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศระลอกใหม่จนต้องกลับมาปิดพรมแดนและปิดเมืองอีกครั้ง ขณะที่ปัญหาต้นทุนค่าระวางสินค้าทางเรือแพง และคาดว่าจะยังคงส่งผลต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่จะทยอยลดความรุนแรงลงหลังจากที่หลายประเทศทยอยกลับมาเปิดกิจกรรมขนส่งทางเรือในระดับใกล้เคียงปกติหลังทยอยฉีดวัคซีนให้ประชากรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการตกค้างของตู้สินค้าตามท่าเรือต่างๆ และทำให้การกลับมาเร่งผลิตตู้คอนเทนเนอร์ใหม่เพื่อรองรับความต้องการเป็นไปได้มากขึ้น
ทุนสำรองระหว่างประเทศไทยพอนำเข้า-ส่งออกได้อีก 1 ปี
สำหรับทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ถึงแม้มีการปรับลดลงไปบ้างตามการขาดดุลการชำระเงินในช่วงที่ผ่านมา แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับสูงเพียงพอต่อการรองรับการนำเข้าสินค้าและบริการได้นานถึง 1 ปี ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน รวมทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ล่าสุดมีทุนสำรองอยู่ที่ 11 และ 6 เดือนตามลำดับ ขณะเดียวกัน คาดว่าเวียดนามจะมีทุนสำรองราว 1.3 เดือน แม้ในด้านความผันผวนของค่าเงินบาทจะเพิ่มขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบที่ ธปท.สามารถบริหารจัดการได้ ดังนั้น ttb analytics จึงประเมินว่าระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ยังมีความแข็งแกร่งเพียงพอรองรับความผันผวนจากปัจจัยภายนอก
เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับหนี้สิน ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2564 ไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 289.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 55% ของจีดีพี ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2563 ซึ่งภาครัฐได้ปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 60% เป็น 70% ของจีดีพี หากมองโดยรวมอาจดูน่ากังวล แต่เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลกับต่างประเทศจะพบว่า ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทย
ปัจจุบันมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 64% ของจีดีพี ขณะที่เยอรมนี ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีวินัยทางการคลังสูง มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 70% ของจีดีพีในปัจจุบัน ดังนั้น การที่เพดานหนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นไปที่ 70% จึงไม่ใช่ระดับที่แตกต่างไปจากประเทศอื่นที่ยังบริหารจัดการให้เสถียรภาพการคลังมีความเข้มแข็งได้
นอกจากนี้ หากพิจารณาโครงสร้างหนี้สาธารณะของไทยที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาว และต้นทุนการระดมทุนหรืออัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ พบว่าผลดีจากการเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) จะมีมากกว่าต้นทุนกู้ยืม เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 เป็นไปได้เร็ว และปรับโครงสร้างการผลิตได้ทันรองรับตลาดโลกหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด และเมื่อในอนาคตเศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้เร็วขึ้น หนี้สาธารณะก็จะลดลงไปตามความจำเป็นในการก่อหนี้ที่น้อยลงและความสามารถในการชำระคืนหนี้ของภาครัฐที่ทยอยเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อีกทั้งหนี้ภาคต่างประเทศของไทยยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 36% ต่อจีดีพี เมื่อเทียบกับหลายประเทศ จึงทำให้ไทยมีความเปราะบางจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนน้อย ดังนั้น การที่ภาครัฐเป็นหนี้เพิ่มจึงไม่น่ากังวล หากภาครัฐนำไปใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็วและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้พร้อมแข่งขันในยุคหลังวิกฤตโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีแผนบริหารจัดการหนี้ให้ทยอยลดลงอย่างชัดเจนในระยะต่อไป
JJNY : เสียชีวิต73 ติดเชื้อ10,630│ไทยติดเชื้อ ATK ใหม่ 7,421│ไทยขาดดุลครั้งแรกรอบ 16 ปี│ลพบุรี เตือนรับมือ"ไลออนร็อก"
https://www.matichon.co.th/covid19/news_2981872
รวม 10,630 ราย จำแนกเป็น
ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 9,881 ราย
ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 673 ราย
ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 67 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 9 ราย
ผู้ป่วยสะสม 1,671,204 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)
หายป่วยกลับบ้าน 10,542 ราย
หายป่วยสะสม 1,544,906 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)
ผู้ป่วยกำลังรักษา 110,128 ราย
เสียชีวิต 73 ราย
ไทยติดเชื้อ ATK ใหม่ 7,421 ราย สะสมทะลุ 2 แสนราย ป่วยอาการหนัก 2,967 คน
https://www.matichon.co.th/local/news_2981882
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ศูนย์ข้อมูลโควิด 19 เผยแพร่ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2564
รวม 10,630 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 9,881 ราย , ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 673 ราย , ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 67 ราย , ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 9 ราย , ผู้ป่วยสะสม 1,671,204 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)
หายป่วยกลับบ้าน 10,542 ราย ,หายป่วยสะสม 1,544,906 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ,ผู้ป่วยกำลังรักษา 110,128 ราย
เสียชีวิต 73 ราย สะสม 17,607 ราย
ทั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อจากการตรวจ ATK แล้ว 7,421 ราย สะสมทั้งหมด 201,396 ราย
ผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลสนาม 68,245 ราย อาการหนัก 2,967 ราย และ อาการหนักใส่ท่อช่วยหายใจ 677 ราย
โควิดทำไทยขาดดุลครั้งแรกรอบ 16 ปี ttb ลั่นจุดเปราะบางเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย
https://www.prachachat.net/finance/news-778615
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินโควิด-19 ระบาด ทำไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครั้งแรกในรอบ 16 ปี นับจากปี 48 คาดปี 64 ไทยขาดดุลที่ 3.3% ของจีดีพี เชื่อปัญหาคลี่คลายหลังเปิดประเทศ พร้อมระบุเงินบาทที่อ่อนค่า 12.3% เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาค แต่ความเปราะบางจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนน้อย เหตุหนี้ต่างประเทศต่ำ 36% ของจีดีพี หนี้สาธารณะใกล้เคียงเพื่อนบ้าน
วันที่ 8 ตุลาคม 2564 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่าจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย โดยพิจารณาจากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงในช่วงเกือบ 2 ปี ส่งผลให้เริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี นับแต่ปี 2548 การเปลี่ยนแปลงนี้จึงกลายเป็นจุดเปราะบางของเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนมากในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมี หนี้สาธารณะ หนี้ภายนอกประเทศ และทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมากเพียงพอรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจได้
ตั้งแต่ต้นปี 2564 เงินบาทมีการอ่อนค่าลง 12.3% ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่ามากเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชีย หลังเกิดการระบาดระลอกใหม่จากโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟาและเดลตาในประเทศไทย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปของนักลงทุนต่างชาติต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยที่เปลี่ยนไปในบางจุด
ทั้งนี้ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งภาครัฐเป็นผู้ดูแลทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจภายใน อาทิ การขยายตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และภายนอก อาทิ ดุลการชำระเงิน ทุนสำรองระหว่างประเทศ และหนี้ภายนอกประเทศ ให้มีความสมดุลอยู่เสมอ หากเศรษฐกิจได้สะสมความเปราะบางในบางจุดอย่างต่อเนื่อง การเติบโตทางเศรษฐกิจก็อาจสะดุดลงจากความเปราะบางเหล่านี้ได้ในที่สุด ดังนั้น ควรเข้าใจทั้งจุดอ่อนที่กำลังเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน รวมถึงสิ่งที่ควรตระหนักและเร่งแก้ไขในระยะยาวเป็นสำคัญ
คาดปี 64 ไทยขาดดุล 3.3% ของจีดีพี
นอกจากวิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของไทยแล้ว ยังส่งผลให้เกิดความเปราะบางด้านดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอย่างชัดเจนด้วย ทั้งนี้เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีสัดส่วนภาคการค้าและบริการสูงถึง 45% ต่อจีดีพี (รายได้จากการท่องเที่ยว 13% ของจีดีพี) ทำให้ภาวะชะงักงันของรายได้ภาคการท่องเที่ยวในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ลากยาวมาจนถึงปี 2564 ส่งผลกระทบต่อรายรับเงินตราต่างประเทศของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ แม้การส่งออกสินค้าของไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วตามอุปสงค์ทั่วโลก และกลับมาเท่ากับช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 นับตั้งแต่ต้นปี 2564 แต่มีผลกระทบเพิ่มเติมจากรายจ่ายค่าบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (ค่าระวางเรือ) ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากในปี 2564 นี้ ส่งผลให้แม้ดุลการค้าจะเกินดุล แต่ดุลบริการกลับขาดดุลมากขึ้น และทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยกลายเป็นขาดดุล ซึ่ง ttb analytics คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 2564 จะขาดดุล 3.3% ของจีดีพี จากที่เกินดุล 3.4% ในปี 2563 ซึ่งใกล้เคียงกับคู่ค้าและคู่แข่งสำคัญอย่าง เวียดนาม ที่เบื้องต้นดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลประมาณ 2.8% ของจีดีพีในปี 2564 นี้ สอดคล้องกับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลที่ราว 1% ของจีดีพีในปี 2564 นี้เช่นกัน
แม้โดยรวมไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดหนักกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แต่ประเมินว่าความน่ากังวลจะเริ่มลดลง หลังทยอยเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้นในไตรมาส 4/2564 ซึ่งจะช่วยให้ดุลบริการรวมไปถึงดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป บนเงื่อนไขที่ว่าจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศระลอกใหม่จนต้องกลับมาปิดพรมแดนและปิดเมืองอีกครั้ง ขณะที่ปัญหาต้นทุนค่าระวางสินค้าทางเรือแพง และคาดว่าจะยังคงส่งผลต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่จะทยอยลดความรุนแรงลงหลังจากที่หลายประเทศทยอยกลับมาเปิดกิจกรรมขนส่งทางเรือในระดับใกล้เคียงปกติหลังทยอยฉีดวัคซีนให้ประชากรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการตกค้างของตู้สินค้าตามท่าเรือต่างๆ และทำให้การกลับมาเร่งผลิตตู้คอนเทนเนอร์ใหม่เพื่อรองรับความต้องการเป็นไปได้มากขึ้น
ทุนสำรองระหว่างประเทศไทยพอนำเข้า-ส่งออกได้อีก 1 ปี
สำหรับทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ถึงแม้มีการปรับลดลงไปบ้างตามการขาดดุลการชำระเงินในช่วงที่ผ่านมา แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับสูงเพียงพอต่อการรองรับการนำเข้าสินค้าและบริการได้นานถึง 1 ปี ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน รวมทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ล่าสุดมีทุนสำรองอยู่ที่ 11 และ 6 เดือนตามลำดับ ขณะเดียวกัน คาดว่าเวียดนามจะมีทุนสำรองราว 1.3 เดือน แม้ในด้านความผันผวนของค่าเงินบาทจะเพิ่มขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบที่ ธปท.สามารถบริหารจัดการได้ ดังนั้น ttb analytics จึงประเมินว่าระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ยังมีความแข็งแกร่งเพียงพอรองรับความผันผวนจากปัจจัยภายนอก
เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับหนี้สิน ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2564 ไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 289.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 55% ของจีดีพี ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2563 ซึ่งภาครัฐได้ปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 60% เป็น 70% ของจีดีพี หากมองโดยรวมอาจดูน่ากังวล แต่เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลกับต่างประเทศจะพบว่า ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทย
ปัจจุบันมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 64% ของจีดีพี ขณะที่เยอรมนี ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีวินัยทางการคลังสูง มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 70% ของจีดีพีในปัจจุบัน ดังนั้น การที่เพดานหนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นไปที่ 70% จึงไม่ใช่ระดับที่แตกต่างไปจากประเทศอื่นที่ยังบริหารจัดการให้เสถียรภาพการคลังมีความเข้มแข็งได้
นอกจากนี้ หากพิจารณาโครงสร้างหนี้สาธารณะของไทยที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาว และต้นทุนการระดมทุนหรืออัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ พบว่าผลดีจากการเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) จะมีมากกว่าต้นทุนกู้ยืม เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 เป็นไปได้เร็ว และปรับโครงสร้างการผลิตได้ทันรองรับตลาดโลกหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด และเมื่อในอนาคตเศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้เร็วขึ้น หนี้สาธารณะก็จะลดลงไปตามความจำเป็นในการก่อหนี้ที่น้อยลงและความสามารถในการชำระคืนหนี้ของภาครัฐที่ทยอยเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อีกทั้งหนี้ภาคต่างประเทศของไทยยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 36% ต่อจีดีพี เมื่อเทียบกับหลายประเทศ จึงทำให้ไทยมีความเปราะบางจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนน้อย ดังนั้น การที่ภาครัฐเป็นหนี้เพิ่มจึงไม่น่ากังวล หากภาครัฐนำไปใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็วและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้พร้อมแข่งขันในยุคหลังวิกฤตโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีแผนบริหารจัดการหนี้ให้ทยอยลดลงอย่างชัดเจนในระยะต่อไป