💖💖FSG ในมุมมองของพี่ Jackie 💖💖

 สำหรับผม จขกท. #SAVE FSG 
FSG
หลังตลาดนักเตะปิดตัวลงเริ่มมีเสียงวิจารณ์ถึง FSG นายทุนหงส์แดงกันบ้างแล้ว
เสียงวิจารณ์ดังประมาณนี้ครับ
"ทำไมไม่ทุ่มเงินซื้อนักเตะเหมือน แมนฯซิตี้, แมนฯยูฯ, เชลซี"
"ไม่ลงทุนแบบนี้น่าจะหลุดทอปโฟร์"
"เกมกับเชลซีก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเกมรุกไม่หลากหลาย"
อีกหลายอย่างที่พุ่งเป้าในเชิงลบ ไม่ปลื้ม FSG ในการบริหารลิเวอร์พูล
อ่านแล้วก็สนุกดีครับสำหรับนานาทัศนะ
มันก็มีทั้งความเห็นแต่ไม่มีความรู้ มันก็มีทั้งความเห็นที่มีความรู้ คละเคล้ากันไป
ส่วนตัวผมไม่ได้แอบลุ้นอะไรเรื่องซื้อหรือไม่ซื้อ อย่างที่เขียนปิดท้ายในเพจjackie เมื่อวานนี้ ผมเฉยๆกับตลาดนักเตะ ได้หรือไม่ได้ ก็ยังเชียร์เหมือนเดิม ไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น เพราะบริบทของแต่ละทีมมันไม่เหมือนกัน อย่าไปเปรียบเทียบกับหญ้าข้างบ้านว่าสวยกว่าเรา
อีกทั้งแนวทางการบริหารของ FSG กับลิเวอร์พูลก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันกับสโมสรอื่นๆ หรืออาจจะบอกว่า วัฒนธรรมเชิงบริหารองค์กรมันไม่เหมือนกัน แมนฯซิตี้ กับเชลซี เจ้าของมีบทบาทและอิทธิพลรวมทั้งมี "เงิน" มหาศาล ต่างเน้นความสำเร็จและเชื่อมั่นในคุณภาพนักเตะและ "โค้ช" หากทุ่มเงินดึงนักเตะและโค้ชยอดฝีมือมาทำงาน โอกาสแชมป์มีสูง ซึ่งสถิติก็บอกเช่นนั้น
เชลซี มาก่อนแมนฯซิตี ในเรื่องนี เพราะ โรมัน อบราโมวิช มาบริหารทีมตั้งแต่ปี 2003 เขาก็บริหารองค์กรในแบบที่เขาต้องการ โดยเฉพาะเขาคือ "ศูนย์กลาง" ของอำนาจ มีคนไม่กี่คนที่เป็นหัวเรือใหญ่ในองค์กร นอกจาก เสี่ยหมี แล้วก็มือขวาของเขา อูจีน เทเนบอม ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ทำงานกับเสี่ยหมี ที่ Sibneft หรือปัจจุบัน Gazprom Nebt บริษัทผู้ผลิตน้ำมันและกาซธรรมชาติ รายใหญ่ของรัสเซีย มานานเกิน 30 ปี รวมทั้งมือซ้าย มาเรียนา กรานอฟสกายา ผู้อำนวยการคนสวยที่ถูกซุบซิบนินทาว่า "สนิท" กับเสี่ยหมีเป็นพิเศษตั้งแต่ฝึกงานที่รัสเซียโน่นแล้ว
สองคนนี้คือคนใกล้ชิดและมือทำงานให้เสี่ยหมี โดยเขาไม่ต้องออกหน้าออกตา คำสั่งก็ต้องผ่านมาทางเสี่ยหรือ ทุกเรื่องในทีมบอลก็จะถูกรายงานตรงต่อเสี่ยหมี นั่นหมายความว่า ทั้ง เทเนบอม และ มาเรียนา ต้องมีมือทำงาน มีทีมงานมีข้อมูล พร้อมก่อนรายงานให้ "นาย" ทราบ มันเป็นไปแบบนั้น
ส่วนแมนฯซิตี้ ของราชวงค์อาบูดาบี ก็ยิ่งชัดเจน ชีค มันซูร์ ให้ตัวแทนอย่าง คาลดูน อัล มูบารัค เป็นประธานสโมสร ซึ่งเขาก็จ้างมืออาชีพมาทำงานให้โดย "เงิน" มีให้ใช้เหลือเฟือ ซึ่งฝั่งแมนฯซิตี ยกทีมบริหารจากบาร์เซโลนาทั้งซีอีโอ เฟร์ราน ซอเรียโน และ ผู้อำนวยการสโมสร ไอตอร์ เบกิริสตาน เพื่อนร่วมทีมบาร์ซ่าของ เป๊ป สมัยยิ่งใหญ่ยุค 90 ยุคดรีมทีมของบาร์ซ่าที่เลิกเล่นมาเป็นผู้บริหารทีม เขาเข้ามาทำงานก่อนที่ เป๊ป จะตามมาภายหลัง
แมนฯยูไนเต็ดของ ตระกูลเกลเซอร์ ก็ทุ่มมาเรื่อยๆครับ แต่พวกเขาเข้ามาตั้งแต่ เซอร์ อเลกส์ เฟอร์กูสัน ยังไม่วางมือ จุดนั้นเราก็รู้อยู่แล้วว่า ท่านเซอร์​คือโคตรโค้ช ซื้อหรือไม่ซื้อก็ทำแมนฯยูไนเต็ด แชมป์ได้ อย่างยิ่งใหญ่ แต่พอหมดยุคท่านเซอร์ การซื้อยังมีอยู่นะครับ ก็ทุ่มแบบราคาแพงๆอย่างที่รู้กัน ทั้ง ลูกากู, ปอล ป๊อกบา จ้าง โชเซ มูรินโญ มาทำงาน จนถึงปีล่าสุดที่ เกลเซอร์ ยอมทุ่มใหญ่เพราะกระแสต่อต้านของแฟนบอลแมนฯยูฯ หนักหน่วงยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพราะเรื่องแชมป์แต่เป็นเรื่องนอกสนามที่ เกลเซอร์ หวังกอบโกยเงินอย่างเดียว ปีนี้ก็เลยจัดให้อย่างสาแก่ใจแฟนผี กระทั่งใช้เวลา 10 ช.ม. ในการปิดดีล คริสเตียโน โรนัลโด อย่างรวดเร็วเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ต่อจาก ราฟาแอล วาราน, เจดอน ซานโช แน่นอนเป้าหมายก็ต้องแชมป์พรีเมียร์ลีก
FSG กับลิเวอร์พูลคล้ายๆกับ เกลเซอร์ นั่นแหละ เพราะสไตล์นายทุนอเมริกัน บริหารงานบนหลักการและเหตุผลของ "ผลประกอบการ" เป็นหลัก
เกลเซอร์ สบายตัวไป 16 ปีหลังจากเอาสโมสรไปเข้าตลาดหุ้น และเหมือนจับเสือมือเปล่า เพราะกู้เงินมาซื้อแมนฯยูไนเต็ด ปล่อยให้สโมสรเป็นหนี้ ส่วนเกลเซอร์ "รับเงินปันผลหุ้น" และรายรับทุกปี ซึ่งแฟนผีที่อังกฤษเขาก็ทราบกันดี จึงเกลียดกันตั้งแต่วันแรก ช่วงนี้พักรบครับเพราะ เกลเซอร์ ลงทุนซื้อนักเตะเพื่อซื้อใจ แต่เชื่อว่าแฟนผีไม่ได้หายเกลียดหรอก มันแค่ชั่วคราว
เกลเซอร์ เข้ามาซื้อแมนฯยูไนเต็ด ช่วงที่แมนฯยูฯ มีมูลค่าการตลาดสูงสุดในโลก คือแมนฯยูฯ​ไม่ได้มีปัญหาอะไรเรื่องการเงิน อันนี้ตรงกันข้ามกับ FSG ที่เข้ามาซื้อลิเวอร์พูลในช่วงที่สโมสรกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย ติดหนี้และดอกเบี้ย ธนาคารแห่งสกอตแลนด์​ RBS จนแฟนหงส์รุมประท้วง ก้อม็อบ จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องร้องเพื่อขับไล่ ทอค ฮิคส์ กับ จอร์ช จิลเลตต์ ออกไปจากทีม เพราะบริหารทีมจนเกือบล้มละลาย FSG จึงได้เข้ามาซื้อ "หนี้เสีย" อย่างลิเวอร์พูล ในราคาแค่ 300 ล้านปอนด์ คือเอาเงินมาใช้หนี้ ธนาคารแห่งสกอตแลนด์ แล้วก็ได้บริหารทีมนับจาก ต.ค. 2010 นั่นเอง
ถึงวันนี้ FSG ก็มีรูปแบบการทำธุรกิจ หรือ business model ของพวกเขาเอง ก็อย่างที่เห็นตลอด10 ปี บริหารทีมอย่างระมัดระวัง รอบคอบ เนื่องจากเข้ามาเริ่มต้นจากการรับภาระหนี้สินของสโมสร แต่ด้วยเพราะเชื่อใน "ทุนประวัติศาสตร์" หงส์แดง ที่มี "มูลค่า" และสามารถเปลี่ยนเป็นรายรับเข้าสโมสร จนกระทั่งเวลาผ่านไป10 ปีถึงช่วงก่อนโควิด สถานะภาพทางการเงินของลิเวอร์พูลเริ่มมั่นคง มีกำไร แถมได้ความสำเร็จ ได้แชมป์อย่างที่แฟนบอลต้องการคือพรีเมียร์ลีกที่รอคอย รวมทั้งถ้วยยุโรป
เรียกว่ามาทางเงินและกล่อง...
จุดนี้แฟนบอลบางส่วนก็คิดได้ว่ามี "เงิน" แล้ว ทุ่มซื้อนักเตะบ้างก็ได้ ไม่งั้นจะแข่งขันกับทีมกลุ่มลุ้นแชมป์ได้ยังไง
คำตอบนี้ก็ไม่ยากว่าทำไม บริหารแบบระมัดระวัง ไม่ฟุ่มเฟือย
แนวทางของ FSG ชัดเจนมาตั้งแต่แรก
ไม่ลงทุนกับนักเตะมาก...คือไม่ซื้อของแพงมาก ซึ่งพวกเขาก็เรียนรู้ตั้งแต่ปีแรกที่ทำงานกรณี ซื้อ หลุยส์ ซัวเรส มาก่อนตลาดปิดสามวัน แต่โชคร้าย เฟร์นานโด ตอร์เรส ดันต้องการย้ายไปเชลซี แล้วเป็นผลในวันที่31 ม.ค.แบบที่ลิเวอร์พูลแทบหานักเตะไม่ทัน มัน 24 ชั่วโมงสุดท้าย เหมือน panic buy ได้ตัว แอนดี้ แคร์โรลล์ ที่แพงมากยุคนั้น (35 ล้านปอนด์) มาเล่นกับ หลุยส์ ซัวเรส แทน นับจากนั้นการใช้เงินซื้อนักเตะก็เป็นไปตามตามหลักการของพวกเขาคือไม่ลงทุนมาก ซื้อนักเตะดาวรุ่งที่มีแววเข้ามาหรือนักเตะราคาแบบถูกๆเพื่อนำมาพัฒนา อาจขายออกไปเมื่อถึงเวลา คงมี อลีสซง เบคเกอร์ และ เวอร์จิล ฟานไดจ์ เท่านั้นที่จำเป็นต้องใช้ จึงทุ่มทุนซื้อ
เรื่องนี้ผมว่าแฟนหงส์ที่ติดตามการบริหารงานของ FSG มาโดยตลอด น่าจะเข้าใจวิถีทางหรือวัฒนธรรมการบริหารองค์กรของพวกเขาว่ามาแนวไหน เพราะฉะนั้นการซื้อนักเตะในแต่ละปีโดยเฉพาะยุค เจอร์เก้น คลอปป์ เป็นผ.จ.ก. นี่ยิ่งต้องบอกว่า "เข้าขา"กัน แนวทางของ คลอปป์ ที่เขาทำกับดอร์ทมุนด์ ก็เหมือนที่เขาคุมทีมลิเวอร์พูล เมื่อว่ากันถึงตลาดนักเตะ เพราะเขาพอใจกับการทำงานที่ไม่ต้องใช้เงินมากมาย ตามนโยบายสโมสร เขาเชื่อในทีมเวิร์คของทีมมากกว่าการซื้อนักเตะมาใส่ แล้วรวมทีมให้ได้ เหมือนเชลซี, แมนฯซิตี้ กระทั่งแมนฯยูไนเต็ด ในเวลานี้
แนวทางบริหารทีมมันคนละแบบกันครับ
จุดนี้หลายคนอาจแย้งว่า FSG ซื้อบ้างก็ได้ มาเสริมๆ ให้มีศักยภาพ ทำไมไม่ซื้อเลยปีนี้มี แค่ โกนาเต คนเดียว ....ผมคิดว่าปีนี้มันน่าจะเป็นปีที่ต้องทำสิ่งเร่งด่วนก่อนคือ ต่อสัญญาขุมกำลังเดิมออกไป ตั้งแต่ เทร้นต์ อเลกซานเดอร์ อาร์โนลด์, อลีสซิง เบคเกอร์, ฟาบินโญ, เวอร์จิล ฟานไดจ์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน จนล่าสุด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รายต่อไปน่าจะเป็น โม ซาลาห์ ในกระบวนการนี้เพดาน "ค่าจ้าง" คือสิ่งที่สโมสรต้องจ่าย และจากการที่ FSG ไล่ต่อสัญญา มันหมายความว่า คลอปป์ ให้ความมั่นใจกับผู้บริหารผ่าน ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการสโมสรว่า "ขุมกำลัง" ที่สร้างมาตลอดห้าปี จะต้องรักษาเอาไว้น่าจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าการลงทุน "ซื้อเข้ามา"
อย่าลืมว่า....ปีโควิดนั้นสโมสรขาดทุน 123 ล้านปอนด์ นั่นคือสิ่งที่ FSG ยิ่งต้องระวังการใช้จ่ายในส่วนนี้ ซึ่งหากเราไม่ได้เป็นผู้บริหารทีมหรืออยู่ตรงนั้น ลองเข้าไปอ่านกันดู LFC announces financial results for year to May 31, 2020 - Liverpool FC
เราอาจคิดกันไปว่า ทีมอื่นๆก็เขาเจอโควิดเหมือนกัน
ทีมอื่นๆที่ว่าคือ แมนฯซิตี้, เชลซี และ แมนฯยูไนเต็ด เขา "มั่งคั่ง" ทางการเงินอยู่ก่อนแล้วไงครับ โดนโควิด มันเหมือนขาดทุนกำไร แต่ลิเวอร์พูล พึ่งฟื้นตัวก่อนโควิดมาเยือนหนึ่งปีเอง นั่นก็เหตุผลหนึ่ง แต่เหตุผลหลักก็ตามที่ผมเขียน แบบแผนการทำธุรกิจของ FSG ไม่ใช่สไตล์ทุ่มแหลกตั้งแต่แรก
ตอนนี้จึงไล่ต่อสัญญาขุมกำลังเดิม ซึ่งส่วนนี้ก็อาจทำให้เพดานค่าเหนื่อยสูงขึ้นในแต่ละเป็น คอร์สที่ต้องแบก ยังเหลือพวกกินเกินสองแสนปอนด์อีก ซาลาห์ เนี่ยอาจไปถึง 250,000 ปอนด์ ค่าจ้างต่อสัปดาห์แพงสุดในประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูล
ยังไม่ติดทอปไฟว์ของแมนฯยูไนเต็ด เลยมั้ง
โรนัลโด ก็เฉียดๆ5 แสนปอนด์ เดเคอา £375,000 เจดอน ซานโช £350,000
แม้ว่ามีหลายเรื่องที่ FSG เตะหลุด เดินเกมพลาดจนทำให้แฟนหงส์แดง ประท้วงกันมาสองสามรอบ ทั้งเรื่องขึ้นค่าตั๋ว, พักงานเจ้าหน้าที่พดับล่าง ช่วงโควิด จนล่าสุดไปร่วมด้วยกับแนวคิด ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์ลีก พอรู้ว่าพลาด FSG ต้องยอมถอยทันที จุดนี้แฟนหงส์มองว่า "เลินเล่อ" และ "โยนหินถามทาง" แต่ไม่ได้คำตอบที่ต้องการก็ตั้งหลักใหม่ แต่สำหรับเรื่องซื้อขายนักเตะผมว่าแฟนหงส์ที่อังกฤษคงพอเข้าใจสถานการณ์ของทีมอยู่ละครับ คงไม่ถึงจุดที่จะออกมาประท้วงขับไล่ให้ออกจากทีม กระนั้น FSG ย่อมได้รับความกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆละครับหาก "ช่องว่าง" ที่เกิดขึ้นระหว่างทีมกับกลุ่มผู้นำมันถ่างมากขึ้น
ตอนนี้ยังไม่รู้ครับ เพราะบอลพึ่งเตะไปสามนัด ผลงานจะบอกเองว่า "ช่องว่าง" ที่ห่างนั้นห่างมากหรือไม่ห่าง
แต่ใจของแฟนๆ ก็มองไปล่วงหน้าแล้วว่า "น่าจะห่าง" จากการที่ไม่ทุ่มทุนเหมือน แมนฯซิตี้, แมนฯยูฯ และ เชลซี
ว่ากันว่าวันสุดท้ายแฟนหงส์เฝ้ารอดีล เซอร์ไพรส์, ดีล ดำดิน ต่างผิดหวังไปตามๆกัน
เพราะ "ดีล"ที่เกิดขึ้นคือการต่อสัญญากับ แนต ฟิลิปส์ ออกไป นอกจากนี้ยังมีมีมุกตลกมาอำกันสนุกสนานตามโซเชียล เมื่อสโมสรลิเวอร์พูลจัดการต่อสัญญา คุณ แครอลล์ ฟาร์เรลล์ พนักงานดูแลโรงอาหารศูนย์ฝึกซ้อมลิเวอร์พูลที่เคิร์กบี้ไป อีก 5 ปี
555555
ยังไงก็แล้วแต่ครับ FSG ยังมีความชอบธรรมในการบริหารทีมลิเวอร์พูล เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา จอห์น เฮนรี เองก็พิสูจน์ให้เห็นตรงนั้นแล้วว่าทำได้ดีพอสมควร ทั้งการเงินสโมสรและถ้วยแชมป์ ที่แฟนบอลต้องการ
การที่ปีนี้ไม่ซื้อนักเตะเสริมทัพชุดใหญ่เหมือน แมนฯซิตี้, เชลซี, แมนฯยูไนเต็ด คงไม่ใช่ความผิดร้ายแรงถึงขั้นต้องขับไล่ FSG ออกจากสโมสร
เพียงแต่ว่า....ถ้าทีมวืดการลุ้นแชมป์หรือไม่มีลุ้นแชมป์เมื่อเวลาผ่านไป #FSG ย่อมเผชิญหน้ากับความกดดันที่ถาโถมเข้าหาเขาเรื่อยๆ
คหสต....ไม่ได้แชมป์ก็เชียร์เหมือนเดิม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่