“ไต้หวัน” คือรัฐในทะเลจีนใต้ ปัจจุบันเป็นบ้านของประชากรราว 23 ล้านคน เกาะนี้ผ่านความเป็นมาอันยาวนาน ต้องเผชิญหน้ากับการถูกคุกคามจากภายนอก และความขัดแย้งภายในประเทศมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ก็สามารถยืนหยัดมาได้อย่างมั่นคงโดยตลอด แม้โลกจะไม่ยอมรับพวกเขาเป็นประเทศก็ตาม
บทความนี้ จะพาท่านผู้อ่านไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ตั้งแต่การตกอยู่ใต้อำนาจต่างประเทศ เช่น ฮอลันดา, จีนยุคราชวงศ์ และญี่ปุ่น ต่อด้วยการถูกคุกคามจากพรรคคอมมิวนิสต์และการตกอยู่ใต้เผด็จการก๊กมินตั๋งนานกว่า 40 ปี จนเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยท่ามกลางการกดดันจากแผ่นดินใหญ่
...อนึ่ง ผมเคยเขียนบทความแยกย่อยรายละเอียดเรื่องต่างๆ ไว้แล้ว แต่บทความนี้จะเป็นการสรุปนะครับ
*** จุดเริ่มต้นของไต้หวัน ***
เดิมทีเกาะแห่งนี้มีชนเผ่าพื้นเมืองราว 20 เผ่าซึ่งเชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากชาวออสโตรนีเซียน นักเดินเรือชาวโปรตุเกสค้นพบเกาะแห่งนี้เมื่อราว 400 ปีก่อน และตั้งชื่อว่า “Ilha Formosa” หรือเกาะฟอร์โมซาซึ่งแปลว่า “เกาะอันสวยงาม”
ภาพแนบ: รูปวาดของอาณานิคมดัตช์ฟอร์โมซา
จากนั้นชาวฮอลันดาก็เข้ามาครองเกาะนี้เป็นเจ้าแรก ด้วยการสร้างเมืองท่า “ดัตช์ฟอร์โมซา” พร้อมกับนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ เพื่อจัดระเบียบชาวเกาะเผ่าต่างๆ ไม่ให้พวกเขาสร้างปัญหาต่อ และมีการให้คนท้องถิ่นเป็นหัวหน้าเผ่าคอยดูแลความเรียบร้อย
นอกจากนี้ ชาวฮอลันดายังอนุญาตให้ชาวจีนฮั่นเข้ามาแสวงหาโอกาสในดินแดนแห่งนี้ด้วย
ภาพแนบ: เจิ้งเฉิงกง
ชาวตะวันตกมีอำนาจการปกครองฟอร์โมซาเพียง 38 ปี ก็โดนกองเรือของแม่ทัพเจิ้งเฉิงกงแห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งยกทัพมาแบบมืดฟ้ามัวดินมาปิดล้อมเกาะเป็นเวลานานเกือบ 6 เดือน
พวกฮอลันดาหมดความอดทน ตัดสินใจยอมแพ้กลับบ้าน ส่งผลให้ฟอร์โมซากลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกองทัพหมิง
ภาพแนบ: รูปวาดสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1
ต่อมา กองทัพต้าชิงสามารถสยบพวกหมิง และยึดครองเกาะแห่งนี้สำเร็จ ตั้งเป็น “สาธารณรัฐฟอร์โมซา”
ทว่าสาธารณรัฐแห่งนี้กลับมีอายุเพียง 5 เดือนเศษก็ถูกกองทัพอันเกรียงไกรของญี่ปุ่นบดขยี้ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ในปี 1895 รัฐบาลต้าชิงเลยต้องยกฟอร์โมซาให้ญี่ปุ่น
*** ใต้การปกครองของญี่ปุ่น ***
หลังการยึดครอง ทางการญี่ปุ่นเริ่มก่อตั้งรัฐบาลสำหรับบริหารอาณานิคม ใช้การปกครองแบบเบ็ดเสร็จ ควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจและตำแหน่งทางการเมืองให้เป็นของชาวญี่ปุ่น รวมถึงการกีดกันวัฒนธรรมพื้นถิ่นผ่านบทเรียนต่างๆ หมายมั่นปั้นมือให้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำเพื่อส่งเสบียงกลับไปยังแผ่นดินญี่ปุ่น และใช้เป็นปราการสำคัญในการป้องกันศัตรู
ภาพแนบ: อาคารการรถไฟในไต้หวันที่ญี่ปุ่นสร้าง
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นถูกชาวไต้หวันต่อต้านอย่างหนัก และต้องเผชิญการโจมตีจากกลุ่มกบฏด้วย แม้จะประสบความสำเร็จในการปราบปรามหลายครั้ง ทว่าฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มตระหนักว่าการกดขี่ชาวไต้หวันมีแต่จะทำให้การต่อต้านขยายตัวออกไป รัฐบาลจึงเปลี่ยนไปพยายามซื้อใจประชาชน
กล่าวคือ… ญี่ปุ่นหันมาพัฒนาโครงสร้างปัจจัยพื้นฐานอาทิ โรงไฟฟ้า, ถนนหนทาง, ระบบรถไฟ, และระบบชลประทาน รวมถึงมอบความรู้ด้านการทำเกษตรครบวงจรให้กับชาวไต้หวัน นอกจากนี้ยังมีการสร้างท่าเรือสำคัญจำนวนสองแห่งคือท่าเรือเกาสงและท่าเรือจีหลง เพื่อการขนส่งสินค้าซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ภาพแนบ: ทางเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ไถเป่ยตี้กั๋วในปัจจุบัน
นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังหมายยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการพัฒนาระบบสาธารณสุขและก่อตั้งมหาวิทยาลัยแพทย์ "ไถเป่ยตี้กั๋ว" เพื่อผลิตบุคลากรออกมารับใช้สังคม ไปพร้อมๆกับการออกกฎหมายการศึกษาภาคบังคับโดยสอดแทรกวัฒนธรรมความเป็นญี่ปุ่นเข้าไปในหลักสูตร
ความพยายามดังกล่าวได้รับการตอบสนองที่น่าพอใจ ชาวไต้หวันเริ่มหันมาใช้ภาษาญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น แม้จะมีขุ่นข้องหมองใจกับการกระทำในอดีต ทว่าการตอบโต้ด้วยกำลังก็ลดความรุนแรงลง จนกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเข้าใกล้กับการ “กลืนวัฒนธรรม” มากที่สุด
ภาพแนบ: ทหารไต้หวันในกองทัพญี่ปุ่น
เวลาดำเนินไปจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มอนุญาตให้ชาวไต้หวันเข้ามารับราชการในเหล่าทัพต่างๆ อย่างกว้างขวาง
โดยบันทึกของกระทรวงสาธารณสุข, แรงงาน, และสวัสดิการญี่ปุ่น ระบุว่ามีทหารชาวไต้หวันประจำการในกองทัพจำนวน 207,183 นาย (เสียชีวิตระหว่างสงครามราว 30,304 นาย)
ภาพแนบ: ญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
หลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นความใกล้ชิดระหว่างเจ้าอาณานิคมและผู้อยู่ใต้การปกครองได้ดี แม้ฝ่ายญี่ปุ่นจะให้สถานะชาวไต้หวันเป็น “ประชากรชั้นสอง” แต่ก็มอบประโยชน์มากพอจนได้รับความนิยมระดับหนึ่ง
ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 ต้องปล่อยฟอร์โมซาไปหลังอยู่ด้วยกันมานานเกือบ 50 ปี

*** เหตุการณ์ 228 และ White Terror ***
ในปี 1947 เมื่อไต้หวันตกอยู่ในการปกครองของก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นรัฐบาลจีนในเวลานั้น ได้เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการค้าและตำรวจบันดาลโทสะทำร้ายแม่ค้าขายบุหรี่รายหนึ่งซึ่งพยายามจะขอสินค้าที่ถูกยึดคืน ทำให้ประชาชนแสดงความไม่พอใจพร้อมเดินเข้าไปรุมต่อว่าเจ้าหน้าที่ แต่สถานการณ์กลับบานปลายจนมีผู้เสียชีวิตจากกระสุนของทางการหนึ่งราย
เหตุการณ์ดังกล่าวลุกลามไปสู่การประท้วงกลางกรุงไทเปในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เพื่อกดดันให้ทางการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ แต่ทหารกลับเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุม ขณะที่ม็อบก็รุมประชาทัณฑ์เจ้าหน้าที่การค้าเสียชีวิตสองราย จากนั้นประชาชนผู้คั่งแค้นจึงเริ่มใช้กำลังเข้ายึดสถานที่ราชการ, ทำลายอาคารบ้านเรือนต่างๆ, และสังหารชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อล้างแค้นต่อการถูกกดขี่
นอกจากนี้ยังมีความพยายามปลุกระดมให้มี “การปฏิวัติประชาชนบนเกาะ” ผ่านสถานีวิทยุ ทำให้ฝ่ายประชาชนสามารถยึดครองพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วัน จากนั้นกองกำลังอาสาจึงนำเสนอ “ข้อเรียกร้อง 32 ประการ” ที่มีใจความสำคัญคือ “ให้จัดการเลือกตั้งรัฐบาลท้องถิ่นอย่างโปร่งใสและกระจายอำนาจการบริหารจากส่วนกลาง”
ภาพแนบ: นายพลเฉินอี้
ในช่วงแรกรัฐบาลก๊กมินตั๋งมีท่าทีโอนอ่อนไปกับข้อเสนอ เพื่อรอกำลังเสริมจากแผ่นดินใหญ่มาสมทบ จากนั้นนายพลเฉินอี้ผู้บัญชาการก็อนุมัติการสังหารผู้ต่อต้านแบบไม่เลือกวิธี จนมีผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงบนท้องถนน, การบุกยิงในเคหะสถาน, และการทรมานผู้ต้องสงสัยรวมถึงการข่มขืนอย่างน้อย 10,000 ราย (บางแหล่งเชื่อว่าตัวเลขแท้จริงอาจสูงกว่าจำนวนดังกล่าวอีกเท่าตัว)
ภาพแนบ: เจียงไคเช็ก
แม้การประท้วงในไต้หวันจะถูกปราบจนสงบราบคาบ แต่สถานการณ์บนแผ่นดินใหญ่ของฝ่ายก๊กมินตั๋งขณะนั้นกลับอยู่ในขั้นวิกฤต
หลังความพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์นับครั้งไม่ถ้วน เจียงไคเช็กตระหนักว่าควรอพยพกำลังส่วนที่เหลือข้ามช่องแคบไปยังพื้นที่หมู่เกาะ
ภาพแนบ: กฎอัยการศึก 1949
ะหว่างนั้นเจียงได้ประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 20 พฤษภาคม 1949 ด้วยเหตุผลยอดนิยมของเผด็จการแห่งโลกเสรีคือ “การปกป้องความมั่นคงของชาติและจัดการกับปฏิปักษ์ของรัฐโดยเฉพาะสายลับของพวกคอมมิวนิสต์ที่แฝงตัวมาจากแผ่นดินใหญ่”
เขามอบอำนาจให้กองทัพอย่างมากตั้งแต่การประกาศเคอร์ฟิวตอนกลางคืน, ห้ามประชาชนก่อตั้งพรรคหรือมีส่วนร่วมทางการเมืองไปจนถึงห้ามการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนคิดกระทำการใดๆ เหมือนที่เกิดขึ้นในปี 1947 อีก

แม้จะเลวร้ายแค่ไหนแต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติ ณ เวลานั้น เนื่องจากการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกาและโลกสังคมนิยมใต้ปีกสหภาพโซเวียตกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
ถึงประเทศหนึ่งจะปกครองแบบเผด็จการกดขี่ชาวบ้านอย่างไร แต่ขอเพียงสนับขั้วอำนาจใหญ่ข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะสามารถปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จตามอำเภอใจ
ภาพแนบ: ผู้เสียชีวิตจาก White Terror
ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวนี้ถูกเรียกภายหลังว่า “ความน่าสะพรึงกลัวสีขาว” หรือ White Terror
มันมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับการกดขี่ภายใต้เผด็จการคอมมิวนิสต์ (ที่มักถูกแทนด้วยสีแดง) ว่าเผด็จการของโลกทุนนิยม (ที่แทนด้วยสีขาว) ก็ชั่วร้ายได้ไม่แพ้กัน
ภาพแนบ: ผู้แทนจีนหัวเราะร่าเมื่อทราบข่าวสมัชชาสหประชาชาติลงมติให้รับจีนเป็นสมาชิก และขับไต้หวันออก เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 1971
*** จุดเปลี่ยนของไต้หวัน ***
เวลาต่อมา หลังสตาลินเสียชีวิต จีนเกิดแตกคอกับโซเวียต เพราะมองคอมมิวนิสต์ไม่ตรงกัน อเมริกาเลยฉวยโอกาสผูกมิตรกับจีนเพื่อคานอำนาจ
ในปี 1971 สหประชาชาติ (UN) มีมติยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) เป็นสมาชิก พร้อมทั้งยกให้เป็นสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ส่วนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กลับถูกขับออกจากตำแหน่งในเวลาต่อค่อมา
...เรื่องนี้แม้เป็นคุณต่อฝ่ายทุนนิยม แต่นับเป็นการหักหลังไต้หวันอย่างโหดร้าย
ภาพแนบ: เจียงจิงกว๋อกับพ่อ
เมื่อเจียงไคเช็กเสียชีวิตในปี ค.ศ 1975 ทำให้ตำแหน่งผู้นำประเทศถูกส่งต่อไปยังลูกชายอย่าง “เจียงจิงกว๋อ” ที่แม้จะเป็นเผด็จการแต่มีแนวทางบริหารต่างจากบิดา โดยเน้นพัฒนาศักยภาพด้านเศรษฐกิจ และเปลี่ยนนโยบายการต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่ในยุคของพ่อมาเป็นการช่วงชิงพื้นอันน้อยนิดที่เหลืออยู่บนเวทีโลก
นอกจากนโยบายระหว่างประเทศ เจียงจิงกว๋อยังอนุมัติแผนพัฒนาเส้นทางคมนาคมต่างๆ รวมถึงปฏิรูปที่ดินเพื่อการเพาะปลูกให้กับชาวไต้หวัน ทำให้ประเทศเจริญขึ้นเป็นอันมาก
ภาพแนบ: เจียงจิงกว๋อตอนแก่
อนึ่งเจียงจิงกว๋อเป็นประธานาธิบดีคนที่สาม ประธานาธิบดีคนที่สองของไต้หวันคือ เหยียนเจียกั้น ผู้มารับตำแหน่งตามวาระที่เหลืออยู่ของเจียงไคเช็กตั้งแต่ปี 1975-1978 แต่ไม่มีบทบาทโดดเด่นนัก
ต้องยอมรับว่าแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของเจียงจิงกว๋อ ช่วยให้ไต้หวันพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดจนเป็นที่ประจักษ์ แม้จะยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้อำนาจแบบเผด็จการ แต่ถือว่าชื่อเสียงดีกว่าเจียงไคเช็ก
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** สรุปประวัติศาสตร์ไต้หวันแบบกระชับ ***
บทความนี้ จะพาท่านผู้อ่านไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ตั้งแต่การตกอยู่ใต้อำนาจต่างประเทศ เช่น ฮอลันดา, จีนยุคราชวงศ์ และญี่ปุ่น ต่อด้วยการถูกคุกคามจากพรรคคอมมิวนิสต์และการตกอยู่ใต้เผด็จการก๊กมินตั๋งนานกว่า 40 ปี จนเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยท่ามกลางการกดดันจากแผ่นดินใหญ่
...อนึ่ง ผมเคยเขียนบทความแยกย่อยรายละเอียดเรื่องต่างๆ ไว้แล้ว แต่บทความนี้จะเป็นการสรุปนะครับ
*** จุดเริ่มต้นของไต้หวัน ***
เดิมทีเกาะแห่งนี้มีชนเผ่าพื้นเมืองราว 20 เผ่าซึ่งเชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากชาวออสโตรนีเซียน นักเดินเรือชาวโปรตุเกสค้นพบเกาะแห่งนี้เมื่อราว 400 ปีก่อน และตั้งชื่อว่า “Ilha Formosa” หรือเกาะฟอร์โมซาซึ่งแปลว่า “เกาะอันสวยงาม”
ภาพแนบ: รูปวาดของอาณานิคมดัตช์ฟอร์โมซา
จากนั้นชาวฮอลันดาก็เข้ามาครองเกาะนี้เป็นเจ้าแรก ด้วยการสร้างเมืองท่า “ดัตช์ฟอร์โมซา” พร้อมกับนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ เพื่อจัดระเบียบชาวเกาะเผ่าต่างๆ ไม่ให้พวกเขาสร้างปัญหาต่อ และมีการให้คนท้องถิ่นเป็นหัวหน้าเผ่าคอยดูแลความเรียบร้อย
นอกจากนี้ ชาวฮอลันดายังอนุญาตให้ชาวจีนฮั่นเข้ามาแสวงหาโอกาสในดินแดนแห่งนี้ด้วย
ภาพแนบ: เจิ้งเฉิงกง
ชาวตะวันตกมีอำนาจการปกครองฟอร์โมซาเพียง 38 ปี ก็โดนกองเรือของแม่ทัพเจิ้งเฉิงกงแห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งยกทัพมาแบบมืดฟ้ามัวดินมาปิดล้อมเกาะเป็นเวลานานเกือบ 6 เดือน
พวกฮอลันดาหมดความอดทน ตัดสินใจยอมแพ้กลับบ้าน ส่งผลให้ฟอร์โมซากลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกองทัพหมิง
ภาพแนบ: รูปวาดสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1
ต่อมา กองทัพต้าชิงสามารถสยบพวกหมิง และยึดครองเกาะแห่งนี้สำเร็จ ตั้งเป็น “สาธารณรัฐฟอร์โมซา”
ทว่าสาธารณรัฐแห่งนี้กลับมีอายุเพียง 5 เดือนเศษก็ถูกกองทัพอันเกรียงไกรของญี่ปุ่นบดขยี้ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ในปี 1895 รัฐบาลต้าชิงเลยต้องยกฟอร์โมซาให้ญี่ปุ่น
*** ใต้การปกครองของญี่ปุ่น ***
หลังการยึดครอง ทางการญี่ปุ่นเริ่มก่อตั้งรัฐบาลสำหรับบริหารอาณานิคม ใช้การปกครองแบบเบ็ดเสร็จ ควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจและตำแหน่งทางการเมืองให้เป็นของชาวญี่ปุ่น รวมถึงการกีดกันวัฒนธรรมพื้นถิ่นผ่านบทเรียนต่างๆ หมายมั่นปั้นมือให้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำเพื่อส่งเสบียงกลับไปยังแผ่นดินญี่ปุ่น และใช้เป็นปราการสำคัญในการป้องกันศัตรู
ภาพแนบ: อาคารการรถไฟในไต้หวันที่ญี่ปุ่นสร้าง
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นถูกชาวไต้หวันต่อต้านอย่างหนัก และต้องเผชิญการโจมตีจากกลุ่มกบฏด้วย แม้จะประสบความสำเร็จในการปราบปรามหลายครั้ง ทว่าฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มตระหนักว่าการกดขี่ชาวไต้หวันมีแต่จะทำให้การต่อต้านขยายตัวออกไป รัฐบาลจึงเปลี่ยนไปพยายามซื้อใจประชาชน
กล่าวคือ… ญี่ปุ่นหันมาพัฒนาโครงสร้างปัจจัยพื้นฐานอาทิ โรงไฟฟ้า, ถนนหนทาง, ระบบรถไฟ, และระบบชลประทาน รวมถึงมอบความรู้ด้านการทำเกษตรครบวงจรให้กับชาวไต้หวัน นอกจากนี้ยังมีการสร้างท่าเรือสำคัญจำนวนสองแห่งคือท่าเรือเกาสงและท่าเรือจีหลง เพื่อการขนส่งสินค้าซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ภาพแนบ: ทางเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ไถเป่ยตี้กั๋วในปัจจุบัน
นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังหมายยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการพัฒนาระบบสาธารณสุขและก่อตั้งมหาวิทยาลัยแพทย์ "ไถเป่ยตี้กั๋ว" เพื่อผลิตบุคลากรออกมารับใช้สังคม ไปพร้อมๆกับการออกกฎหมายการศึกษาภาคบังคับโดยสอดแทรกวัฒนธรรมความเป็นญี่ปุ่นเข้าไปในหลักสูตร
ความพยายามดังกล่าวได้รับการตอบสนองที่น่าพอใจ ชาวไต้หวันเริ่มหันมาใช้ภาษาญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น แม้จะมีขุ่นข้องหมองใจกับการกระทำในอดีต ทว่าการตอบโต้ด้วยกำลังก็ลดความรุนแรงลง จนกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเข้าใกล้กับการ “กลืนวัฒนธรรม” มากที่สุด
ภาพแนบ: ทหารไต้หวันในกองทัพญี่ปุ่น
เวลาดำเนินไปจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มอนุญาตให้ชาวไต้หวันเข้ามารับราชการในเหล่าทัพต่างๆ อย่างกว้างขวาง
โดยบันทึกของกระทรวงสาธารณสุข, แรงงาน, และสวัสดิการญี่ปุ่น ระบุว่ามีทหารชาวไต้หวันประจำการในกองทัพจำนวน 207,183 นาย (เสียชีวิตระหว่างสงครามราว 30,304 นาย)
ภาพแนบ: ญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
หลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นความใกล้ชิดระหว่างเจ้าอาณานิคมและผู้อยู่ใต้การปกครองได้ดี แม้ฝ่ายญี่ปุ่นจะให้สถานะชาวไต้หวันเป็น “ประชากรชั้นสอง” แต่ก็มอบประโยชน์มากพอจนได้รับความนิยมระดับหนึ่ง
ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 ต้องปล่อยฟอร์โมซาไปหลังอยู่ด้วยกันมานานเกือบ 50 ปี
*** เหตุการณ์ 228 และ White Terror ***
ในปี 1947 เมื่อไต้หวันตกอยู่ในการปกครองของก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นรัฐบาลจีนในเวลานั้น ได้เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการค้าและตำรวจบันดาลโทสะทำร้ายแม่ค้าขายบุหรี่รายหนึ่งซึ่งพยายามจะขอสินค้าที่ถูกยึดคืน ทำให้ประชาชนแสดงความไม่พอใจพร้อมเดินเข้าไปรุมต่อว่าเจ้าหน้าที่ แต่สถานการณ์กลับบานปลายจนมีผู้เสียชีวิตจากกระสุนของทางการหนึ่งราย
เหตุการณ์ดังกล่าวลุกลามไปสู่การประท้วงกลางกรุงไทเปในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เพื่อกดดันให้ทางการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ แต่ทหารกลับเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุม ขณะที่ม็อบก็รุมประชาทัณฑ์เจ้าหน้าที่การค้าเสียชีวิตสองราย จากนั้นประชาชนผู้คั่งแค้นจึงเริ่มใช้กำลังเข้ายึดสถานที่ราชการ, ทำลายอาคารบ้านเรือนต่างๆ, และสังหารชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อล้างแค้นต่อการถูกกดขี่
นอกจากนี้ยังมีความพยายามปลุกระดมให้มี “การปฏิวัติประชาชนบนเกาะ” ผ่านสถานีวิทยุ ทำให้ฝ่ายประชาชนสามารถยึดครองพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วัน จากนั้นกองกำลังอาสาจึงนำเสนอ “ข้อเรียกร้อง 32 ประการ” ที่มีใจความสำคัญคือ “ให้จัดการเลือกตั้งรัฐบาลท้องถิ่นอย่างโปร่งใสและกระจายอำนาจการบริหารจากส่วนกลาง”
ภาพแนบ: นายพลเฉินอี้
ในช่วงแรกรัฐบาลก๊กมินตั๋งมีท่าทีโอนอ่อนไปกับข้อเสนอ เพื่อรอกำลังเสริมจากแผ่นดินใหญ่มาสมทบ จากนั้นนายพลเฉินอี้ผู้บัญชาการก็อนุมัติการสังหารผู้ต่อต้านแบบไม่เลือกวิธี จนมีผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงบนท้องถนน, การบุกยิงในเคหะสถาน, และการทรมานผู้ต้องสงสัยรวมถึงการข่มขืนอย่างน้อย 10,000 ราย (บางแหล่งเชื่อว่าตัวเลขแท้จริงอาจสูงกว่าจำนวนดังกล่าวอีกเท่าตัว)
ภาพแนบ: เจียงไคเช็ก
แม้การประท้วงในไต้หวันจะถูกปราบจนสงบราบคาบ แต่สถานการณ์บนแผ่นดินใหญ่ของฝ่ายก๊กมินตั๋งขณะนั้นกลับอยู่ในขั้นวิกฤต
หลังความพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์นับครั้งไม่ถ้วน เจียงไคเช็กตระหนักว่าควรอพยพกำลังส่วนที่เหลือข้ามช่องแคบไปยังพื้นที่หมู่เกาะ
ภาพแนบ: กฎอัยการศึก 1949
ะหว่างนั้นเจียงได้ประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 20 พฤษภาคม 1949 ด้วยเหตุผลยอดนิยมของเผด็จการแห่งโลกเสรีคือ “การปกป้องความมั่นคงของชาติและจัดการกับปฏิปักษ์ของรัฐโดยเฉพาะสายลับของพวกคอมมิวนิสต์ที่แฝงตัวมาจากแผ่นดินใหญ่”
เขามอบอำนาจให้กองทัพอย่างมากตั้งแต่การประกาศเคอร์ฟิวตอนกลางคืน, ห้ามประชาชนก่อตั้งพรรคหรือมีส่วนร่วมทางการเมืองไปจนถึงห้ามการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนคิดกระทำการใดๆ เหมือนที่เกิดขึ้นในปี 1947 อีก
แม้จะเลวร้ายแค่ไหนแต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติ ณ เวลานั้น เนื่องจากการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกาและโลกสังคมนิยมใต้ปีกสหภาพโซเวียตกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
ถึงประเทศหนึ่งจะปกครองแบบเผด็จการกดขี่ชาวบ้านอย่างไร แต่ขอเพียงสนับขั้วอำนาจใหญ่ข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะสามารถปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จตามอำเภอใจ
ภาพแนบ: ผู้เสียชีวิตจาก White Terror
ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวนี้ถูกเรียกภายหลังว่า “ความน่าสะพรึงกลัวสีขาว” หรือ White Terror
มันมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับการกดขี่ภายใต้เผด็จการคอมมิวนิสต์ (ที่มักถูกแทนด้วยสีแดง) ว่าเผด็จการของโลกทุนนิยม (ที่แทนด้วยสีขาว) ก็ชั่วร้ายได้ไม่แพ้กัน
ภาพแนบ: ผู้แทนจีนหัวเราะร่าเมื่อทราบข่าวสมัชชาสหประชาชาติลงมติให้รับจีนเป็นสมาชิก และขับไต้หวันออก เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 1971
*** จุดเปลี่ยนของไต้หวัน ***
เวลาต่อมา หลังสตาลินเสียชีวิต จีนเกิดแตกคอกับโซเวียต เพราะมองคอมมิวนิสต์ไม่ตรงกัน อเมริกาเลยฉวยโอกาสผูกมิตรกับจีนเพื่อคานอำนาจ
ในปี 1971 สหประชาชาติ (UN) มีมติยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) เป็นสมาชิก พร้อมทั้งยกให้เป็นสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ส่วนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กลับถูกขับออกจากตำแหน่งในเวลาต่อค่อมา
...เรื่องนี้แม้เป็นคุณต่อฝ่ายทุนนิยม แต่นับเป็นการหักหลังไต้หวันอย่างโหดร้าย
ภาพแนบ: เจียงจิงกว๋อกับพ่อ
เมื่อเจียงไคเช็กเสียชีวิตในปี ค.ศ 1975 ทำให้ตำแหน่งผู้นำประเทศถูกส่งต่อไปยังลูกชายอย่าง “เจียงจิงกว๋อ” ที่แม้จะเป็นเผด็จการแต่มีแนวทางบริหารต่างจากบิดา โดยเน้นพัฒนาศักยภาพด้านเศรษฐกิจ และเปลี่ยนนโยบายการต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่ในยุคของพ่อมาเป็นการช่วงชิงพื้นอันน้อยนิดที่เหลืออยู่บนเวทีโลก
นอกจากนโยบายระหว่างประเทศ เจียงจิงกว๋อยังอนุมัติแผนพัฒนาเส้นทางคมนาคมต่างๆ รวมถึงปฏิรูปที่ดินเพื่อการเพาะปลูกให้กับชาวไต้หวัน ทำให้ประเทศเจริญขึ้นเป็นอันมาก
ภาพแนบ: เจียงจิงกว๋อตอนแก่
อนึ่งเจียงจิงกว๋อเป็นประธานาธิบดีคนที่สาม ประธานาธิบดีคนที่สองของไต้หวันคือ เหยียนเจียกั้น ผู้มารับตำแหน่งตามวาระที่เหลืออยู่ของเจียงไคเช็กตั้งแต่ปี 1975-1978 แต่ไม่มีบทบาทโดดเด่นนัก
ต้องยอมรับว่าแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของเจียงจิงกว๋อ ช่วยให้ไต้หวันพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดจนเป็นที่ประจักษ์ แม้จะยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้อำนาจแบบเผด็จการ แต่ถือว่าชื่อเสียงดีกว่าเจียงไคเช็ก
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***