แชร์ประสบการณ์เกือบตายจากครรภ์เป็นพิษ

สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้เราเพิ่งมีเวลาว่างที่จะมานั่งแชร์ประสบการณ์เกือบตายจากครรภ์เป็นพิษค่ะ

        เราตรวจเจอว่าท้องประมาณเดือนเมษายนปี 2563 ได้ฝากครรภ์พิเศษกับโรงบาลกึ่งเอกชนแห่งหนึ่งย่านราษฎร์บูรณะ ติดกับร้านหมูกระทะ กรุงเทพฯค่ะ เริ่มฝากครรภ์ไม่มีอะไรผิดปกติค่ะ เราไม่เคยได้สมุดสีชมพูเลยได้แต่บัตรฝากครรภ์​สีเหลืองที่ได้จากทางโรงพยาบาลโดยมีนายแพทย์ผู้ชายคนนึงเป็นเจ้าของเคสเราค่ะ ตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรกจนถึงประมาณที่วีคที่ 38 ทุกอย่างดูปกติดีค่ะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยจนกระทั่ง!!  เราไปตรวจครรภ์ครั้งสุดท้ายเพื่อเตรียมคลอด ผลปรากฏออกมาว่าความดันเราสูงทะลุ 150 + หมอเจ้าของเคสเลยชี้แจงว่าเราครรภ์เป็นพิษ แล้วน้ำหนักของลูกเราในท้องพุ่งขึ้นเร็วมากตัวใหญ่แบบก้าวกระโดด เลยทำเรื่องส่งต่อเราไปอัลตร้าซาวด์ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งย่านถนนตกในวันรุ่งขึ้นทันที วันรุ่งขึ้นเราถือใบส่งตัวไปที่โรงพยาบาลรัฐ หลังจากที่ทางพยาบาลซักประวัติเราเรียบร้อยแล้วคุณหมอเรียกเข้าพบทันที คุณหมอถามว่าคุณแม่รู้ตัวไหมว่าครรภ์เป็นพิษมานานแล้วตั้งแต่ประมาณเดือนที่ 6 แล้ว เราบอกว่าไม่เคยรู้ตัวเลยค่ะคุณหมอเจ้าของเคสเพิ่งแจ้งเราเมื่อวานนี้เองแล้วก็ส่งต่อเรามาที่โรงพยาบาลนี้เลย คุณหมอรพ.รัฐบอกว่าหมอแปลกใจนะความดันสูง 155 ตั้งแต่เมื่อวานแล้วทำไมคุณหมอเจ้าของเคสคุณถึงให้คุณกลับบ้านคุณมีโอกาสที่จะชักตลอดเวลานะคะ คุณเข้าใจที่หมอพูดใช่ไหมความดันของคุณสามารถชักได้ตลอดเวลาอันตรายถึงชีวิตทั้งแม่และลูก คุณหมอแจ้งว่าเราต้องคลอดทันทีให้เร็วที่สุด คุณหมอเลยส่งเราเข้าอัลตร้าซาวด์น้ำหนักตัวน้องอีกครั้งหนึ่ง ผลออกมาที่ 3,500 กรัมเราถูกเข็นเข้าห้องคลอดได้รับยากันชักได้รับยาเร่งคลอดด้วยความที่เราเป็นเคสส่งต่อมาเราเลยได้รับการปฏิบัติแบบเคสทั่วไปไม่ใช่เคสพิเศษ และพยาบาลเป็นคนทำคลอดให้ ปากมดลูกค่อยๆเปิดขึ้นเรื่อยๆค่ะ เราปวดท้องมากเราบอกพยาบาลว่าเราปวดท้องพยาบาลก็เดินไปเดินมานั่งกินส้มตำสบายใจมากค่ะมีการเดินไปตามพยาบาลข้างนอกมานั่งกินส้มตำด้วยกันในขณะที่เรานอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงความดันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆค่ะจากอาการเจ็บท้องมาก ตาเริ่มพร่ามัว พยาบาลก็ยังนั่งกินส้มตำสบายใจมีเดินไปดูเตียงอื่นที่รอคลอดแต่ก็ไม่ได้มาสนใจเรา พยาบาลบอกว่าอีกนานค่ะกว่ามดลูกจะเปิดครบเซ็นที่สามารถคลอดได้ จนเราบอกพยาบาลว่าเราไม่ไหวแล้ว พยาบาลเดินเข้ามาดูแล้วตรวจเช็คปากมดลูกเราเปิดจนสามารถคลอดได้แล้วพยาบาลให้เราเบ่งคลอดทันทีค่ะ เราเบ่งอยู่ประมาณ 3-4 ครั้งเบ่งสุดแรงที่เราสามารถทำได้แต่เด็กก็ยังไม่ออกมาจนพยาบาลคนนั้นขึ้นมาขย่มท้องเรา พยายามรีดตัวเด็กออกแล้วก็กระตุ้นให้เราเบ่งแล้วเบ่งอีกหนึ่งจนเรารู้สึกว่ารอบนี้เราจะขาดใจแล้ว ไม่ใช่อารมณ์ประชดนะคะรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจจริงๆเหมือนเป็นลมสุดท้ายของเราแล้ว นักศึกษาแพทย์บอกให้เราพยายามอีกเด็กจะได้คลอดง่ายๆแต่โชคดีที่อาจารย์หมอวิ่งเข้ามาพอดีแล้วบอกว่าเคสนี้คลอดเองไม่ได้ให้เอาไปผ่า เราถูกเข็นเข้าห้องผ่าทันทีค่ะ หมอวิสัญญีบล็อกหลังเราแล้วคอยเช็คว่าเรายังมีความรู้สึกอยู่ไหม เราตอบหมอว่าเรายังรู้สึกอยู่ค่ะ คุณหมอไม่เชื่อเราค่ะคิดว่าเรามโนไปเอง คุณหมอผ่าเอามีดกรีดท้องเราเลยค่ะ 1 แผล เราร้องบอกหมอว่าเรายังเจ็บอยู่ค่ะ คุณหมอผ่าไม่เชื่อเราค่ะ คุณหมอถามย้ำเราว่าเจ็บจริงๆหรือแค่มีความรู้สึกว่ากำลังมีใครทำอะไรที่ท้องอยู่ เราเคยผ่าฟันคุดมาเรารู้ว่าการชาไม่มีความรู้สึกมันเป็นยังไง แต่เคสนี้เรายังรู้สึกอยู่จริงๆคุณหมอไม่เชื่อเราค่ะ หาว่าเรามโนคุณหมอกรีดซ้ำแผลเดิมรอบที่ 2 เราเจ็บเราเลยสะบัดขาคุณหมอเลยอุทานออกมาว่าขายังขยับได้แสดงว่าเขายังรู้สึกอยู่จริงๆ คุณหมอวิสัญญีเลยให้เราดมยาสลบค่ะ เรารู้ตัวอีกทีคือถูกเข็นเข้าห้องพักฟื้นแล้ว น้องน้ำหนักแรกเกิดอยู่ที่ 4,510 กรัมค่ะ (ถ้ารู้ผลน้ำหนักที่แน่นอนแบบนี้คงผ่าคลอดตั้งแต่แรกแล้วค่ะ)​  หมอไม่อนุญาตให้นอนห้องพิเศษเพราะเป็นเคสอันตรายต้องอยู่ในสายตาพยาบาล คุณหมอมาเยี่ยมไข้เราถามนู่นนั่นนี่เราเลยบอกคุณหมอว่าตอนที่เราฝากครรภ์อยู่ที่อีกโรงพยาบาลนึงคุณหมอไม่เคยให้แคลเซียมเราเลย คุณหมอไม่เคยตรวจน้ำตาลเราเลย เราไม่เคยได้สมุดสีชมพูเลยความดันสูงมาตั้งแต่เดือนที่ 6 คุณหมอก็ไม่เคยแจ้งเราเลย เราเลยถามคุณหมอว่าเค้าเอาเคสไม่อยู่แล้วใช่ไหมคะเขาถึงได้ส่งต่อมาที่นี่ คุณหมออมยิ้มแล้วไม่ตอบเราค่ะ จะบอกว่าเราเสียความรู้สึกกับโรงพยาบาลกึ่งเอกชนมาก ทางบ้านบอกให้เราฟ้องร้องแต่เราไม่อยากมีปัญหาก็เลยปล่อยไปค่ะ เลยอยากจะบอกแม่ๆทุกคนที่กำลังท้องว่าดูความดันตัวเองไว้ด้วยนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่