จดหมายที่ไม่เคยได้ส่งไป...

[ เรื่องราวต่อไปนี้เขียนขึ้นจากเรื่องจริง ]

ฤดูฝน ปี พ.ศ. 2548
ผมยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์หน้าโรงเรียนของเธอ ด้วยความหวังที่จะได้บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย
เราพบกันได้ยังไงนะ ผมคิดทบทวนเรื่องนั้นพร้อมกับความทรงจำที่ยังคงชัดเจน
เด็กผู้หญิงมัธยมปลายคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงหน้าของผม พร้อมกับรอยยิ้มที่ผมไม่มีวันลืม
ชีวิตของผมในตอนนั้น เป็นชีวิตวัยรุ่นที่ค่อนข้างยุ่งอยู่กับเรื่องของกิจกรรมนอกเวลาเรียน
ทั้งในฐานะคณะกรรมการนักเรียน และเยาวชนที่สนใจงานภาคสังคมมาตั้งแต่ขึ้น ม.ปลาย

จะว่าไปแล้ว เราทั้งคู่ต่างก็ไม่ค่อยมีเวลา เพราะเธอก็เป็นนักกิจกรรมเหมือนกัน
แต่ความไม่ค่อยชอบอยู่แค่ในโรงเรียนนี่แหละ ที่ทำให้เราได้พบกัน
ตลอดเวลาที่ได้คุย ได้ทำความรู้จัก ผมยิ่งพบว่าเรามีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง
ผมชอบอ่านหนังสือ เธอชอบอ่านหนังสือ ผมชอบฟังเพลง เธอก็ชอบฟังเพลง
ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกันทำให้ความสัมพันธ์ของเราดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

ผมเลยตัดสินใจขอเธอเป็นแฟน ด้วยหนังสือที่เธอชอบ
และแผ่น CD รวมเพลง ที่ผมนั่งจัดเพลย์ลิสต์ไว้ให้เฉพาะเธอคนเดียว
แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งของเราก็คือระยะทาง ถึงแม้จะอยู่ในจังหวัดเดียวกัน
การเดินทางไปหากันหลังเลิกเรียน ก็ยังไม่สะดวกเหมือนในปัจจุบันนี้ ที่มีรถไฟฟ้าแล้ว

ดังนั้น ความรักที่มีระยะทางของเรา
ผมเลยเลือกจะเป็นฝ่ายไปหาเธอเองเกือบทุกวันหลังเลิกเรียน ถ้าผมไม่ติดธุระอะไร
มันเป็นการนั่งรถไปหลายต่อ ที่กินเวลานาน แต่ก็เต็มไปด้วยความสุขในตอนนั้น
ด้วยความที่เป็นเด็กจากโรงเรียนอื่น ก่อนจะเข้าไปในโรงเรียนของเธอได้
ผมต้องโทรบอกเธอก่อนทุกครั้ง ว่ามาถึงแล้ว ให้เธอออกมารับที่หน้าประตู

"มาทุกวันเลย เหนื่อยมั้ยเนี่ย?" เธอมักถามผมด้วยประโยคนั้น
"ไม่เหนื่อยเลย จะกลับบ้านเลย หรือทำอะไรต่อ" ผมส่งยิ้มถามเธอกลับไป
ที่ต้องถามแบบนั้น เพราะบางครั้งเธอก็ต้องซ้อมกีฬา ทำการบ้าน หรือทำกิจกรรมของชมรม
ผมก็จะนั่งรอ อ่านหนังสือที่พกติดตัว หรือฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 ที่พกติดตัวฆ่าเวลา
เรานั่งรถกลับบ้านพร้อมกัน โดยผมนั่งรถไปส่งเธอที่หน้าหมู่บ้านก่อน

ต้องยอมรับว่า ช่วงเวลาที่อยู่บนรถโดยสารประจำทาง เป้นช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆ
บางครั้งถ้าที่นั่งว่างพอ เราก็จะได้นั่งคุยกัน ฟังเพลงเดียวกัน
หรือถ้าหากที่ว่างมีแค่ที่เดียว ผมจะให้เธอเป็นคนนั่ง 
หากวันไหนเธอเหนื่อยมากกันการฝึกซ้อม เธอมักจะหลับบนรถ
แล้วเอนหัวมาพิงที่เอวของผม ที่ยืนโหนราวอยู่ข้างๆเธอเสมอ

"ถึงบ้านแล้วนะ" ผมปลุกเธอเมื่อรถโดยสารเดินทางมาถึงที่หมาย
มีวันหนึ่ง ที่เราลงมาจากรถแล้วเธอไม่ยอมเดินต่อเพื่อเข้าไปในหมู่บ้าน
ผมอดสงสัยไม่ได้ เลยถามเธอว่าเป็นอะไรเหรอ?
เธอหันมายิ้มให้ แล้วบอกว่า "ยังไม่อยากไปเลย ขอยืนตรงนี้แปปนึง"
เรายืนกันอยู่ตรงนั้นด้วยกันสักพัก ในขณะที่ท้องฟ้ากำลังจะมืดลง
เหมือนเธอจะรอคอยช่วงเวลานั้น แล้วหันมาถามว่า

"เราจูบกันได้ไหม?" 

วินาทีนั้น หัวใจของผมก็เต้นแรงจนไม่อาจจะฝืนทำสีหน้าให้เป็นปกติได้
ผมหันไปมองหน้าเธออีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ ดวงตาคู่นั้นมองมายังผมโดยไม่หลบไปไหน

"ว่าไงนะ? จูบเหรอ?" 

ผมรู้สึกตัวเลยว่าเริ่มพูดตะกุกตะกัก ไม่เป็นประโยค แต่จำได้ว่าพยักหน้าไป แล้วบอกว่า
"ได้สิ ก็เราเป็นแฟนกันนิ" 

ไม่ทันได้ตั้งตัว และเร็วมากจนผมตอบโต้ไม่ทัน ริมฝีปากเล็กๆนั้นก็ประทับรอยจูบมาอย่างรวดเร็ว
รู้ตัวอีกที เธอก็หันหลังไปแล้ว พร้อมกับเส้นผมที่ถักเปียไว้

"ไปก่อนนะ กลับบ้านดีๆล่ะ"

นั่นเป็นจูบแรกของเรา และเป็นจูบครั้งสุดท้าย เพราะเธอเรียนหนักขึ้น ผมก็มีภาระงานมากขึ้น
"เวลา" มีอิทธิพลมากกว่าระยะทาง และมันเป็นสิ่งที่ผมเอาชนะไม้ได้
เราเลยทำได้แค่โทรหากัน เท่าที่เวลาจะมี แต่ก็น้อยจำนวนลงทุกวัน

------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผ่านไป 2 เดือน ที่ค่ายกิจกรรม ผมใช้เวลาพักกดเบอร์โทรศัพท์ของเธอ
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาค่อนข้างเคร่งเครียด ผมรู้ว่าเธอเรียนหนัก
แต่ผมเริ่มรู้สึกว่า เวลาของเรากำลังจะหมดลง คำถามหนึ่งในใจเลยผุดขึ้น
และเอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้

"เรายังเป็นแฟนกันอยู่ไหม?"

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบมาว่า

"เราเรียนหนักมากเลย เราต้องเลือกจริงๆ ขอโทษนะ" สิ้นสุดคำพูดนั้น ปลายสายก็ตัดไป
น้ำตาไหล... สะอื้น... ผมร้องไห้อยู่ที่ตู้โทรศัพท์เพียงลำพัง พลันคิดทบทวนว่าทำอะไรผิดไป
หรือจริงๆแล้ว ผมไม่ควรถามคำถามนั้นเลย ผมน่าจะคอยให้กำลังใจเธอเหมือนที่เคยทำ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

เสียงกริ่งที่ผมกด ทำให้รถหยุดที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนของเธอ
ฝนตกหนักมากในวันนั้น แต่เด็กผู้ชายคนหนึ่งก็ยังยืนยันที่จะไปหาเธออีกครั้ง
ผมยืนหลบฝนอยู่ในตู้โทรศัพท์ ในมือมีเหรียญ และของขวัญที่ซื้อมาให้เธอ
ผมเสี่ยงโทรหาเธออีกครั้ง เพื่อให้เธอออกมารับ ผมบอกเธอว่า อยู่หน้าประตูโรงเรียนแล้ว
ปลายสายวางไป พน้อมกับเวลาที่เดินไปข้างหน้าโดยไม่หยุดพัก

การออกมารับที่หน้าประตูครั้งสุดท้ายเริ่มขึ้น ผมส่งของขวัญให้เธอ
และพยายามชวนคุย เพื่อปรับความเข้าใจกัน แต่มันคงสายเกินไป
เธอบอกว่า ไม่ต้องซื้อของขวัญให้ก็ได้ วินาทีนั้น ผมรู้สึกว่าทุกอย่างจบแล้วจริงๆ
ผมเลยวางของขวัญไว้ที่โต๊ะ แล้วบอกว่า เราซื้อมาให้ ถ้าไม่เอาจะวางทิ้งไว้ตรงนี้ก็ได้
ผมไม่ได้หันกลับไปมอง ว่าเธอทิ้งมันไว้ตรงนั้น หรือพามันกลับไปด้วย
ไม่มีคำว่า เราเลิกกันเถอะ ไม่มีคำว่า ไม่ต้องมาหาอีกแล้วนะ
ไม่มีฉากจบความสัมพันธ์ มีแต่ความเงียบ และการจากลา

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ผมเริ่มเขียนจดหมาย เป็นจดหมายขอโทษ จดหมายบอกลา
จดหมายที่บรรยายความรู้สึกเอาไว้ แต่ไม่เคยได้ส่งไป
เพราะผมรู้สึกว่า ผมต้องรับผิดชอบความรู้สึกตัวเอง
ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่ผมไม่ยอมจบ ไปทำลายเป้าหมายของเธอ
ก็เพราะเราน่ะ ต่างก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปใช่ไหมล่ะ
งั้นผมขอเก็บช่วงเวลาที่จะจดจำความแสนดีของเธอไว้ละกัน

ผมว่าบางครั้งความรัก ก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องมีตอนจบหรอก
ขอแค่นึกถึงแล้วได้สัมผัสถึงความสุข ความทุกข์ ความดีใจ
ในช่วงเวลาเหล่านั้นของเราก็พอแล้ว

เราแค่อยากจดจำมันไว้ แค่นั้นเอง...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่