วิธีจัดการกับความเครียด ในวันที่ลูกต้องเรียนออนไลน์
ผลกระทบจากโควิดในช่วงปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนไป ผู้ใหญ่เปลี่ยนมา work from home ในขณะที่เด็กๆ ก็ไม่ได้ไปเจอเพื่อนหรือคุณครูที่โรงเรียน ต้องเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์แทน ส่งผลให้แทบทุกบ้านมีความเครียดเกิดขึ้น 😔 ทั้งตัวเด็กเอง รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง
บางบ้านถึงกับตัดสินใจให้ลูกหยุดเรียนในช่วงนี้ก่อน โดยเฉพาะเด็กในวัยอนุบาล ที่ความรู้ทางวิชาการอาจจะยังไม่จำเป็นมากนัก เพราะสิ่งสำคัญที่เด็กวัยนี้ควรจะเรียนรู้ก็คือ ทักษะการเข้าสังคม รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นอกจากคนในครอบครัว
แต่ก็ไม่ใช่ทุกบ้านที่จะเลือกแบบนี้ได้ ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงต้องให้ลูกเรียนออนไลน์กันไปก่อน 💻 ดังนั้น เพื่อช่วยลดความตึงเครียดภายในบ้าน พี่หมอจึงไปหาวิธีจัดการกับความเครียดในสถานการณ์แบบนี้มาฝาก หวังใจว่า จะมีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ เพื่อช่วยลดความเครียดของลูกในการเรียนออนไลน์
✅ จัดตารางของลูกให้ตรงตามแผนการเรียนการสอนของโรงเรียน
✅ จัดตารางการใช้ชีวิตประจำวันในวันที่ต้องเรียนหนังสือ เช่น เวลาตื่น เข้านอน กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน อ่านหนังสือ เพื่อให้เด็กรู้หน้าที่ของตัวเองในแต่ละวัน และแบ่งเวลาได้อย่างเหมาะสม
✅ จัดโซนที่นั่งหรือพื้นที่ในการเรียนให้กับลูก ให้เค้ารู้สึกว่า มีสมาธิและอยากเรียน พี่หมอแอบแนะนำเคล็ดลับว่า คุณพ่อคุณแม่อาจจะเตรียมน้ำหรือขนมที่ลูกชอบไว้บนโต๊ะเรียนก็ได้นะครับ เด็กๆ จะได้ไม่รู้สึกเบื่อจนเกินไป
✅ ตรวจดูความพร้อมของอุปกรณ์ต่างๆ และสัญญาณอินเตอร์เน็ต
✅ ดูแลเวลาที่อยู่หน้าจอของลูก (Screen time) ที่นอกเหนือจากการเรียนออนไลน์ให้เหมาะสม คือไม่ควรเกิน 2 ชม.ต่อวัน โดยเฉพาะตอนกลางคืน พี่หมอไม่แนะนำให้เล่นตอนก่อนนอนเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้เด็กไม่อยากนอน ที่สำคัญ แสงจากหน้าจอจะทำให้นอนไม่หลับมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กได้
✅ จัดหากิจกรรมอื่นๆ นอกช่วงเวลาเรียนที่เหมาะสมกับวัยให้ลูกทำ เช่น ทำงานศิลปะ เล่นกีฬา เล่นดนตรี ทำอาหาร ทำสวน รดน้ำต้นไม้ ทำงานบ้าน เป็นต้น
✅ คุณพ่อคุณแม่ควรให้คำชม เวลาที่ลูกๆ มีวินัยและสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง หรืออาจจะมีรางวัลเล็กๆน้อยๆ ตอบแทนก็ได้นะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ
อยู่บ้านนานๆ แบบนี้ ทำอย่างไรไม่ให้ลูกเครียด
ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อาจส่งผลให้เด็กๆ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เพราะไม่สามารถออกไปวิ่งเล่น หรือไปเจอเพื่อนๆ ได้เหมือนเดิม สิ่งที่คุณพ่อแม่ควรทำก็คือ
🧒🏻 พูดคุยทำความเข้าใจและอธิบายให้ลูกฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
🧒🏻 ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เราต้องมีความหวังและเชื่อว่า ไม่ช้า ทุกอย่างจะผ่านไป และเราก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิม
🧒🏻 พยายามให้ลูกใช้ชีวิตให้ใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติมากที่สุด ให้เด็กได้เล่นหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องการเท่าที่จะสามารถทำได้
🧒🏻 ให้เด็กได้พูดคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่บ้าง เช่น เพื่อนๆ ที่โรงเรียน หรือญาติๆ
🧒🏻 ลดการเสพข่าวหรือแสดงความเห็นเชิงลบต่อหน้าลูก
🧒🏻 หากิจกรรมสนุกๆ ที่ชอบทำร่วมกัน เช่น ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา เล่นเกมส์เพื่อฝึกทักษะต่างๆ เป็นต้น เพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ
การดูแลสุขภาพในช่วงที่ต้องอยู่บ้าน 💪
· ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกต้องตามหลักโภชนาการ
· ลดการสั่งอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด รวมถึงการรับประทานอาหารแช่แข็งและอาหารกึ่งสำเร็จรูป เพราะเด็กๆ จะได้สารอาหารไม่ครบถ้วน
· ลองเปลี่ยนมาทำอาหารกินเองดูบ้าง เพราะนอกจากจะได้ฝึกทักษะใหม่ๆ แล้ว ยังได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันด้วย
· จัดตารางการออกกำลังกายร่วมกัน โดยอาจเป็นกีฬาง่ายๆ ที่สามารถทำได้ในบ้าน เช่น ตีปิงปอง ตีแบด หรือเต้นแอโรบิก เล่นโยคะ เป็นต้น
สิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้ก็คือ การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่กดดันตัวเองและลูกมากจนเกินไป เพราะตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ดังนั้น เด็กๆ ก็อาจจะทำการบ้านหรือทำแบบฝึกหัดไม่ทัน หรือมีผลการเรียนตกลงไปบ้าง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรดุด่าว่ากล่าวหรือลงโทษ แต่ควรหาวิธีช่วยกันแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น ลองปรึกษาปัญหากับคุณครูหรือคุณพ่อคุณแม่ บ้านอื่นดูก็ได้นะครับ จะได้ช่วยกันหาทางออก
และถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกมีความเครียดเกิดขึ้น ก็ให้พูดคุยกันเยอะๆ เพื่อให้เด็กได้ระบายความรู้สึกในใจออกมา หรือถ้ารู้สึกว่าหนักเกินไปก็สามารถพาลูกมาปรึกษาจิตแพทย์เด็กได้
เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ เด็กๆ รวมถึงคุณครูทุกท่านด้วยนะครับ ✌️💪❤️
วิธีจัดการกับความเครียด ในวันที่ลูกต้องเรียนออนไลน์
ผลกระทบจากโควิดในช่วงปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนไป ผู้ใหญ่เปลี่ยนมา work from home ในขณะที่เด็กๆ ก็ไม่ได้ไปเจอเพื่อนหรือคุณครูที่โรงเรียน ต้องเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์แทน ส่งผลให้แทบทุกบ้านมีความเครียดเกิดขึ้น 😔 ทั้งตัวเด็กเอง รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง
บางบ้านถึงกับตัดสินใจให้ลูกหยุดเรียนในช่วงนี้ก่อน โดยเฉพาะเด็กในวัยอนุบาล ที่ความรู้ทางวิชาการอาจจะยังไม่จำเป็นมากนัก เพราะสิ่งสำคัญที่เด็กวัยนี้ควรจะเรียนรู้ก็คือ ทักษะการเข้าสังคม รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นอกจากคนในครอบครัว
แต่ก็ไม่ใช่ทุกบ้านที่จะเลือกแบบนี้ได้ ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงต้องให้ลูกเรียนออนไลน์กันไปก่อน 💻 ดังนั้น เพื่อช่วยลดความตึงเครียดภายในบ้าน พี่หมอจึงไปหาวิธีจัดการกับความเครียดในสถานการณ์แบบนี้มาฝาก หวังใจว่า จะมีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
✅ จัดตารางของลูกให้ตรงตามแผนการเรียนการสอนของโรงเรียน
✅ จัดตารางการใช้ชีวิตประจำวันในวันที่ต้องเรียนหนังสือ เช่น เวลาตื่น เข้านอน กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน อ่านหนังสือ เพื่อให้เด็กรู้หน้าที่ของตัวเองในแต่ละวัน และแบ่งเวลาได้อย่างเหมาะสม
✅ จัดโซนที่นั่งหรือพื้นที่ในการเรียนให้กับลูก ให้เค้ารู้สึกว่า มีสมาธิและอยากเรียน พี่หมอแอบแนะนำเคล็ดลับว่า คุณพ่อคุณแม่อาจจะเตรียมน้ำหรือขนมที่ลูกชอบไว้บนโต๊ะเรียนก็ได้นะครับ เด็กๆ จะได้ไม่รู้สึกเบื่อจนเกินไป
✅ ตรวจดูความพร้อมของอุปกรณ์ต่างๆ และสัญญาณอินเตอร์เน็ต
✅ ดูแลเวลาที่อยู่หน้าจอของลูก (Screen time) ที่นอกเหนือจากการเรียนออนไลน์ให้เหมาะสม คือไม่ควรเกิน 2 ชม.ต่อวัน โดยเฉพาะตอนกลางคืน พี่หมอไม่แนะนำให้เล่นตอนก่อนนอนเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้เด็กไม่อยากนอน ที่สำคัญ แสงจากหน้าจอจะทำให้นอนไม่หลับมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กได้
✅ จัดหากิจกรรมอื่นๆ นอกช่วงเวลาเรียนที่เหมาะสมกับวัยให้ลูกทำ เช่น ทำงานศิลปะ เล่นกีฬา เล่นดนตรี ทำอาหาร ทำสวน รดน้ำต้นไม้ ทำงานบ้าน เป็นต้น
✅ คุณพ่อคุณแม่ควรให้คำชม เวลาที่ลูกๆ มีวินัยและสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง หรืออาจจะมีรางวัลเล็กๆน้อยๆ ตอบแทนก็ได้นะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ
ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อาจส่งผลให้เด็กๆ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เพราะไม่สามารถออกไปวิ่งเล่น หรือไปเจอเพื่อนๆ ได้เหมือนเดิม สิ่งที่คุณพ่อแม่ควรทำก็คือ
🧒🏻 พูดคุยทำความเข้าใจและอธิบายให้ลูกฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
🧒🏻 ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เราต้องมีความหวังและเชื่อว่า ไม่ช้า ทุกอย่างจะผ่านไป และเราก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิม
🧒🏻 พยายามให้ลูกใช้ชีวิตให้ใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติมากที่สุด ให้เด็กได้เล่นหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องการเท่าที่จะสามารถทำได้
🧒🏻 ให้เด็กได้พูดคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่บ้าง เช่น เพื่อนๆ ที่โรงเรียน หรือญาติๆ
🧒🏻 ลดการเสพข่าวหรือแสดงความเห็นเชิงลบต่อหน้าลูก
🧒🏻 หากิจกรรมสนุกๆ ที่ชอบทำร่วมกัน เช่น ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา เล่นเกมส์เพื่อฝึกทักษะต่างๆ เป็นต้น เพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ
การดูแลสุขภาพในช่วงที่ต้องอยู่บ้าน 💪
· ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกต้องตามหลักโภชนาการ
· ลดการสั่งอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด รวมถึงการรับประทานอาหารแช่แข็งและอาหารกึ่งสำเร็จรูป เพราะเด็กๆ จะได้สารอาหารไม่ครบถ้วน
· ลองเปลี่ยนมาทำอาหารกินเองดูบ้าง เพราะนอกจากจะได้ฝึกทักษะใหม่ๆ แล้ว ยังได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันด้วย
· จัดตารางการออกกำลังกายร่วมกัน โดยอาจเป็นกีฬาง่ายๆ ที่สามารถทำได้ในบ้าน เช่น ตีปิงปอง ตีแบด หรือเต้นแอโรบิก เล่นโยคะ เป็นต้น
สิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้ก็คือ การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่กดดันตัวเองและลูกมากจนเกินไป เพราะตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ดังนั้น เด็กๆ ก็อาจจะทำการบ้านหรือทำแบบฝึกหัดไม่ทัน หรือมีผลการเรียนตกลงไปบ้าง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรดุด่าว่ากล่าวหรือลงโทษ แต่ควรหาวิธีช่วยกันแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น ลองปรึกษาปัญหากับคุณครูหรือคุณพ่อคุณแม่ บ้านอื่นดูก็ได้นะครับ จะได้ช่วยกันหาทางออก
และถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกมีความเครียดเกิดขึ้น ก็ให้พูดคุยกันเยอะๆ เพื่อให้เด็กได้ระบายความรู้สึกในใจออกมา หรือถ้ารู้สึกว่าหนักเกินไปก็สามารถพาลูกมาปรึกษาจิตแพทย์เด็กได้
เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ เด็กๆ รวมถึงคุณครูทุกท่านด้วยนะครับ ✌️💪❤️