*** กำเนิดไต้หวัน: White Terror ***

...เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อจากนี้ดีกว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนแผ่นดินใหญ่ไม่มาก ต่างจากเหตุสังหารหมู่เทียนอันเหมินไม่มาก ...หากมันเป็นสิ่งที่เกิดบนเกาะไต้หวันซึ่งไม่ค่อยมีใครพูดถึง...
  
 ความเดิมจากตอนที่แล้ว... กองทัพจีนคณะชาติสามารถป้องกันการรุกรานของฝ่ายคอมมิวนิสต์พร้อมกับก่อตั้งฐานที่มั่นชั่วคราวบนเกาะไต้หวันได้สำเร็จ
 
 อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานในการทำสงครามต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์และการพยายามครอบงำไต้หวันแบบไม่สนใจคนพื้นเมืองของจอมพล เจียงไคเช็ก กำลังจะนำดินแดนแห่งนี้เข้าสู่ยุคมืดของการปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารภายใต้กฎอัยการศึกเป็นเวลานานเกือบ 40 ปี
  
มันเป็นเวลาที่กองทัพสามารถชี้เป็นหรือตายประชาชน เพียงเพราะพวกเขากำลังสงสัยว่าคนเหล่านั้นเป็นสายลับของศัตรู ดั่งคำกล่าวที่ว่า “การจับกุมผู้บริสุทธ์นับร้อย ย่อมดีกว่าปล่อยให้ผู้ทรยศเพียงหนึ่งเดียวลอยนวล”
  
...มันเป็นเวลาที่ปัญญาชนถูกหาว่าเป็นสายลับ, สื่อถูกป้ายสีว่าเป็นผู้ปลุกปั่นความเท็จ, แม้แต่อาจารย์หรือนักเรียนก็สามารถกลายเป็นผู้ทรยศชาติ!
  
...นี่คือบททดสอบครั้งใหม่ซึ่งประวัติศาสตร์ของไต้หวันกำลังจะถูกเขียนด้วยหยดเลือดและหยาดน้ำตา…
หากท่านผู้อ่านที่รักพร้อมแล้ว... ผมขอนำท่านเข้าสู่ตอนที่สองจากซีรี่ย์ “กำเนิดไต้หวัน” ในช่วงเวลา “White Terror” หรือ “ความน่าสะพรึงสีขาว” กันเลยครับ
 


*** เมื่อสุนัขไป... หมูก็มา ***

ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง เกาะไต้หวันได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของพรรคก๊กมินตั๋งที่ให้คำมั่นว่าจะเข้าพัฒนาคุณภาพชีวิตบนเกาะซึ่งได้รับผลกระทบจากไฟสงครามให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครอง ทำให้ชาวไต้หวันต่างพากันยินดีปรีดา เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจากแผ่นดินใหญ่ที่เป็นคนจีนเหมือนกันจะให้ความช่วยเหลือพวกเขาด้วยความจริงใจ


ภาพแนบ:
ทหารจีนคณะชาติระหว่างการรับมอบเกาะฟอร์โมซา(ไต้หวัน)คืน 


ทว่าความจริงอันน่าเศร้าคือ… ผู้ปกครองกลุ่มใหม่ที่ถูกส่งมาบริหารกลับเป็นข้าราชการกังฉินที่เข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์ตั้งแต่การผูกขาดระบบสาธารณูปโภค, การแต่งตั้งพรรคพวกขึ้นมาเป็นฝ่ายบริหารมาแทนที่ชาวไต้หวันเดิม, และเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เมื่อลูกน้องปล้นชิงทรัพย์สินของคนท้องถิ่นแบบไม่อายฟ้าดิน

จนมีคำกล่าวว่า “เมื่อสุนัขไป... หมูก็มา!” เป็นการเปรียบเทียบว่าสมัยที่รัฐบาลของญี่ปุ่นปกครองนั้น แม้จะโหดร้ายเคร่งครัดเยี่ยงสุนัข แต่ก็ไม่มีการทุจริตระดับมโหฬารเหมือนหมูอย่างพรรคก๊กมินตั๋ง


ภาพแนบ:
การประท้วงในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1947


*** เหตุการณ์ 288 ***

ชาวไต้หวันต่างพยายามเก็บงำความเกลียดชังรัฐบาลใหม่เอาไว้ จนในปี 1947 (ก่อนการอพยพครั้งใหญ่ของเจียงไคเช็ก) เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการค้าและตำรวจบันดาลโทสะทำร้ายแม่ค้าขายบุหรี่รายหนึ่งซึ่งพยายามจะขอสินค้าที่ถูกยึดคืน ทำให้ประชาชนแสดงความไม่พอใจพร้อมเดินเข้าไปรุมต่อว่าเจ้าหน้าที่ แต่สถานการณ์กลับบานปลายจนมีผู้เสียชีวิตจากกระสุนของทางการหนึ่งราย

เหตุการณ์ดังกล่าวลุกลามไปสู่การประท้วงกลางกรุงไทเปในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1947 เพื่อกดดันให้ทางการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่การประท้วงอย่างสงบจะกลายเหตุจลาจลเมื่อทหารเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุม ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมก็รุมประชาทัณฑ์เจ้าหน้าที่การค้า 2 รายซึ่งเดินทางผ่านจุดประท้วงจนเสียชีวิต

เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมที่จะประหัตประหาร เหล่าประชาชนผู้คั่งแค้นจึงเริ่มใช้กำลังเข้ายึดสถานที่ราชการ, ทำลายอาคารบ้านเรือนต่างๆ, และสังหารชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อล้างแค้นต่อการถูกกดขี่มาตลอดระยะเวลา 3 ปีอย่างสาสมใจ!


ภาพแนบ:
ภาพวาดบรรยายความโหดร้ายของการกวาดล้างกลุ่มต่อต้านโดยทหาร


 นอกจากนี้ยังมีความพยายามปลุกระดมให้มี “การปฏิวัติประชาชนบนเกาะ” ผ่านสถานีวิทยุ ทำให้ฝ่ายประชาชนสามารถยึดครองพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วัน จากนั้นกองกำลังอาสาจึงนำเสนอ “ข้อเรียกร้อง 32 ประการ” ที่มีใจความสำคัญคือ “ให้จัดการเลือกตั้งรัฐบาลท้องถิ่นอย่างโปร่งใสและกระจายอำนาจการบริหารจากส่วนกลาง”

โดยในช่วงแรกรัฐบาลก๊กมินตั๋งก็ทำทีโอนอ่อนไปกับข้อเสนอเหล่านี้ เพื่อรอนำกำลังเสริมจากแผ่นดินใหญ่มาสมทบกับทหารบนเกาะภายใต้การควบคุมของนายพลเฉินอี้จอมอื้อฉาว

ต่อมาเมื่อพวกเขาได้รับกำลังเสริมแล้ว เฉินอี้จึงอนุมัติการสังหารผู้ต่อต้านแบบไม่เลือกวิธีการ! จนมีผู้เสียชีวิตจากเหตุถูกยิงบนท้องถนน, การบุกยิงในเคหะสถาน, การทรมานผู้ต้องสงสัยรวมถึงการข่มขืนอย่างน้อย 10,000 ราย (บางแหล่งเชื่อว่าตัวเลขแท้จริงอาจสูงกว่าจำนวนดังกล่าวอีกเท่าตัว)



 *** กฎอัยการศึกชั่วอายุคน ***

แม้การประท้วงในไต้หวันจะถูกปราบจนสงบราบคาบ …แต่สถานการณ์บนแผ่นดินใหญ่ของฝ่ายก๊กมินตั๋งกลับอยู่ในขั้นวิกฤต หลังกองทัพรัฐบาลประสบความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องส่งผลให้จอมพลเจียงไคเช็ก ตัดสินใจถอยหนีไปตั้งหลักยังเกาะไต้หวัน โดยเริ่มภารกิจการอพยพในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ปี 1948 จนถึงปลายปี 1949

ในระหว่างนั้นเจียงได้ประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 20 พฤษภาคม 1949 ด้วยเหตุผลยอดนิยมของเผด็จการแห่งโลกเสรีคือ “การปกป้องความมั่นคงของชาติและจัดการกับปฏิปักษ์ของรัฐโดยเฉพาะสายลับของพวกคอมมิวนิสต์ที่แฝงตัวมาจากแผ่นดินใหญ่” พร้อมมอบหมายให้กองทัพเป็นผู้ดูแลความสงบตั้งแต่การประกาศเคอร์ฟิวตอนกลางคืน, ห้ามประชาชนก่อตั้งพรรคหรือมีส่วนร่วมทางการเมืองไปจนถึงห้ามการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนคิดกระทำการใดๆ เหมือนที่เกิดขึ้นในปี 1947 อีก 


ภาพแนบ: ภาพของสิ่งพิมพ์ต้องห้ามที่ถูกนำมาจัดแสดงในเกาหลี เพื่อเผยแพร่เรื่องราวของ White Terror ในต่างแดน

*** ปิดปากสื่อ... ปิดตาประชาชน ***

การปิดตาประชาชนเริ่มจากการปิดปากสื่อมวลชน เนื่องจากมีการมองว่าคนกลุ่มนี้สามารถกระจายข่าวอันเป็นภัยต่อรัฐบาล รัฐจึงบังคับให้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับตีพิมพ์ครั้งละไม่เกิน 6 หน้า นอกจากนี้เนื้อหาในเล่มจะถูก “คัดกรองอย่างเข้มงวด” โดยมีการบังคับให้กองบรรณาธิการปรับเปลี่ยนเนื้อหาประหนึ่งการสั่งซ้ายหัน ขวาหัน

นอกจากจะเข้าควบคุมพื้นที่สื่อให้ออกข่าวไปในทางเดียวกันแล้ว… ทางรัฐบาลยังเปิดกิจการหนังสือพิมพ์เพื่อเชิดชูตนเอง พร้อมกับด้อยค่าฝ่ายตรงข้ามชนิดที่ไม่เหลือช่องทางให้ผู้ถูกโจมตีตอบโต้


ภาพแนบ:
คุกจึ๋งเหม่ย ซึ่งเคยถูกใช้เป็นที่คุมขังผู้ต้องสงสัยในช่วง White Terror ปัจจุบันใช้เป็นอุทยานวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชน เพื่อรำลึกถึงความเลวร้าย


*** กระแสโลกที่เกื้อหนุนเผด็จการ ***

แม้เรื่องนี้จะเลวร้ายแต่ต้องยอมรับว่าวิธีการดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ ณ เวลานั้น เนื่องจากการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกาและโลกสังคมนิยมใต้ปีกสหภาพโซเวียตกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ส่งผลให้รัฐบาลเผด็จการจำนวนมาก สามารถใช้กำปั้นเหล็กปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จตามอำเภอใจ ขอเพียงสนับลูกพี่ใหญ่ข้างใดข้างหนึ่ง ลูกพี่ใหญ่ก็พร้อมปิดหูปิดตาต่อการกระทำของพวกเขา


ภาพแนบ:
ถิง เย่า เถา (Ting Yao-tiao) หนึ่งในเหยื่อที่ถูกรัฐบาลตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อนที่เธอจะถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า


*** ขบวนการล่าแม่มด ***

อีกหนึ่งกลยุทธที่ภาครัฐใช้เพื่อปกครองคือการสนับสนุนให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมของคนใกล้ชิดทั้งในครอบครัว, ที่ทำงาน, หรือสถานศึกษา เพื่อมองหา “ผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์” จากนั้นทางการจะเข้าจับกุมบุคคลที่ “ต้องสงสัย” เพื่อนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในศาลทหาร!

ผู้ต้องหาจะถูกบังคับให้สารภาพว่าตนนั้นกระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติด้วยสารพัดวิธีการทรมาน ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่จะเริ่มหว่านล้อมข้อเสนอลดโทษสุดพิเศษ ผ่านการซักทอดรายชื่อผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่กระบวนการล่าแม่มดนี้จะทำให้ประชาชนกว่า 20,000 รายกลายเป็นเหยื่ออธรรม

โดยหนังสือชื่อ “The Sin of Descent” ได้บันทึกว่าความผิดส่วนใหญ่นั้น มีตั้งแต่การอ่านวรรณกรรมซึ่งถูกรัฐตีตราว่าเป็นงานเขียนนิยมซ้าย, การแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ถูกจับกุม, รวมถึงการขับร้องเพลงพื้นบ้านจากแผ่นดินใหญ่ที่ถูกใช้โดยพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งขบวนการดังกล่าวไม่ได้ถูกจำกัดเพียงชาวไต้หวัน แต่ยังลามมาถึงผู้อพยพจากแผ่นดินใหญ่และนักเรียนจากต่างแดนที่ถูกรัฐบาลมองว่าเป็นผู้นำภัยคุกคามมาสู่ประเทศ

ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวนี้ถูกเรียกภายหลังว่า “ความน่าสะพรึงกลัวสีขาว” หรือ White Terror มันมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับการกดขี่ภายใต้เผด็จการคอมมิวนิสต์ (ที่มักถูกแทนด้วยสีแดง) ว่าเผด็จการของโลกทุนนิยม (ที่แทนด้วยสีขาว) ก็ชั่วร้ายได้ไม่แพ้กัน


ภาพแนบ:
เจียงจิงกว๋อ บุตรชายของเจียงไคเช็กผู้พัฒนาเศรษฐกิจไต้หวัน และยกเลิกกฎอัยการศึก


*** จุดพลิกผันทางการเมือง ***

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อเจียงไคเช็กเสียชีวิตในปี ค.ศ 1975 ทำให้ตำแหน่งผู้นำประเทศถูกส่งต่อไปยังลูกชายอย่างเจียงจิงกว๋อ แม้เจียงจิงกว๋อจะเป็นเผด็จการแต่เขาก็มีแนวทางบริหารต่างจากบิดา โดยเน้นพัฒนาศักยภาพด้านเศรษฐกิจ รวมถึงเปลี่ยนนโยบายการต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่แบบสุดลิ่มทิ่มประตูในยุคของพ่อมาเป็นการช่วงชิงพื้นอันน้อยนิดที่เหลืออยู่บนเวทีโลก ภายหลังสหรัฐฯ หันมาผูกมิตรกับจีนแผ่นดินใหญ่

นอกจากนั้นเจียงจิงกว๋อยังอนุมัติแผนพัฒนาเส้นทางคมนาคมต่างๆ รวมถึงปฏิรูปที่ดินเพื่อการเพาะปลูกให้กับชาวไต้หวัน ทำให้ประเทศเจริญขึ้นเป็นอันมาก

(อนึ่งเจียงจิงกว๋อเป็นประธานาธิบดีคนที่สาม ประธานาธิบดีคนที่สองของไต้หวันคือ เหยียนเจียกั้น ผู้มารับตำแหน่งตามวาระที่เหลืออยู่ของเจียงไคเช็กตั้งแต่ปี 1975-1978 แต่ไม่มีบทบาทโดดเด่นนัก)

*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ไต้หวัน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่