การฝากครรภ์ที่ รพ.นี้ เป็นท้องที่2ค่ะ ท้องแรกเราฝากที่ รพ.จุฬาฯ เลยค่อนข้างเห็นความแตกต่างของ รพ.ทั้ง2แห่ง อาจจะยาวไปสักหน่อย แต่อยากมาแชร์ประสบการณ์ให้สำหรับว่าที่คุณแม่ที่กำลังตัดสินใจหา รพ.ฝากครรภ์ กันค่ะ
เราเริ่มไปฝากครรภ์ที่ศูนย์การแพทย์ฯ ช่วงเดือนเมษายน 2564 (สถานการณ์โควิดกำลังระบาด) ครั้งแรกที่ไป เราเลือกไปนอกเวลาทำการ เพราะคาดว่าคนน่าจะน้อย ซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเท่าไร จุดฝากครรภ์ อยู่ในตึกอาคาร20ชั้นที่สร้างใหม่ แผนกฝากครรภ์ อยู่ชั้น8 ซึ่งภายในชั้น8 ประกอบไปด้วย แผนกฝากครรภ์ แผนกตรวจภายใน แผนกฉีดวัคซีนเด็กและแผนกทันตกรรม
ขึ้นมาถึงชั้น8 จะพบที่นั่งรอจำนวนนึง ซึ่งเรามองว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนคนไปใช้บริการ และแผนกฝากครรภ์หากไม่ถึงเวลานัดก็จะไม่สามารถเข้าไปนั่งรอได้ ต้องมาแย่งที่นั่งหน้าห้องแผนกอื่นไปพลางๆ
เมื่อถึงเวลานัด ก็ถูกสอบประวัติคร่าวๆ ว่าท้องคนที่เท่าไร เคยแท้งไหม คนแรกคลอดธรรมชาติหรือผ่า ฯลฯ ซึ่งพยาบาลจะเป็นผู้ซักถาม ใช้เวลาประมาณ5นาที เมื่อตอบคำถามเสร็จก็มานั่งรอคิวหมอเรียกเข้าไปตรวจ จุดนี้ก็ซักถามและตรวจคลื่นเสียงเด็ก ซึ่งตอนเราไปฝากอายุครรภ์เราประมาณ3เดือนกว่าแล้ว และหมอก็พาไปซาวน์ดูอายุครรภ์วันนั้นเลย พร้อมกับก่อนไปให้เราไปเจาะเลือดที่ชั้น2 ส่วนผลให้มาฟังอีกที และมันไม่ใช่วันเดียวกับนัดตรวจครั้งถัดไปมันคือนัดแยกต่างหากให้มาแค่ฟังผลเลือด(ซึ่งตรงนี้เราไม่ค่อยโอเคกับการต้องมา รพ.หลายๆรอบในสถานการณ์แบบนี้ แต่สุดท้ายเราก็มานัดแยกฟังผลเลือดต่างหากนะ เรารู้ตัวว่าเป็นพาหะทาลัสซิเมีย ผลเลือดออกมาก็ตามนั้น และวันที่หมอนัดครั้งถัดไป หมอก็เอาผลเลือกที่เรามาฟังไปแล้วมาบอกเราอีกที แล้วให้มาฟังก่อนทำไมคะ???)
การฝากครรภ์ที่นี้เราไม่ได้เจาะจงหมอคนไหนพิเศษ เพราะตอนเราฝากที่จุฬาฯ เราก็ไม่ได้เจาะจงหมอเช่นกัน แต่เราก็เข้าตรวจและได้รับการดูแลจากหมอเพียง1คนเท่านั้นตลอดระยะเวลาฝากครรภ์ แต่ก็ไม่ใช่สำหรับ ศูนย์การแพทย์ฯค่ะ เพราะหมอที่ดูแลเราตลอดระยะเวลาฝากครรภ์มีถึง5คนด้วยกัน และพยาบาลที่นี่ค่อนข้างจะงานรัดตัว เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้รับการดูแลใดๆจากพยาบาลหากไม่วิกฤต (เราท้อง8เดือนยังคลานขึ้น-ลงเตียงตรวจเอง เช็ดเจลที่ฟังคลื่นเสียงบนหน้าท้องเอง โดยที่พยาบาลยืนมองเฉยๆ เราไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นอย่างไร แต่จุฬาพยาบาลจะเข้ามาคอยดูแลตลอด)
ปกติของการฝากครรภ์ถ้าไม่ใช่ช่วงสัปดาห์ใกล้กำหนดคลอด ก็จะมีการนัดหมายให้มาตรวจครรภ์เดือนล่ะ1ครั้ง แต่ที่ศูนย์การแพทย์ฯเรามาบ่อย บางเดือนมา3-4ครั้ง เพื่อนัดตรวจเบาหวาน อัลตร้าซาวนด์ ต่างหาก นี่คืออีก1อย่างที่เราไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมระบบการจัดการถึงกระจัดกระจายไปหลายจุดมาก ทำเอาเดินงงไปหมดกว่าจะเสร็จ
การฝากครรภ์ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะส่วนใหญ่หมอก็จะถามให้เราตอบ ถ้าเราตอบอาการของเราไม่มีปัญหาก็จะใช้เวลา5-10นาทีเท่านั้นค่ะ
และแล้วก็มาถึงวันที่รอคอย 10 ก.ย. 64 เวลา ตี 2 กว่าๆ หลับๆอยู่ น้ำป่าก็ทะลัก(น้ำเดินจ้า) ตอนแรกก็นึกว่าปัสสาวะรดที่นอน รีบลุกไปห้องน้ำเลย แต่มันไม่ใช่ เพราะกลั้นไม่อยู่เลยจ้า เดินไปไหลไป พอเปลี่ยนชุดใส่ผ้าอนามัย ก็มาปลุกสามีเลย "ป่ะ ไปรพ.กัน" ใช้เวลาเดินทางไป รพ.ประมาณ 30 นาที ถึง รพ.ประมาณตี3 เดินไปแผนกฉุกเฉินเลยจ้า เจอพี่ผู้ชายคนนึงนั่งหน้าทางเข้าแผนกฉุกเฉิน เราเลยบอกน้ำเดินค่ะ เค้าก็หาเตียงมาประคองเราขึ้นไปนอน บอกให้สามีเราเอาเอกสารไปยื่นเรื่อง บลาๆ ส่วนพี่แกก็เข็นเราเข้ามาด้านในแผนก พร้อมกับบอกข้อมูลคร่าวๆให้คนข้างในทราบ เรานอนรอไม่นานสักพัก พยาบาลก็มาบอกให้เราเดินไปห้องตรวจ เราก็คลานลงจากเตียงเดินไปห้องตรวจซึ่งไม่ไกลกัน หมอเข้ามาก็ซักประวัติทั่วไป แล้วก็ตรวจปากมดลูกว่าเปิดกี่เซน ผลออกมาเปิดแระ2ซม. (เอามันไปรอขึ้นเขียงได้ อ่ะหยอกๆ)หมอตรวจเราเสร็จ ก็ให้เราเดินกลับไปนอนรอที่เตียง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เราเลยต้องรอตรวจ ATK ก่อนขึ้นไปแผนกคลอดได้ พอตรวจเสร็จก็มีพี่บุรุษพยาบาลมาเข็นเราขึ้นไปชั้น9สำหรับนอนรอคลอด พอถึงชั้น9 ชั้นนี้แหละที่เป็นปัญหาสำหรับเรา(เราไม่รู้ว่าคนอื่นเคยเจอแบบไหน แต่เราไม่เคยเจอพยาบาลแบบนี้) เราเปลี่ยนจากนอนเตียง ลงมานั่งรถเข็นแทน พอถึงหน้าห้องๆนึง ป้า(คล้ายๆแม่บ้าน สังเกตจากชุด)คนนึงบอกให้เราเดินเข้าห้องตรวจไป เราก็ลุกแต่ด้วยน้ำเราเดินอ่ะ มันก็มีไหลออกมาอีกเพราะตอนตรวจที่ชั้นล่างเค้าให้ถอดเกงในออกเลย น้ำมันก็ไหลหยดไปที่พื้น เราก็เดินไปช้าๆโดยไม่มีพยาบาลหรือใครมาคอยดูเราเลย และแล้วเราลื่นจ้ะ ลื่นน้ำที่หยดมานี่แระ แต่พยาบาลในห้องก็ไม่ได้ออกมาช่วยอะไรเรา มีแต่เร่งให้เดินไปนั่งกรอกประวัติยินยอมเรื่องคลอด(ชั้น9นี่แฟนเราโดนไล่กลับไปแระ)เราก็นั่งไปบนเก้าอี้ทั้งเปียกๆนั้นแระ บอกเลยว่าน้ำเสียงพยาบาลชั้นนี้ถ้าไม่ติดว่าเราต้องนอนรอคลอดนะ เราคงสวนหน้าหงายไปหลายทีเลย พอเรากรอกประวัติอะไรเสร็จ พยาบาลก็บอกให้เราเอาชุดไปเปลี่ยนแล้วออกมารอที่เตียง(เค้าจะทำการโกนขนและตรวจปากมดลูกอีกที พยาบาลเป็นผู้ดำเนินการ) เราเปลี่ยนชุดเสร็จ ออกมานอนรอที่เตียง พยาบาลคนที่1มาวัดความดันเรา พยาบาลคนที่2ตะโกนมา "อ้าขาค่ะ"น้ำเสียงห้วนสุดๆ เราก็อ้าขาให้เค้าตรวจ พยาบาลคนที่2กระแทกนิ้วเข้ามาคือเราเจ็บมาก เราลองโอ้ยแล้วกระเถิบตัวหนี พยาบาลคนที่2ก็ดุเราอีก ว่าอย่าเกร็ง ส่วนพยาบาลคนที่1ที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็ว่า"เกร็งแบบนี้คลอดไม่ได้หรอก ลำบากหมอทำคลอดอีก"เรานี่แบบ โห ตอนเราท้องแรกยังไม่ต้องเจออะไรแบบนี้เลยนะ ซึ่งพยาบาลทั้ง2นาง ยังดูอายุไม่มากเท่าไรด้วย แต่ใจบริการนี่คือเป็น0
พอตรวจอะไรเสร็จ พยาบาลก็ให้เราเดินออกไปนั่งรถเข็นนอกห้องที่จอดรออยู่ พร้อมป้าคนเดิม(น่าจะแ้าแม่บ้านแระ)เข็นเราไปไว้อีกห้อง เราก็เจอคนมานอนรอคลอดหลายคนเลย เนื่องจากเรานอนไม่หลับเพราะเริ่มปวดหน่วงถี่ขึ้น เราก็กลิ้งไปกลิ้งมายัน7โมง มีพยาบาลเข้ามาวัดความดัน เราเลยแจ้งว่ามีอาการปวดหน่วงค่อนข้างถี่ เราก็เลยโดยตรวจปากมดลูกรอบที่3 สักพักหมอเวรเดินตรวจ เราก็โดยตรวจปากมดลูกรอบที่4 และอีกสักพัก(ประมาณ8โมง หมออีกคนก็เข้ามาตรวจปากมดลูกรอบที่5) และหมอก็บอกพยาบาลให้เอาเราไปห้องคลอดได้เลย เราโดยย้ายไปนอนรอในห้องคลอดตั้งแต่9โมง มีพี่พยาบาลคนนึงเข้ามาดูแลเราดีเลย มาเจาะเส้นใส่สายน้ำเกลือ(ในน้ำเกลือนั้นมียาเร่งคลอดผสมอยู่ด้วย)พี่คนนี้ก็เดินมาดูเราบ่อยอยู่ จนสัก10โมงครึ่ง เราเริ่มปวดถี่มากๆๆๆๆๆแล้ว เราเลยตะโกนเรียก ย้ำค่ะว่า ตะโกน เพราะเราหาที่กดเรียกไม่เจอ ก็มีพยาบาลคนอื่นเดินเข้ามา เราเลยบอกปวดมากเลยค่ะ พยาบาลตอบกลับมา "ปกติค่ะ ใกล้จะคลอดแล้วก็ปวดแบบนี้แหละ"โอเคร แบบนี้ก็แบบนี้แหละ เถียงไรได้เนอะ เราก็อดทนกัดฟัน แหง๊กๆ ต่อไป จน11 โมง เราแบบ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ปวดมาก เราเลยเรียกพยาบาลอีกเค้าเลยเดินมาตรวจปากมดลูกเรา พร้อมกับหมอและพยาบาล แต่คนตรวจคือพยาบาลจ้า และไม่รู้ว่านิ้วสั้นหรือมดลูกยาว 555+ เราก็โดนกระแทกแบบเจ็บๆอีกแล้ว แต่ตั้งแต่เรามาชั้นนี้เราโดนตรวจปากมดลูกบ่อยมาก รอบนี้เลยพอไหว พยาบาลก็บอก7ซม.แระ ยังไม่คลอด เอ้า ยังไม่คลอดจ้า รอครบ10ซม. หมอและพยาบาลก็เดินออกไปอีกครั้ง ก่อนจากไปพยาบาลบอกถ้าปวดอยากเบ่งค่อยเรียกนะ ผ่านไปไม่พอครึ่งชั่วโมง เราก็ตะโกนเรียกอีก บอกไม่ไหวแล้วคะ พยาบาลยืนหน้าห้องคลอดบอกเราว่า"ปกติใกล้คลอดมันก็ปวดงี้แระ"เราเลยสวนกลับไปว่าอยากเบ่งแล้ว แต่ปฏิกิริยาของพยาบาลคือเท้าสะเอวหน้าห้องแล้วบอกเราว่า"อยากเบ่งก็เบ่งเลย" อ้าว คือเราต้องทำคลอดตัวเองไหม แต่ด้วยว่าเราไม่ไหวแล้วเราเลยเบ่งเลยจ้า สักพักหมอเข้ามา3คน พร้อมพยาบาลอีกประมาณ5คน หมอมาไม่พอ3นาที เรากรี๊ดลั่นห้องคลอดเลย หัวลูกเราออกมาแล้วอ่ะ เรามองนาฬิกา เราใช้เวลาคลอดไม่ถึง10นาทีด้วยซ้ำ ลูกเราก็ออกมา+ตัดสายสะดือเรียบร้อย ลงเวลา 12:00 น. สักพักพยาบาลคนนึงเดินเข้ามาบ่นหมอทำคลอด "คราวหน้าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้นะ ปูผ้าก่อน บลาๆๆๆ" หมอเหมือนหมอใหม่ ก็ตอบแบบเกรงใจๆพยาบาล ว่า"คุณแม่คลอดไวมากเลย กลัวไม่ทัน" พยาบาลก็สวนมาอีก "มันไม่ไหลออกมาไวขนาดนั้นหรอก วันหลังปูผ้าก่อน" หมอก็ได้แต่เงียบ แล้วก็เริ่มเย็บแผลเรา ซึ่งก่อนหมอจะลงมือเย็บแผลเรา หมอบอกว่า แผลเล็กนิดเดียวเองค่ะ แต่หมอใช้เวลาเย็บแผลเรา 40 นาที OMG!! 555+ เรานอนรอย้ายไปห้องพักฟื้นจนถึงบ่าย2 ตอนแรกเราจองห้องเดี่ยวไว้ แต่ห้องเต็มจ้า เลยต้องไปห้อง4คนแทน เราก็เอา ดีกว่าไปนอนห้องรวมคนเยอะๆ ลูกเราที่คลอดออกมาก็นอนอยูเตียงข้างๆเรานั้นแหละ น้ำไม่ได้อาบ(ใจก็นึกว่าเดี๋ยวพี่พยาบาลคงพาไปอาบให้แหละ) ก่อนโดนเข็นมาห้องพักฟื้น เราเลยแซวพี่พยาบาลคนที่ดูแลเราดีๆว่า"พยาบาลชั้นนี้ดุทุกคนเลยนะคะ"บังเอิญมีพยาบาลอีกคนเดินมาได้ยินเข้า เค้าเลยพูดย้อนเรามาว่า"ทีคนไข้โวยวาย พยาบาลยังไม่ว่าไรเลย"คือเรานี่คิดในใจเลยนะ ว่าเค้าจบพยาบาลมาจากสำนักไหนเนี้ย ดุเดือดเกินเบอร์ พี่พยาบาลคนที่ใจดีก็กระซิบเราว่า "พยาบาลชั้นนี้ดุจริงๆแหละ"เราก็ได้แต่ยิ้ม และหวังว่าจะไม่ต้องมีโอกาสให้มาเจอพยาบาลชั้นนี้อีก
เราโดยย้ายมาห้องพักฟื้นพร้อมลูก มาถึงมีพยาบาลมาอุ้มลูกเราไปพร้อมขอเสื้อผ้า+แพมเพิส เราก็ เย้ ลูกเราจะได้อาบน้ำแล้ว แต่ไม่ใช่จ้า ลูกเรากลับมาพร้อมหัวที่ยังมีคราบเลือดเกาะติดหนังหัว ไหนจะคราบอื่นๆอีก สรุปคือไม่มีใครอาบน้ำให้ เราเลยถามว่า"เด็กจะได้อาบน้ำตอนไหนคะ" พยาบาลบอก "เดี๋ยวพรุ่งนี้มีคนมาสอนอาบน้ำอีกที" เราก็ ห้ะ แปลว่าคืนนี้ลูกเราก็นอนไปแบบนี้หรอ (ตอนคลอดจุฬา ลูกเราได้รับการอาบน้ำหลังคลอดเลย แล้วเค้าจะสอนเราอาบน้ำอีกรอบนึงตอนเช้าวันถัดมา ไม่ใช่เก็บคราบสกปรกไว้ให้เราอาบทีเดียวตอนบ่าย2วันถัดมา) แผลเย็บเราไม่มีพยาบาลมาค่อยดูแลหรือบอกวิธีทำความสะอาดอะไร ให้เราเดินเข้าห้องน้ำเองตั้งแต่มาห้องพักเลย (ที่จุฬา มีพยาบาลมาคอยดูแผลและทำความสะอาดให้2วันแรก) มีหมอมาตรวจแผลเราครั้งเดียวคือหมอเวรเช้าวันถัดมา นอกนั้นเราก็ดูแลกันเอง วันที่3เราก็ได้ออกจาก รพ.กลับบ้าน
เราไม่รู้ว่าถ้าฝากครรภ์+คลอดที่ไหนดีที่สุด แต่เราเทียบจาก รพ.2แห่งที่เรามีประสบการณ์ตรง เราจึงเขียนมาตามความรู้สึกและสิ่งที่ได้รับ หวังว่าการแชร์ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังสนใจนะคะ
(ปล.หากพิมพ์ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ พิมพ์จากมือถือ แอบลูกพิมพ์จ้า)
แชร์ประสบการณ์ ฝากครรภ์ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ (รพ.ชลประทาน)
เราเริ่มไปฝากครรภ์ที่ศูนย์การแพทย์ฯ ช่วงเดือนเมษายน 2564 (สถานการณ์โควิดกำลังระบาด) ครั้งแรกที่ไป เราเลือกไปนอกเวลาทำการ เพราะคาดว่าคนน่าจะน้อย ซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเท่าไร จุดฝากครรภ์ อยู่ในตึกอาคาร20ชั้นที่สร้างใหม่ แผนกฝากครรภ์ อยู่ชั้น8 ซึ่งภายในชั้น8 ประกอบไปด้วย แผนกฝากครรภ์ แผนกตรวจภายใน แผนกฉีดวัคซีนเด็กและแผนกทันตกรรม
ขึ้นมาถึงชั้น8 จะพบที่นั่งรอจำนวนนึง ซึ่งเรามองว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนคนไปใช้บริการ และแผนกฝากครรภ์หากไม่ถึงเวลานัดก็จะไม่สามารถเข้าไปนั่งรอได้ ต้องมาแย่งที่นั่งหน้าห้องแผนกอื่นไปพลางๆ
เมื่อถึงเวลานัด ก็ถูกสอบประวัติคร่าวๆ ว่าท้องคนที่เท่าไร เคยแท้งไหม คนแรกคลอดธรรมชาติหรือผ่า ฯลฯ ซึ่งพยาบาลจะเป็นผู้ซักถาม ใช้เวลาประมาณ5นาที เมื่อตอบคำถามเสร็จก็มานั่งรอคิวหมอเรียกเข้าไปตรวจ จุดนี้ก็ซักถามและตรวจคลื่นเสียงเด็ก ซึ่งตอนเราไปฝากอายุครรภ์เราประมาณ3เดือนกว่าแล้ว และหมอก็พาไปซาวน์ดูอายุครรภ์วันนั้นเลย พร้อมกับก่อนไปให้เราไปเจาะเลือดที่ชั้น2 ส่วนผลให้มาฟังอีกที และมันไม่ใช่วันเดียวกับนัดตรวจครั้งถัดไปมันคือนัดแยกต่างหากให้มาแค่ฟังผลเลือด(ซึ่งตรงนี้เราไม่ค่อยโอเคกับการต้องมา รพ.หลายๆรอบในสถานการณ์แบบนี้ แต่สุดท้ายเราก็มานัดแยกฟังผลเลือดต่างหากนะ เรารู้ตัวว่าเป็นพาหะทาลัสซิเมีย ผลเลือดออกมาก็ตามนั้น และวันที่หมอนัดครั้งถัดไป หมอก็เอาผลเลือกที่เรามาฟังไปแล้วมาบอกเราอีกที แล้วให้มาฟังก่อนทำไมคะ???)
การฝากครรภ์ที่นี้เราไม่ได้เจาะจงหมอคนไหนพิเศษ เพราะตอนเราฝากที่จุฬาฯ เราก็ไม่ได้เจาะจงหมอเช่นกัน แต่เราก็เข้าตรวจและได้รับการดูแลจากหมอเพียง1คนเท่านั้นตลอดระยะเวลาฝากครรภ์ แต่ก็ไม่ใช่สำหรับ ศูนย์การแพทย์ฯค่ะ เพราะหมอที่ดูแลเราตลอดระยะเวลาฝากครรภ์มีถึง5คนด้วยกัน และพยาบาลที่นี่ค่อนข้างจะงานรัดตัว เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้รับการดูแลใดๆจากพยาบาลหากไม่วิกฤต (เราท้อง8เดือนยังคลานขึ้น-ลงเตียงตรวจเอง เช็ดเจลที่ฟังคลื่นเสียงบนหน้าท้องเอง โดยที่พยาบาลยืนมองเฉยๆ เราไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นอย่างไร แต่จุฬาพยาบาลจะเข้ามาคอยดูแลตลอด)
ปกติของการฝากครรภ์ถ้าไม่ใช่ช่วงสัปดาห์ใกล้กำหนดคลอด ก็จะมีการนัดหมายให้มาตรวจครรภ์เดือนล่ะ1ครั้ง แต่ที่ศูนย์การแพทย์ฯเรามาบ่อย บางเดือนมา3-4ครั้ง เพื่อนัดตรวจเบาหวาน อัลตร้าซาวนด์ ต่างหาก นี่คืออีก1อย่างที่เราไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมระบบการจัดการถึงกระจัดกระจายไปหลายจุดมาก ทำเอาเดินงงไปหมดกว่าจะเสร็จ
การฝากครรภ์ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะส่วนใหญ่หมอก็จะถามให้เราตอบ ถ้าเราตอบอาการของเราไม่มีปัญหาก็จะใช้เวลา5-10นาทีเท่านั้นค่ะ
และแล้วก็มาถึงวันที่รอคอย 10 ก.ย. 64 เวลา ตี 2 กว่าๆ หลับๆอยู่ น้ำป่าก็ทะลัก(น้ำเดินจ้า) ตอนแรกก็นึกว่าปัสสาวะรดที่นอน รีบลุกไปห้องน้ำเลย แต่มันไม่ใช่ เพราะกลั้นไม่อยู่เลยจ้า เดินไปไหลไป พอเปลี่ยนชุดใส่ผ้าอนามัย ก็มาปลุกสามีเลย "ป่ะ ไปรพ.กัน" ใช้เวลาเดินทางไป รพ.ประมาณ 30 นาที ถึง รพ.ประมาณตี3 เดินไปแผนกฉุกเฉินเลยจ้า เจอพี่ผู้ชายคนนึงนั่งหน้าทางเข้าแผนกฉุกเฉิน เราเลยบอกน้ำเดินค่ะ เค้าก็หาเตียงมาประคองเราขึ้นไปนอน บอกให้สามีเราเอาเอกสารไปยื่นเรื่อง บลาๆ ส่วนพี่แกก็เข็นเราเข้ามาด้านในแผนก พร้อมกับบอกข้อมูลคร่าวๆให้คนข้างในทราบ เรานอนรอไม่นานสักพัก พยาบาลก็มาบอกให้เราเดินไปห้องตรวจ เราก็คลานลงจากเตียงเดินไปห้องตรวจซึ่งไม่ไกลกัน หมอเข้ามาก็ซักประวัติทั่วไป แล้วก็ตรวจปากมดลูกว่าเปิดกี่เซน ผลออกมาเปิดแระ2ซม. (เอามันไปรอขึ้นเขียงได้ อ่ะหยอกๆ)หมอตรวจเราเสร็จ ก็ให้เราเดินกลับไปนอนรอที่เตียง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เราเลยต้องรอตรวจ ATK ก่อนขึ้นไปแผนกคลอดได้ พอตรวจเสร็จก็มีพี่บุรุษพยาบาลมาเข็นเราขึ้นไปชั้น9สำหรับนอนรอคลอด พอถึงชั้น9 ชั้นนี้แหละที่เป็นปัญหาสำหรับเรา(เราไม่รู้ว่าคนอื่นเคยเจอแบบไหน แต่เราไม่เคยเจอพยาบาลแบบนี้) เราเปลี่ยนจากนอนเตียง ลงมานั่งรถเข็นแทน พอถึงหน้าห้องๆนึง ป้า(คล้ายๆแม่บ้าน สังเกตจากชุด)คนนึงบอกให้เราเดินเข้าห้องตรวจไป เราก็ลุกแต่ด้วยน้ำเราเดินอ่ะ มันก็มีไหลออกมาอีกเพราะตอนตรวจที่ชั้นล่างเค้าให้ถอดเกงในออกเลย น้ำมันก็ไหลหยดไปที่พื้น เราก็เดินไปช้าๆโดยไม่มีพยาบาลหรือใครมาคอยดูเราเลย และแล้วเราลื่นจ้ะ ลื่นน้ำที่หยดมานี่แระ แต่พยาบาลในห้องก็ไม่ได้ออกมาช่วยอะไรเรา มีแต่เร่งให้เดินไปนั่งกรอกประวัติยินยอมเรื่องคลอด(ชั้น9นี่แฟนเราโดนไล่กลับไปแระ)เราก็นั่งไปบนเก้าอี้ทั้งเปียกๆนั้นแระ บอกเลยว่าน้ำเสียงพยาบาลชั้นนี้ถ้าไม่ติดว่าเราต้องนอนรอคลอดนะ เราคงสวนหน้าหงายไปหลายทีเลย พอเรากรอกประวัติอะไรเสร็จ พยาบาลก็บอกให้เราเอาชุดไปเปลี่ยนแล้วออกมารอที่เตียง(เค้าจะทำการโกนขนและตรวจปากมดลูกอีกที พยาบาลเป็นผู้ดำเนินการ) เราเปลี่ยนชุดเสร็จ ออกมานอนรอที่เตียง พยาบาลคนที่1มาวัดความดันเรา พยาบาลคนที่2ตะโกนมา "อ้าขาค่ะ"น้ำเสียงห้วนสุดๆ เราก็อ้าขาให้เค้าตรวจ พยาบาลคนที่2กระแทกนิ้วเข้ามาคือเราเจ็บมาก เราลองโอ้ยแล้วกระเถิบตัวหนี พยาบาลคนที่2ก็ดุเราอีก ว่าอย่าเกร็ง ส่วนพยาบาลคนที่1ที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็ว่า"เกร็งแบบนี้คลอดไม่ได้หรอก ลำบากหมอทำคลอดอีก"เรานี่แบบ โห ตอนเราท้องแรกยังไม่ต้องเจออะไรแบบนี้เลยนะ ซึ่งพยาบาลทั้ง2นาง ยังดูอายุไม่มากเท่าไรด้วย แต่ใจบริการนี่คือเป็น0
พอตรวจอะไรเสร็จ พยาบาลก็ให้เราเดินออกไปนั่งรถเข็นนอกห้องที่จอดรออยู่ พร้อมป้าคนเดิม(น่าจะแ้าแม่บ้านแระ)เข็นเราไปไว้อีกห้อง เราก็เจอคนมานอนรอคลอดหลายคนเลย เนื่องจากเรานอนไม่หลับเพราะเริ่มปวดหน่วงถี่ขึ้น เราก็กลิ้งไปกลิ้งมายัน7โมง มีพยาบาลเข้ามาวัดความดัน เราเลยแจ้งว่ามีอาการปวดหน่วงค่อนข้างถี่ เราก็เลยโดยตรวจปากมดลูกรอบที่3 สักพักหมอเวรเดินตรวจ เราก็โดยตรวจปากมดลูกรอบที่4 และอีกสักพัก(ประมาณ8โมง หมออีกคนก็เข้ามาตรวจปากมดลูกรอบที่5) และหมอก็บอกพยาบาลให้เอาเราไปห้องคลอดได้เลย เราโดยย้ายไปนอนรอในห้องคลอดตั้งแต่9โมง มีพี่พยาบาลคนนึงเข้ามาดูแลเราดีเลย มาเจาะเส้นใส่สายน้ำเกลือ(ในน้ำเกลือนั้นมียาเร่งคลอดผสมอยู่ด้วย)พี่คนนี้ก็เดินมาดูเราบ่อยอยู่ จนสัก10โมงครึ่ง เราเริ่มปวดถี่มากๆๆๆๆๆแล้ว เราเลยตะโกนเรียก ย้ำค่ะว่า ตะโกน เพราะเราหาที่กดเรียกไม่เจอ ก็มีพยาบาลคนอื่นเดินเข้ามา เราเลยบอกปวดมากเลยค่ะ พยาบาลตอบกลับมา "ปกติค่ะ ใกล้จะคลอดแล้วก็ปวดแบบนี้แหละ"โอเคร แบบนี้ก็แบบนี้แหละ เถียงไรได้เนอะ เราก็อดทนกัดฟัน แหง๊กๆ ต่อไป จน11 โมง เราแบบ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ปวดมาก เราเลยเรียกพยาบาลอีกเค้าเลยเดินมาตรวจปากมดลูกเรา พร้อมกับหมอและพยาบาล แต่คนตรวจคือพยาบาลจ้า และไม่รู้ว่านิ้วสั้นหรือมดลูกยาว 555+ เราก็โดนกระแทกแบบเจ็บๆอีกแล้ว แต่ตั้งแต่เรามาชั้นนี้เราโดนตรวจปากมดลูกบ่อยมาก รอบนี้เลยพอไหว พยาบาลก็บอก7ซม.แระ ยังไม่คลอด เอ้า ยังไม่คลอดจ้า รอครบ10ซม. หมอและพยาบาลก็เดินออกไปอีกครั้ง ก่อนจากไปพยาบาลบอกถ้าปวดอยากเบ่งค่อยเรียกนะ ผ่านไปไม่พอครึ่งชั่วโมง เราก็ตะโกนเรียกอีก บอกไม่ไหวแล้วคะ พยาบาลยืนหน้าห้องคลอดบอกเราว่า"ปกติใกล้คลอดมันก็ปวดงี้แระ"เราเลยสวนกลับไปว่าอยากเบ่งแล้ว แต่ปฏิกิริยาของพยาบาลคือเท้าสะเอวหน้าห้องแล้วบอกเราว่า"อยากเบ่งก็เบ่งเลย" อ้าว คือเราต้องทำคลอดตัวเองไหม แต่ด้วยว่าเราไม่ไหวแล้วเราเลยเบ่งเลยจ้า สักพักหมอเข้ามา3คน พร้อมพยาบาลอีกประมาณ5คน หมอมาไม่พอ3นาที เรากรี๊ดลั่นห้องคลอดเลย หัวลูกเราออกมาแล้วอ่ะ เรามองนาฬิกา เราใช้เวลาคลอดไม่ถึง10นาทีด้วยซ้ำ ลูกเราก็ออกมา+ตัดสายสะดือเรียบร้อย ลงเวลา 12:00 น. สักพักพยาบาลคนนึงเดินเข้ามาบ่นหมอทำคลอด "คราวหน้าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้นะ ปูผ้าก่อน บลาๆๆๆ" หมอเหมือนหมอใหม่ ก็ตอบแบบเกรงใจๆพยาบาล ว่า"คุณแม่คลอดไวมากเลย กลัวไม่ทัน" พยาบาลก็สวนมาอีก "มันไม่ไหลออกมาไวขนาดนั้นหรอก วันหลังปูผ้าก่อน" หมอก็ได้แต่เงียบ แล้วก็เริ่มเย็บแผลเรา ซึ่งก่อนหมอจะลงมือเย็บแผลเรา หมอบอกว่า แผลเล็กนิดเดียวเองค่ะ แต่หมอใช้เวลาเย็บแผลเรา 40 นาที OMG!! 555+ เรานอนรอย้ายไปห้องพักฟื้นจนถึงบ่าย2 ตอนแรกเราจองห้องเดี่ยวไว้ แต่ห้องเต็มจ้า เลยต้องไปห้อง4คนแทน เราก็เอา ดีกว่าไปนอนห้องรวมคนเยอะๆ ลูกเราที่คลอดออกมาก็นอนอยูเตียงข้างๆเรานั้นแหละ น้ำไม่ได้อาบ(ใจก็นึกว่าเดี๋ยวพี่พยาบาลคงพาไปอาบให้แหละ) ก่อนโดนเข็นมาห้องพักฟื้น เราเลยแซวพี่พยาบาลคนที่ดูแลเราดีๆว่า"พยาบาลชั้นนี้ดุทุกคนเลยนะคะ"บังเอิญมีพยาบาลอีกคนเดินมาได้ยินเข้า เค้าเลยพูดย้อนเรามาว่า"ทีคนไข้โวยวาย พยาบาลยังไม่ว่าไรเลย"คือเรานี่คิดในใจเลยนะ ว่าเค้าจบพยาบาลมาจากสำนักไหนเนี้ย ดุเดือดเกินเบอร์ พี่พยาบาลคนที่ใจดีก็กระซิบเราว่า "พยาบาลชั้นนี้ดุจริงๆแหละ"เราก็ได้แต่ยิ้ม และหวังว่าจะไม่ต้องมีโอกาสให้มาเจอพยาบาลชั้นนี้อีก
เราโดยย้ายมาห้องพักฟื้นพร้อมลูก มาถึงมีพยาบาลมาอุ้มลูกเราไปพร้อมขอเสื้อผ้า+แพมเพิส เราก็ เย้ ลูกเราจะได้อาบน้ำแล้ว แต่ไม่ใช่จ้า ลูกเรากลับมาพร้อมหัวที่ยังมีคราบเลือดเกาะติดหนังหัว ไหนจะคราบอื่นๆอีก สรุปคือไม่มีใครอาบน้ำให้ เราเลยถามว่า"เด็กจะได้อาบน้ำตอนไหนคะ" พยาบาลบอก "เดี๋ยวพรุ่งนี้มีคนมาสอนอาบน้ำอีกที" เราก็ ห้ะ แปลว่าคืนนี้ลูกเราก็นอนไปแบบนี้หรอ (ตอนคลอดจุฬา ลูกเราได้รับการอาบน้ำหลังคลอดเลย แล้วเค้าจะสอนเราอาบน้ำอีกรอบนึงตอนเช้าวันถัดมา ไม่ใช่เก็บคราบสกปรกไว้ให้เราอาบทีเดียวตอนบ่าย2วันถัดมา) แผลเย็บเราไม่มีพยาบาลมาค่อยดูแลหรือบอกวิธีทำความสะอาดอะไร ให้เราเดินเข้าห้องน้ำเองตั้งแต่มาห้องพักเลย (ที่จุฬา มีพยาบาลมาคอยดูแผลและทำความสะอาดให้2วันแรก) มีหมอมาตรวจแผลเราครั้งเดียวคือหมอเวรเช้าวันถัดมา นอกนั้นเราก็ดูแลกันเอง วันที่3เราก็ได้ออกจาก รพ.กลับบ้าน
เราไม่รู้ว่าถ้าฝากครรภ์+คลอดที่ไหนดีที่สุด แต่เราเทียบจาก รพ.2แห่งที่เรามีประสบการณ์ตรง เราจึงเขียนมาตามความรู้สึกและสิ่งที่ได้รับ หวังว่าการแชร์ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังสนใจนะคะ
(ปล.หากพิมพ์ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ พิมพ์จากมือถือ แอบลูกพิมพ์จ้า)