
ที่มา :
https://www.washingtonpost.com/politics/2021/09/20/denmark-appears-have-beaten-covid-19-now-here-is-how-it-did-it/
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ทางการเดนมาร์กได้ยกเลิกข้อจำกัดด้านการระบาดใหญ่ทั้งหมด และประกาศว่า covid-19 ไม่ใช่ “ภัยคุกคามที่สำคัญ” ในประเทศอีกต่อไป อัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูง โดยร้อยละ 86 ของพลเมืองเป้าหมายที่อายุ 12 ปีขึ้นไปได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม และร้อยละ 95 ของผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส
ยอดผู้เสียชีวิตของเดนมาร์กในช่วงการระบาดใหญ่คือ 450 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน เทียบกับ 1,982 ต่อล้านคนในสหรัฐอเมริกา
โครงการวิจัยด้านพฤติกรรม covid-19 ที่ใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก (โครงการ HOPE) ได้สำรวจบุคคลมากกว่า 400,000 คนในเดนมาร์กและยุโรปอีกเจ็ดประเทศ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของประชาชนต่อหน่วยงานด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของเดนมาร์ก ความไว้วางใจดังกล่าวได้ส่งเสริมให้อัตราการฉีดวัคซีนสูงมาก และทำให้การดำเนินการตามนโยบายสำคัญๆ เช่น mass testing และ vaccine passport ประสบผลสำเร็จ
การวิจัยเกี่ยวกับความลังเลใจในการยอมรับวัคซีน พบว่าการขาดความไว้วางใจในหน่วยงานต่างๆ เช่น ข้าราชการผู้นำท้องถิ่น และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เป็นต้น ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ประชาชนจะปฏิเสธการฉีดวัคซีน นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เนื่องจากมีประชาชนจำนวนไม่มากที่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับวิธีการทำงานของวัคซีนประสิทธิภาพหรือผลข้างเคียงของวัคซีน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนจำเป็นต้องไว้วางใจเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของรัฐฯ นักวิชาการ แพทย์ รวมไปจนถึงหน่วยงานที่อนุมัติและแจกจ่ายวัคซีน
ข้อมูลการสำรวจของเราเปิดเผยว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของชาวเดนมาร์กไว้วางใจหน่วยงานด้านสุขภาพแห่งชาติ
ในฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ประชากรเป้าหมายของเดนมาร์กมากกว่า 80 % ยินดีรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติ เทียบกับประชากรเป้าหมายของสหรัฐอเมริกามีจำนวนน้อยกว่า 50 % ยินดียอมรับวัคซีน
แม้ว่าการเริ่มต้นด้วยความไว้วางใจในระดับสูงจะช่วยได้ แต่การรักษาความไว้วางใจนี้อาจเป็นสิ่งที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทางรัฐฯส่งเสริมวัคซีนที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพน้อยกว่า หรือมีความเสี่ยงมากกว่าให้ประชาชน การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับคุณลักษณะทั้งหมดของวัคซีน รวมถึงด้านลบของวัคซีนด้วย ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความไว้วางใจ แม้ว่าในระยะสั้น จะลดการยอมรับวัคซีนก็ตาม
เราพบว่าความไว้วางใจระหว่างประชาชนและหน่วยงานรัฐฯควรเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย เนื่องจากทางการจำเป็นต้องวางใจว่าประชาชนสามารถรับมือกับข่าวร้ายและยังคงตัดสินใจอย่างรับผิดชอบ ( ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยอมรับในเวลาต่อมาว่าจงใจดูถูกไวรัสโคโรน่า ) ในทางตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่ของเดนมาร์ก นอกจากเริ่มต้นอย่างช้าๆเปิดเผยเกี่ยวกับความรุนแรงและความไม่แน่นอนของวิกฤตการณ์ พวกเขายังเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีนบางชนิด และในเดือนมีนาคมได้ตัดสินใจระงับการใช้วัคซีนแอสตร้าเซเนกาเนื่องจากหน่วยงานด้านสุขภาพให้ความเห็นว่าเมื่อกลุ่มเปราะบางได้รับวัคซีนแล้วและโรคระบาดอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ผลข้างเคียงของวัคซีนแอสตร้าเซเนกาเป็นภัยคุกคามต่อคนเดนมาร์กมากกว่าตัวไวรัสเอง
ในระยะแรกเดนมาร์กหยุดการใช้วัคซีนแอสตร้าเซเนกาชั่วคราว และต่อมาได้ถอดทั้งวัคซีนแอสตร้าเซเนกาและจอห์นสันแอนด์จอห์นสันออกจากโครงการวัคซีนของชาติ โดยบริจาควัคซีนสำรอง 3 ล้านโดสให้กับประเทศกำลังพัฒนา
ทำให้เกิดความล่าช้าในการฉีดวัคซีน เพราะต้องรอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ในขณะนั้นส่วนสำคัญของการควบคุมโควิด-19 จึงต้องอาศัย mass testing โดยเดนมาร์กทำ covid test มากถึง 4 ล้านครั้ง (75 ครั้งต่อ 100 คน) ต่อสัปดาห์ และทางการของเดนมาร์กได้ส่งเสริมให้การทำ test และแนวทางปฏิบัติอื่นๆ เกี่ยวกับโควิด-19 ว่าเป็นภาระหน้าที่ทางศีลธรรม กล่าวง่ายๆ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำเพื่อกันและกัน โดยอาศัยแนวทางร่วมกันในการเอาชนะการแพร่ระบาด
ในอีกด้านปัญหาด้านศีลธรรมนี้สามารถย้อนกลับมาสร้างปัญหา นำไปสู่ความขัดแย้ง และการถูกประณามจากทั้งสองฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าพวกเขาจะสนับสนุนนโยบายโควิด-19 ของรัฐบาลในระดับสูง แต่โชคดีที่ชาวเดนมาร์กไม่ตำหนิและสร้างความอับอายให้กันและกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนส่วนใหญ่ทำตามคำแนะนำของทางการและไม่ได้นำเรื่องนี้ไปจับผิดคนอื่น อันที่จริง ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลนั้นสูงมากจนผู้ที่ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดยังคงคิดว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อจัดการกับ coronavirus
ภัยคุกคามหลักประการหนึ่งต่อโครงการแบบรวมกลุ่มคือการทะเลาะวิวาทกันของพรรคพวก ซึ่งมักเริ่มต้นในหมู่ชนชั้นสูงแล้วค่อยไหลลงสู่สาธารณชนในวงกว้าง ในวิกฤตที่ยืดเยื้อเช่นการระบาดใหญ่นั้นภาระของประชาชนจะมากขึ้นการสนับสนุนจากสาธารณะจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เดนมาร์กอยู่ในสถานะที่ดีในการจัดการกับโรคระบาด เนื่องจากพรรคการเมืองของเดนมาร์กมีประวัติการทำงานร่วมกันมายาวนาน การสำรวจของเราแสดงให้เห็นว่าในขั้นต้น 80 เปอร์เซ็นต์ของชาวเดนมาร์กรู้สึกว่าผู้นำของพวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อต้าน coronavirus
ความสามัคคีนี้สั่นสะเทือนสองครั้ง ในเดือนพฤศจิกายน 2020 การตัดสินใจของรัฐบาลในการกำจัดมิงค์ทั้งหมดในเดนมาร์ก ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับข้อดีทางกฎหมายและสุขภาพของการตัดสินใจ
ไม่กี่เดือนต่อมา ในเดือนกุมภาพันธ์ ฝ่ายค้านฝ่ายขวาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับรัฐบาลเกี่ยวกับโรดแมปที่ดีที่สุดในการเปิดสังคมใหม่ แต่หลังจากการเจรจาอย่างกว้างขวางในทั้งสองครั้ง ฝ่ายต่างๆ ของเดนมาร์กก็มีความเข้าใจร่วมกันและความรู้สึกของการแบ่งขั้วในหมู่ประชาชนลดลง ฝ่ายค้านของเดนมาร์กจัดลำดับความสำคัญของการควบคุมโรคระบาดเหนือผลประโยชน์จากการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้น
ในบางส่วน ความเข้าใจร่วมกันนี้ได้รับการอำนวยความสะดวกโดยความมุ่งมั่นทั่วไปในหมู่ชนชั้นสูงทางการเมืองที่จะปฏิบัติตามวิทยาศาสตร์ รวมถึงการวิจัยทางการแพทย์ การสร้างแบบจำลองการแพร่ระบาด เศรษฐศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ รวมถึงผลการวิจัยของโครงการ HOPE
ความท้าทายสุดท้ายคือการลดภาระของข้อจำกัดต่างๆ การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าภาระทางสังคม การเงิน และสุขภาพของโรคระบาดใหญ่ทำให้เกิดการต่อต้านระบบการเมือง ในเดนมาร์กการปฏิบัติตามและการสนับสนุนในระดับสูงทำให้ข้อจำกัดต่างๆ นุ่มนวลขึ้น และทำให้พวกเขาดูเหมือนมีความหมาย ช่วยลดภาระนี้ ด้วยเหตุนี้ ชาวเดนมาร์กจึงได้รับความเดือดร้อนน้อยลงในช่วงการแพร่ระบาด และมองว่า mass testing และ vaccine passport เป็นเครื่องมือในการปกป้องกันและกัน
ชาวเดนมาร์กไว้วางใจให้รัฐบาลและหน่วยงานด้านสุขภาพทำการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบและมีความสามารถเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด และในทางกลับกัน รัฐบาลและหน่วยงานของเดนมาร์กไว้วางใจชาวเดนมาร์กว่าจะประพฤติตนอย่างมีความรับผิดชอบและปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว
การจัดการโควิด-19 ของเดนมาร์ก ( บทความจาก Washington Post )
ที่มา : https://www.washingtonpost.com/politics/2021/09/20/denmark-appears-have-beaten-covid-19-now-here-is-how-it-did-it/
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ทางการเดนมาร์กได้ยกเลิกข้อจำกัดด้านการระบาดใหญ่ทั้งหมด และประกาศว่า covid-19 ไม่ใช่ “ภัยคุกคามที่สำคัญ” ในประเทศอีกต่อไป อัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูง โดยร้อยละ 86 ของพลเมืองเป้าหมายที่อายุ 12 ปีขึ้นไปได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม และร้อยละ 95 ของผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส
ยอดผู้เสียชีวิตของเดนมาร์กในช่วงการระบาดใหญ่คือ 450 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน เทียบกับ 1,982 ต่อล้านคนในสหรัฐอเมริกา
โครงการวิจัยด้านพฤติกรรม covid-19 ที่ใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก (โครงการ HOPE) ได้สำรวจบุคคลมากกว่า 400,000 คนในเดนมาร์กและยุโรปอีกเจ็ดประเทศ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของประชาชนต่อหน่วยงานด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของเดนมาร์ก ความไว้วางใจดังกล่าวได้ส่งเสริมให้อัตราการฉีดวัคซีนสูงมาก และทำให้การดำเนินการตามนโยบายสำคัญๆ เช่น mass testing และ vaccine passport ประสบผลสำเร็จ
การวิจัยเกี่ยวกับความลังเลใจในการยอมรับวัคซีน พบว่าการขาดความไว้วางใจในหน่วยงานต่างๆ เช่น ข้าราชการผู้นำท้องถิ่น และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เป็นต้น ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ประชาชนจะปฏิเสธการฉีดวัคซีน นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เนื่องจากมีประชาชนจำนวนไม่มากที่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับวิธีการทำงานของวัคซีนประสิทธิภาพหรือผลข้างเคียงของวัคซีน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนจำเป็นต้องไว้วางใจเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของรัฐฯ นักวิชาการ แพทย์ รวมไปจนถึงหน่วยงานที่อนุมัติและแจกจ่ายวัคซีน
ข้อมูลการสำรวจของเราเปิดเผยว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของชาวเดนมาร์กไว้วางใจหน่วยงานด้านสุขภาพแห่งชาติ
ในฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ประชากรเป้าหมายของเดนมาร์กมากกว่า 80 % ยินดีรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติ เทียบกับประชากรเป้าหมายของสหรัฐอเมริกามีจำนวนน้อยกว่า 50 % ยินดียอมรับวัคซีน
แม้ว่าการเริ่มต้นด้วยความไว้วางใจในระดับสูงจะช่วยได้ แต่การรักษาความไว้วางใจนี้อาจเป็นสิ่งที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทางรัฐฯส่งเสริมวัคซีนที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพน้อยกว่า หรือมีความเสี่ยงมากกว่าให้ประชาชน การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับคุณลักษณะทั้งหมดของวัคซีน รวมถึงด้านลบของวัคซีนด้วย ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความไว้วางใจ แม้ว่าในระยะสั้น จะลดการยอมรับวัคซีนก็ตาม
เราพบว่าความไว้วางใจระหว่างประชาชนและหน่วยงานรัฐฯควรเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย เนื่องจากทางการจำเป็นต้องวางใจว่าประชาชนสามารถรับมือกับข่าวร้ายและยังคงตัดสินใจอย่างรับผิดชอบ ( ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยอมรับในเวลาต่อมาว่าจงใจดูถูกไวรัสโคโรน่า ) ในทางตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่ของเดนมาร์ก นอกจากเริ่มต้นอย่างช้าๆเปิดเผยเกี่ยวกับความรุนแรงและความไม่แน่นอนของวิกฤตการณ์ พวกเขายังเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีนบางชนิด และในเดือนมีนาคมได้ตัดสินใจระงับการใช้วัคซีนแอสตร้าเซเนกาเนื่องจากหน่วยงานด้านสุขภาพให้ความเห็นว่าเมื่อกลุ่มเปราะบางได้รับวัคซีนแล้วและโรคระบาดอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ผลข้างเคียงของวัคซีนแอสตร้าเซเนกาเป็นภัยคุกคามต่อคนเดนมาร์กมากกว่าตัวไวรัสเอง
ในระยะแรกเดนมาร์กหยุดการใช้วัคซีนแอสตร้าเซเนกาชั่วคราว และต่อมาได้ถอดทั้งวัคซีนแอสตร้าเซเนกาและจอห์นสันแอนด์จอห์นสันออกจากโครงการวัคซีนของชาติ โดยบริจาควัคซีนสำรอง 3 ล้านโดสให้กับประเทศกำลังพัฒนา
ทำให้เกิดความล่าช้าในการฉีดวัคซีน เพราะต้องรอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ในขณะนั้นส่วนสำคัญของการควบคุมโควิด-19 จึงต้องอาศัย mass testing โดยเดนมาร์กทำ covid test มากถึง 4 ล้านครั้ง (75 ครั้งต่อ 100 คน) ต่อสัปดาห์ และทางการของเดนมาร์กได้ส่งเสริมให้การทำ test และแนวทางปฏิบัติอื่นๆ เกี่ยวกับโควิด-19 ว่าเป็นภาระหน้าที่ทางศีลธรรม กล่าวง่ายๆ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำเพื่อกันและกัน โดยอาศัยแนวทางร่วมกันในการเอาชนะการแพร่ระบาด
ในอีกด้านปัญหาด้านศีลธรรมนี้สามารถย้อนกลับมาสร้างปัญหา นำไปสู่ความขัดแย้ง และการถูกประณามจากทั้งสองฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าพวกเขาจะสนับสนุนนโยบายโควิด-19 ของรัฐบาลในระดับสูง แต่โชคดีที่ชาวเดนมาร์กไม่ตำหนิและสร้างความอับอายให้กันและกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนส่วนใหญ่ทำตามคำแนะนำของทางการและไม่ได้นำเรื่องนี้ไปจับผิดคนอื่น อันที่จริง ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลนั้นสูงมากจนผู้ที่ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดยังคงคิดว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อจัดการกับ coronavirus
ภัยคุกคามหลักประการหนึ่งต่อโครงการแบบรวมกลุ่มคือการทะเลาะวิวาทกันของพรรคพวก ซึ่งมักเริ่มต้นในหมู่ชนชั้นสูงแล้วค่อยไหลลงสู่สาธารณชนในวงกว้าง ในวิกฤตที่ยืดเยื้อเช่นการระบาดใหญ่นั้นภาระของประชาชนจะมากขึ้นการสนับสนุนจากสาธารณะจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เดนมาร์กอยู่ในสถานะที่ดีในการจัดการกับโรคระบาด เนื่องจากพรรคการเมืองของเดนมาร์กมีประวัติการทำงานร่วมกันมายาวนาน การสำรวจของเราแสดงให้เห็นว่าในขั้นต้น 80 เปอร์เซ็นต์ของชาวเดนมาร์กรู้สึกว่าผู้นำของพวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อต้าน coronavirus
ความสามัคคีนี้สั่นสะเทือนสองครั้ง ในเดือนพฤศจิกายน 2020 การตัดสินใจของรัฐบาลในการกำจัดมิงค์ทั้งหมดในเดนมาร์ก ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับข้อดีทางกฎหมายและสุขภาพของการตัดสินใจ
ไม่กี่เดือนต่อมา ในเดือนกุมภาพันธ์ ฝ่ายค้านฝ่ายขวาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับรัฐบาลเกี่ยวกับโรดแมปที่ดีที่สุดในการเปิดสังคมใหม่ แต่หลังจากการเจรจาอย่างกว้างขวางในทั้งสองครั้ง ฝ่ายต่างๆ ของเดนมาร์กก็มีความเข้าใจร่วมกันและความรู้สึกของการแบ่งขั้วในหมู่ประชาชนลดลง ฝ่ายค้านของเดนมาร์กจัดลำดับความสำคัญของการควบคุมโรคระบาดเหนือผลประโยชน์จากการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้น
ในบางส่วน ความเข้าใจร่วมกันนี้ได้รับการอำนวยความสะดวกโดยความมุ่งมั่นทั่วไปในหมู่ชนชั้นสูงทางการเมืองที่จะปฏิบัติตามวิทยาศาสตร์ รวมถึงการวิจัยทางการแพทย์ การสร้างแบบจำลองการแพร่ระบาด เศรษฐศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ รวมถึงผลการวิจัยของโครงการ HOPE
ความท้าทายสุดท้ายคือการลดภาระของข้อจำกัดต่างๆ การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าภาระทางสังคม การเงิน และสุขภาพของโรคระบาดใหญ่ทำให้เกิดการต่อต้านระบบการเมือง ในเดนมาร์กการปฏิบัติตามและการสนับสนุนในระดับสูงทำให้ข้อจำกัดต่างๆ นุ่มนวลขึ้น และทำให้พวกเขาดูเหมือนมีความหมาย ช่วยลดภาระนี้ ด้วยเหตุนี้ ชาวเดนมาร์กจึงได้รับความเดือดร้อนน้อยลงในช่วงการแพร่ระบาด และมองว่า mass testing และ vaccine passport เป็นเครื่องมือในการปกป้องกันและกัน
ชาวเดนมาร์กไว้วางใจให้รัฐบาลและหน่วยงานด้านสุขภาพทำการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบและมีความสามารถเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด และในทางกลับกัน รัฐบาลและหน่วยงานของเดนมาร์กไว้วางใจชาวเดนมาร์กว่าจะประพฤติตนอย่างมีความรับผิดชอบและปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว