เมื่อฉันกลับมาเป็นครูอาสาที่บ้านเกิดตัวเอง ตอนที่ 1

กระทู้สนทนา
เมื่อฉันกลับมาเป็นครูอาสาที่บ้านเกิดตัวเอง ตอนที่ 1

ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ของตัวเองในห้องไกลบ้านนะคะ ในฐานะที่เคยเป็นคนไกลบ้านค่ะ

ขอเล่าประวัติตัวเองคร่าวๆก่อนแล้วกันนะคะ ทุกคนจะได้ทราบที่มาที่ไป ว่าไงถึงได้กลายมาเป็นครูอาสาได้
ดิฉันเป็นคน ตจว. ทางภาคอีสาน จบปริญญาตรี วิชาเอกภาษาอังกฤษ(เรียนครู 4 ปี) และก็สอบบรรจุได้หลังจากเรียนจบทันที สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนมัธยมอยู่ 7 ปี และก็จับพลัดจับผลูได้แต่งงานกับชาวอเมริกัน เลยกลายมาเป็นเมียฝรั่ง(ฉายาใหม่ที่คนชอบเรียกกัน)และต้องลาออกจากราชการ เพราะต้องหนีตาม เอ้ย...ย้ายตามสามีชาวอเมริกันไปอยู่ที่เมืองเล็กๆในรัฐเท็กซัส อาศัยอยู่ที่นั่น 5 ปี มีความสุขดีแต่เหงาและคิดถึงบ้านมากถึงมากที่สุด เมืองอะไรก็ไม่รู้ เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่เงียบสงัด ไร้ชีวิตชีวายังกะเมืองลับแล 
พอดีเมื่อ 7 ปีที่แล้ว สามีได้เกษียณอายุราชการ เลยขอร้องให้สามีย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทยด้วยกัน โชคดีที่สามียอมทำตาม 

ดิฉันมีลูก 2 คน ที่เกิดที่อเมริกา พอมาถึงเมืองไทยเลยต้องยื่นเรื่องทำใบเกิดให้จากประเทศไทย อุปสรรคเยอะมาก ใช้เวลาอยู่เกือบ 4 ปี ถึงได้ใบเกิดไทยมา ระหว่างนั้นดิฉันก็ให้ลูกคนโตเข้าเรียนระดับอนุบาลที่โรงเรียนแถวบ้าน พอเข้าปีที่ 3 ทางโรงเรียนบอกว่า ลูกดิฉันไม่มีใบเกิด เค้าไม่อยากรับเพราะมันเบิกงบไม่ได้ ก็เสียใจนะคะ แต่ไม่ได้โทษทางโรงเรียนเพราะมันเป็นความผิดของเราเอง ที่ตอนนั้นไม่สามารถทำใบเกิดให้กับลูกได้
เลยให้ลูกออกจากโรงเรียน แล้วเปลี่ยนการสอนเป็นแบบโฮมสคูลเอา จนเกือบหนึ่งปีผ่านไป ก็ได้ใบเกิดของลูกๆมาพอดี แต่มันติดปัญหาที่มันเป็นเดือนมิถุนายนแล้ว ลูกไม่สามารถสมัครเข้าเรียนตามปกติได้แล้ว เลยขอเอาลูกไปฝากให้เข้าเรียนกับโรงเรียนแถวบ้านอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เล็กมาก มีนักเรียนแค่ 50 กว่าคน และมีคุณครูอยู่ 5 คน
และก็อาคารเรียนเก่าๆผุๆ อยู่ 2 หลัง ซึ่งมันเก่ามาก นักเรียนจะวิ่งบนอาคารไม่ได้ เดี๋ยวมันจะพังเอา 
ซึ่งตอนนั้นไม่ได้คาดหวังว่าจะให้ลูกๆเข้าเรียนในระบบ แต่แค่อยากให้ลูกๆมีเพื่อนแค่นั้นเอง 
นี่เองค่ะ เลยเป็นที่มาของเรื่องที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ค่ะ (นี่ยังไม่เล่าอีกเหรอ ร่ายมาซะยาวขนาดเนี๊ยะ 555)

เมื่อ 4 ปีก่อน ทางรัฐบาลมีนโยบายที่จะปิดโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนไม่ถึงเกณฑ์ และโรงเรียนที่ลูกๆของดิฉันเรียนอยู่ ก็เข้าข่ายที่จะโดนปิดด้วยเหมือนกัน เพราะมีนักเรียนแค่ 50 กว่าคนเอง ทุกวันที่ดิฉันและสามีไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียน ได้รู้ได้เห็นว่าลูกๆมีความสุขแค่ไหนที่ได้เรียนที่นี่ ดิฉันเลยคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อช่วยไม่ให้โรงเรียนนี้โดนปิดไป ดิฉันก็เลยคุยกับสามีว่าเราต้องช่วยทางโรงเรียนนะ เพราะถ้าปล่อยไปแบบนี้ คงไม่ไหว และก็โชคดีอีกเหมือนกันที่สามีเข้าใจและยอมให้ดิฉันมาเป็นครูอาสาสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆที่นี่ แล้วสามีก็ยังช่วยด้วยการขอทุนสนับสนุนให้กับทางโรงเรียนจากเว็บๆหนึ่ง แต่โชคไม่เข้าข้าง ทางเว็บลบแอ๊คเค้าน์ของสามีเพราะเราไม่ได้อาศัยอยู่ในอเมริกา แต่เราก็ไม่ท้อนะคะ ยังคงหาทางช่วยโรงเรียนต่อไป

เมื่อดิฉันเข้ามาสอน จำได้ว่าตอนนั้น มันเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งใครๆก็รู้ดีว่ามันเป็นช่วงที่ทุกโรงเรียนในบ้านเรา ให้ความสำคัญกับการติวโอเน็ตให้กับนักเรียนแบบเอาเป็นเอาตายมาก ซึ่งที่โรงเรียนนี้ก็เหมือนกัน ดิฉันเลยเสนอช่วยติวโอเน็ตให้กับนักเรียนชั้น ป. 6 ซึ่งตอนนั้นมีนักเรียนชั้น ป. 6 แค่ 9 คน ดิฉันขอสอน ป. 6 สัปดาห์ละ 2 คาบ และสอน ป.1-5 อีก 2 คาบ สอนไปบ้าง ติวไปบ้างและเล่นไปบ้าง เน้นเรียนแบบสนุก ไม่เครียด ถ้าวันไหนอากาศดีไม่ร้อน ก็จะพานักเรียนทั้ง 9 คนไปปลูกดอกไม้ ปลูกผักในบริเวณโรงเรียน และก็ให้สามีชาวอเมริกันเอาน้ำและน้ำแข็งมาส่งที่โรงเรียน แล้วดิฉันก็ฉวยโอกาสให้นักเรียนได้พูดคุยกับสามีไปด้วย ทำให้เด็กๆชอบและกระตือรือร้นที่จะเรียนมากขึ้น จำได้ว่าพอถึงเวลาสอน จะมีเด็กๆมานั่งรอ พอสอนเสร็จก็มีเด็กๆคอยเดินตาม มันเป็นความรู้สึกดีที่มันอธิบายไม่ได้เลยค่ะ
ผลของการเรียนไปด้วย ติวไปด้วย และเล่นไปด้วยในเทอมนั้น ผลการสอบโอเน็ตวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ป.6 ขึ้นมาเป็นลำดับที่ 1 ของกลุ่ม จากลำดับรั้งท้ายในกลุ่มในปีที่ผ่านมา ทีนี้ล่ะ ทางโรงเรียนก็เริ่มมีคนให้ความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ปกครองนักเรียนในละแวกนั้น ซึ่งมันคือเป้าหมายของดิฉันกับทางโรงเรียนเลย เพราะที่ทำทุกอย่างตอนนั้นก็เพราะอยากให้มีนักเรียนมาเรียนเพิ่มขึ้นและโรงเรียนจะได้ไม่โดนปิดนั่นเอง

              พอรบกับโอเน็ตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็เริ่มจับทางได้ว่า เวลามีสามีของดิฉันมาร่วมกิจกรรมด้วย เด็กๆจะชอบเป็นพิเศษและในขณะเดียวกัน ดิฉันก็เริ่มเขียนเรื่องราวดีๆของทางโรงเรียนผ่านสื่อโซเชียลเพื่อให้ผู้ปกครองที่ไปทำงานต่างถิ่นได้รับรู้เกี่ยวกับโรงเรียนไปด้วย (ซึ่งเรื่องที่เขียนนี่ไม่ได้เม้คนะคะ เขียนมาจากความเป็นจริง) มันทำให้โรงเรียนได้รับความสนใจจากทางผู้ปกครองในชุมชนและผู้ปกครองนักเรียนที่อยู่ห่างไกลมากขึ้น ดิฉันจึงขออนุญาต ท่านผู้บริหารโรงเรียน ผันตัวเองมาเป็นพีอาร์(ไม่ขอเป็นแอดมินเพราะอยากเป็นพีอาร์มากกว่า เพราะดิฉันคิดว่าคนที่จะเป็นพีอาร์ได้ต้องสวย 555)ให้กับทางโรงเรียนไปด้วย ควบคู่กับการสอนไปด้วย
และก่อนจะปิดภาคเรียนในเดือนเมษายน ดิฉันก็ขออนุญาตทางโรงเรียนจัดทำผ้าป่าเพื่อการศึกษาเพื่อนำเงินมาจ้างครูเพิ่มเติม ซึ่งผลตอบรับดีมาก ได้เงินทุนมาก้อนหนึ่ง เพื่อมาต่อลมหายใจให้กับทางโรงเรียน และดิฉันก็ขอร้องให้สามีชาวอเมริกันมาช่วยเป็นครูอาสาด้วยกัน ซึ่งเค้าก็ยินดีช่วย ซึ่งตอนนั้นเป็นข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้ผู้ปกครองในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก ผลตอบรับคือ ในเทอมถัดมา มีนักเรียนย้ายมาเรียนเพิ่มขึ้น จนจำนวนนักเรียนทะลุ 80 คน 
เทอมหนึ่งผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่ยังไม่จบนะคะ ยังมีเรื่องราวดีๆเกิดขึ้นอีกมากมาย ในเทอมที่ 2 แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ

ขอบคุณมากๆนะคะ ที่อดทนอ่านจนจบตอน

ปล. อยากลงรูปให้ดูบางส่วน แต่ขอเวลาไปเรียนวิธีลดขนาดรูปก่อนนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่