บำรุงและเมคอัพที่ขาดไม่ได้เวลาเดินทาง 🐣 ฉบับสาวขี้เกียจอย่างเรา 🔥

สิ่งที่ขาดเวลาเดินทางไกลไม่ได้ คือพวกนี้นี่แหละ
ถ้าไปแค่ 3 คืน จะพกแค่ #2 และ #4
ถ้าไป 4-5 คืน ขึ้นไป จะขนหมดนี่เลย

เพี้ยนออกทริป

#1 ทำความสะอาดหน้าและบำรุง 
หายากนะ คนที่มีน้อยแบบเรา เราเคยเห็นเพื่อนผู้ชาย (แท้) วิศวะ บางคนไปตจว. ทีพกไปเยอะกว่ารูปแรกนี้อีก 

อยากบอกว่าติด Lancome Bi-Facil สีฟ้า กลิ่นกุหลาบหอมๆ นี้มาก ตั้งแต่ปี 2014 และชอบซื้อจาก duty free ในยุโรปที่มันขายแพ็คคู่ ตกขวดละประมาณ 800 บาท ราคาไทยไม่เป็นมิตรเลย ต้องรอเขาลดหนักๆ และให้น้องเซลส์พิมพ์แชทมาบอกนะ ถ้าจะเปลี่ยนอาจเปลี่ยนเป็น Giorgio Armani มีตัวคล้ายๆ กันต่างตรงไม่มีกลิ่นเลย ดีอีกแบป

Chanel ล้างหน้าตัวนี้เพิ่งใช้หลอดแรกในกทม. ราคาโหดร้ายยิ่งนัก แต่จำใจเพราะกลางช่วงโควิด รอบินไปซื้อไม่ไหวละ ใช้มาตั้งแต่ก.พ. ปีนี้ ปลอบตัวเองว่าสองพันกว่าเราจะใช้มันให้ถึงสิ้นปีนี้อย่างต่ำๆ 

ก่อนหน้านี้มีทั้ง Lancome หลอดขาวๆ ฟ้าๆ แล้วก็ Neutrogena ซื้อจาก duty free หลอดละไม่ถึงพัน ดีหมดเลย เหมาะกับผิวผสมแพ้ง่าย

แชมพูเราเฉยๆ แต่ซื้อมาละ หลังใช้ครีมนวดกลิ่นเดียวกันแล้วติดใจมาก ได้อารมณ์ organic ดี ใช้ครีมนวดมาขวดที่สามแล้ว กลิ่น Plum Kumudu ซึ่งเป็นกลิ่นผสมของดอกแม็กโนเลีย ไม้ cedar และ grapefruit

 
ครีม Clinique ที่สมัยเรียนมัธยมชอบมีคนรู้จักหิ้วจากเมกามาให้ทุกปีพร้อม eye shadow ทันสมัยรุ่นที่อาย บลัสและแป้งของเมกามันจะเป็นแพคเกจสีและลายหยก สวยมาก เดี๋ยวนี้หาไม่ได้แล้ว ตอนนี้เริ่มเบื่อครีมนี้ละ ใกล้เลิกใช้ละ ซื้อมาเพราะถูก แพ็คคู่จากอังกฤษปี 2020 นั่นละ
 
ปัจจุบันยังชอบใช้ L'Occitaine เจลอาบน้ำตัวนี้อยู่ค่ะ พอๆ กับที่ยังชอบครีมทามือกลิ่นคลาสสิค ลาเวนเดอร์ของมันเวลาอยู่เมืองหนาว หลอดเล็กใช้ไงก็ยังไม่เคยหมด เพราะบอกแล้วว่าขี้เกียจ ผิวแตกเลือดออกนั่นละ ถึงหยิบจากกระเป๋ามาใช้ 
 
ที่จริงที่คงไม่พูดถึงไม่ได้คือ Origins กระปุกสีส้มสดใส Ginzing และ  Willowherb ในรูป คือดีมาก เหมาะกับอากาศเอเซีย ใช้ได้ทุกสภาพผิว ใช้เสร็จออกแดด หรือนั่งห้องแอร์มันก็สบายผิว ดีทั้งตัว cleansing makeup (removing jelly) และ moisturizer

#2 ผิวหน้า
ด้วยนิสัยขี้เกียจตามหัวข้อกระทู้ บอกตามตรงว่า เราไม่ค่อยทาหรอกกันแดดในภาพแรก ทาแค่ต้องไป outdoor จริงๆ 
ฉะนั้นสำหรับชีวิตทั่วไป เราจะเลือกซื้อเฉพาะรองพื้นที่ผสมกันแดด SPF35 ขึ้นไปมาแล้ว แต่ก่อนติด Shiseido มากแบบเป็นแท่งสีฟ้า

เพิ่งมา 5 ปีนี้ ที่ใช้ Chanel สลับกับ Dior เหตุผลที่ได้สลับเพราะว่า ธันวา 2019 เราแวะไปซื้อที่ Primark (Manchester City Centre) แล้วมันลดครึ่งราคา เช่น ไทยขายประมาณสองพันมั้ง ที่นั่นลดช่วงธันวาแล้วและค่าเงินบาทแข็ง จึงซื้อมาเกือบพันบาทต่อขวด  เลยเหมามา 3 ขวด (แพงกว่าไทยขวดเดียวนิดนึงเอง) ซึ่งในภาพคือขวดสุดท้ายละ 

บลัช พยายามซื้อมาทีละชิ้นพอ เจ้า Nars อันเล็กได้แถมฟรีมาค่ะ ชอบแหละของ Guerlain รุ่น Terracotta ซื้อจาก duty free บนเครื่องบิน ไม่ถึงพันบาท
พัฟแป้งที่เหลือจากแป้งตลับ Chanel พัฟทนดี ใช้มาสองปีละ และตอนนี้ไม่มีแป้งละ ยังไม่ซื้อในไทยแพงไป
 
Teint Idole Ultra Wear ทาง่าย สะดวก แต่ไม่แนะนำสำหรับคนผิวแห้งเลย เราผิวผสมจึงสลับทาบางวัน
 

เพี้ยนเขิน
ติดมา กับ กรรไกรตัดเล็บ Zwilling รักมาก ไปหรอยของพ่อมา ใช้ดีมาก คมกริบ ใช้มา 22 ปีแล้ว รู้สึกอัศจรรย์ที่มันยังไม่หาย
ใช้มาสองปีแล้ว BA ที่ Harrods นั่นแหละแนะนำตัวนี้มา ชอบกลิ่นอ่อนๆ มากๆ ของมัน และที่กลับไปซื้อเพราะเรารู้สึกว่ามันใช้ได้ในทุกอากาศสำหรับผิวเรานะ และคนขายก็บอกเองว่าถ้าหนาวแห้งมาก เราสามารถทาทับเครื่องสำอางค์ได้ด้วย ซื้อตอนมันลด 15-20% ประมาณ 800 บาท 
 
กระปุกนี้เริ่มใช้เมื่อ พ.ย. ที่แล้ว ถึงตอนนี้ยังไม่หมดแต่ใกล้ละ ไม่ได้ออกจากบ้านมาก จึงยังไม่หมด ถ้าออกเต็มที่ ใช้ได้ประมาณ 3-4 เดือน
 
ไม่เข้าใจทำไมไทยไม่เอามาขาย

#3 ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ...
สิ่งที่ขาดไม่ได้และติดมาเกิน 15 ปี คือ Shiseido concealer และ Kiss Me Heroine Make มาสคาร่าคู่ใจ ดียังไง ดีคือใช้ง่าย ไม่เลอะ
ปัดเบาๆ ไม่กี่ที ไม่ต้องดัด ก็เด้งเป็นธรรมชาติไปทั้งวัน

สำคัญถัดมาคือ Urban Decay มันตรมใจนิดนึงที่ Eye shadow สมัยนี้ pigment สีมันไม่แน่นสะใจแบบ 20-25 ปีก่อน ซึ่งตอนนั้นขอแค่ยี่ห้อดี แต่งไงก็สวยได้ไปหลายชั่วโมง แต่ตอนนี้หรือ ขาด primer ไม่ได้เลย ถ้าวันไหนหมดหรือลืมพก คือ ไม่ใช้ eye shadow เลยดีกว่า

Brow ใช้ของ Anastasia อันนี้ขาดได้ บางทีเราก็ทำใจละ ว่าคิ้วเรามันรกและเราไม่ดูแลมัน ไปให้ร้านเขา wax ออกปีละ 3-4 ครั้ง อะไรแบบนี้ ยิ่งสองปีนี้โควิดหรือ ไปมาหนเดียวเองกลางปีที่แล้ว

Eye liner แต่ก่อนไม่ใช้เลย เพิ่งใช้ตั้งแต่ปี 2015 หรือ 2016 นี่ละ ติดใจมากเจ้า Shu Uemura Calligraph หัวเหมือนพู่กันจีน


#4 ริมฝีปาก
อาจเป็นสิ่งเดียวที่ติดกระเป๋าไปออฟฟิศนะปกติแล้ว และหายบ่อยที่สุด นี่คือเหตุผลที่ไม่พกไอเทมอื่นๆ ไป

ธันวา 2019 - มกรา 2020 เราไปสอยมา ทั้ง Nars ทั้ง Bobbi Brown หลอดสีทอง และ Lancome
สอย Mac มาจากสนามบิน Abu Dhabi ถึง 4 สี ออกแนว hot pink, ม่วง, เลือดหมู และแดงชาด สดๆ ใช้ไม่ถึงครึ่งปี หายหมดเลย ชอบนะ แต่เราคงไร้วาสนาได้อยู่ด้วยกัน (ไว้อาลัย 3 วิ)

แต่สุดท้าย หลังย้ายคอนโดอีกรอบ เราก็เก็บมันไว้บน organizer แล้วก็วางทิ้งไว้ในคอนโดอย่างถาวร ไม่ค่อยได้พกติดกระเป๋าละ
เหลือผู้เข้าชิง สามแท่งนี้แล้วค่ะ สำหรับการเดินทางที่พกๆ มันไป
 
สี Cranberry ในซีรีส์ Crush ของ Bobbi น่าจะออกมาปลายปี 2017 มั้ง ตอนย้ายกลับมาไทยใหม่ๆ แต่หาในห้างกลางเมืองไม่ได้เลย ขาดสีนี้สีเดียว ยิ่งทำให้เราอยากได้ เราจึงรออย่างใจเย็น จนเราบินไปฮ่องกงและได้มันมาจาก Duty Free สักห้างนึงลืมละห้างไหน ถูกและดี สีสวย ปากไม่เป็นรอย ไม่เลอะง่าย เวลาจางก็ยังสวยเป็นธรรมชาติ แท่งที่เห็นนี้เป็นแท่งที่ 3 แล้ว ทั้งชีวิตไม่เคยใช้สีไหนได้นานขนาดนี้
 
เม้ากระเป๋า ใบนี้ที่จริงซื้อมาเป็นเซทถูกมาก ขนาดกำลังดี ใส่ handbag เราได้แบบไม่เกะกะ มาเป็นเซท 3 ชิ้น ไม่กี่ร้อยบาท จาก Primark ไร้ยี่ห้อ

#5 นี่คือของที่ใกล้จะหมดแล้วแต่อาจทิ้งไม่ลง
5.1 Bobbi brown eye shadow จากห้าง Harrods ตั้งแต่ปี 2014 แล้ว eye shadow ยี่ห้อดีๆ ถ้าสีไม่เปลี่ยนนั้นเป็นไอเทมเดียวที่เก็บได้เป็น 10-12 ปี แต่อันนี้ไม่ได้แนะนำให้ทำเป็นแบบอย่าง 🤭
 
Shu Uemura สี BG965 ต้องสารภาพเราเป็นผู้หญิงที่ขาด sense ในการแยกโทนสีแบบคนอื่นๆ เขา เราจึงตั้งชื่อให้สีนี้เองว่าสีกลับดอกบัว แต่มันก็เข้มอยู่และต่างจากสีอื่นๆ ที่เคยมี
 
5.2 น้ำหอม Coach Floral Eau de Parfum ที่สอยมาจาก Sasa Hong Kong ปี 2018 ไม่น่าเชื่อว่าซื้อมาพร้อม Dolce & Gabana ซึ่งทีแรกนึกว่า Coach คงหมดก่อนน่า ปรากฎกลับกัน ขวดนั้น ฉีดได้ต่อเนื่องกว่า กลิ่นมันไม่ฉุนไป เราฉุนง่าย
ล่าสุดเพิ่งทิ้ง Urban Decay Naked 2 ไปใช้มากสุดละ และมันเริ่มหมดอายุขัย ทั้งที่ยังใช้ไม่ถึงครึ่งสักสี ใช้มา 4 ปีเต็ม พอๆ ตัดใจๆ

จบ 

น้อยใช่มั้ยล่ะ ?
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่