มันอาจยาวหน่อยนะครับ ถ้าอ่านจบจะเป็นการดีมาก ผมขอคำแนะนำ การแก้ปัญหาของแต่ละคนหน่อย ผมเข้าใจว่าทุกคนต่างมีเรื่องราวที่ต่างกัน เรื่องเล็กน้อยของแต่ละคน บางคนอาจเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ งั้นผมจะเริ่มเลยนะครับ
ช่วงเล่า
1.ผมเกิดปี 2538 มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน ผมคือคนโต เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ เกิดมาจนอายุได้ 10-11 ปี เริ่มจะรู้เรื่อง พ่อทะเลาะกับแม่ (พ่อมีอาชีพเป็นดีเจ มีการเกี่ยวพันธ์เรื่องผู้หญิง พ่อมีชู้ และมีหลายๆคน มีก่อนผมจะอายุ 10-11 ปีอีก แกก็มีมาเรื่อยๆ ผมสงสารแม่มาก และพ่อเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่มีเหตุผล ทะเลาะกับแม่ทีไร พ่อชอบทำลายข้าวของตลอด ผมกับน้องยังเด็กก็กลัวแทบไม่ได้นอน
2.เวลาผมกลับจากบ้าน พ่อชอบถามผมมีการบ้านไหม หรือมีอะไรต้องทำไม ผมก็ตอบว่ามี พอผมทำให้ดู บางครั้งผมทำผิด แทนที่จะบอกผมดีๆ กลับตวาดผม พูดแรงๆใส่ผม จนผมเป็นคนไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวผิด จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังเป็นคนกลัวที่จะพลาด เป็นคนไม่มั่นใจตัวเอง
3.แม่เลิกกับพ่อ แล้วแม่พาผมกับน้องมาอยู่บ้านทางฝั่งแม่ พวกเราหลุดพ้นจากเรื่องร้ายสักที และแม่ก็มีพ่อเลี้ยงใหม่ พ่อเลี้ยงเป็นคนที่ดีมาก เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ขับรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ได้ ไปส่งแม่ส่งผมส่งน้องตามที่เราอยากไปได้
4.ทางพ่อคนเก่าที่ให้กำเนิดผมกับน้อง เป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบตวาดน้องกับผมจนไม่มั่นใจจะทำอะไร ส่วนแม่ที่ให้กำเนิดผมกับน้อง จะว่าแกเลี้ยงผมกับน้องเป็นคุณชายเกินไปก็คงจะไม่ผิดนัก จนผมกับน้องแทบทำอะไรไม่เป็น แม่จะปกป้องผมกับน้องเสมอ แต่บางทีแกคิดว่าสิ่งที่แกทำมันถูก มันสามารถทำให้ลูกมีอนาคตที่ดีได้ แกก็จะทำ แต่แกไม่ถามผมกับน้องว่าจะทำได้หรือไม่
5.และในสิ่งที่ผมโดนในวัยเด็ก โดนพ่อด่าจนไม่มั่นใจมันทำให้การเรียนผมแย่ลง ผมเคยเรียนดีเรียนเก่งตอนเด็ก อยู่ห้องต้นๆกลางๆสลับกันไป จนมามัธยม ผมเริ่มอยู่ห้องท้ายๆ(ไม่ใช่ว่าห้องท้ายไม่ดีนะครับ)จนไปสู่การเรียนมหาลัย ผมก็เลือกเรียนผิดคณะ ที่จริงผมน่าจะเรียนสิ่งที่ชอบ(ในวัยเด็กผมฝันที่จะเป็นนักเขียนนิยาย นักวาดรูป เพราะงานแบบนี้คงจะเหมาะกับตัวเองดี แต่ติดที่สมัยเด็กผมได้ยินว่างานแบบนี้มันหางานยาก เลยเลือกทางผิดมาแต่นั้น(ผมไม่ขอบอกสาขาวิชาที่เรียน หรือสถานที่ที่ผมทำงานนะครับ ถือว่าปกป้องพวกเขา พวกเขาไม่ผิด)
6.ผมจบมหาลัยมา (เอาเป็นว่าผมไม่ได้จบสายครูละกัน)ผมก็มานั่งๆนอนๆที่บ้านก่อน ก่อนจบผมก็ฝึกสอนที่หนึ่ง เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ซึ่งเจอคนหลายประเภทมาก ผมเข้ากับใครไม่ได้เลย กว่าจะผ่านการฝึกก็ลำบากใจมาก ในใจกังวลตลอดเวลาว่าเขาจะว่าเราไหม เราจะทำได้ดีไหม นั้นเป็นเหตุที่กลับบ้านมาไม่คิดจะทำอะไร(ตรงนี้ผมก็มีส่วนผิดที่ไม่คิดจะทำอะไร)
7.ในเมื่อแม่ผมไม่เห็นผมทำอะไร แม่ผมเลยให้ผมลองไปเป็น ครู ในสถานที่แห่งหนึ่ง ขอเขาเข้าไปฝึกสอน และให้ผมไปเรียนเกี่ยวกับวิชาครูเพิ่ม ผมดันสอบติด เลยทำให้ผมได้ทั้งเรียนครูเพิ่ม ทั้งสอนเด็กใน รร ด้วย ไปเรียนเพิ่มด้วย ผมไม่ได้ชอบอะไรทางนี้อยู่แล้ว และบวกกับเจอเด็กที่มันไม่ค่อยฟังด้วย อาจเป็นเพราะเราไม่มีจิตวิทยาพอจะคุมเด็กได้ด้วย เลยอาจทำให้ไม่ชอบ แต่พออยู่ไปนานๆผมก็แอบซุ่มดูพฤตกรรมเด็ก ในแต่ละวิชา ต่อให้เด็กมันจะกลัวครูหรือไม่กลัวครู ถ้างานมันไม่ส่งก็คือไม่ส่ง คนไม่รู้เรื่องก็คือไม่รู้เรื่อง ผมมองแบบนี้
7.1 ในมุมของผมที่มองนักเรียน มันก็มีทั้งเด็กเก่งเด็กอ่อนเด็กปานกลางปนกันไป มันไม่สามารถจะทำให้เด็กเข้าใจอะไรได้ทั้งหมด บางครั้งเด็กก็อาจเกิดอคติกับครูหรือไม่เข้าใจครู ไม่เคารพครู อาจเพราะเหตุผลหลายๆอย่าง ครูดุ ครูไม่เข้าใจ
7.2 ในมุมของผมที่มองคุณครู ครูบางท่านก็สอนดี บางท่านก็เคร่งครัดเกิน บางคนก็ไม่สอนอะไรเลย อาจเพราะต้องมีผลงานส่ง เขาจะได้รู้ว่าเรามีงาน ซึ่งบางครั้งมันเยอะเกินไป บางทีก็ต้องมีใบงาน มีเก็บคะแนนสอบ วัดผล ซึ่งวัดไปมันก็ไม่มีผลอะไรมาก จบไปจากสถานศึกษาพวกเขาก็ต้องทำอย่างอื่นต่อ
ผมเลยไม่ชอบทางนี้แต่แรก ด้วยระบบ ด้วยปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการศึกษาไทย
8.ผมสอนเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ส่วนมากจะเป็นในสนาม ที่ลานกว้าง ไม่ได้สอนในห้องเรียน สอนในห้องเรียนเป็นบางครั้ง แล้วมันเกิดปัญหาตรงนี้แหละครับ คือที่ผมไปเรียนเพิ่มเกี้ยวกับวิชาครู เขาต้องมีใบงานส่งอาจารย์ มีการทดสอบเด็ก มีการให้เด็กทำแบบทดสอบใบงานก่อนเรียน หลังเรียน มีแบบฝึกหัด แต่ผมไม่มีนี้สิ คือผมจะจบไหมละเนี้ย ไม่มีอะไรส่งอาจารย์เลยครับ
9.ผมขับมอเตอร์ไซต์เป็นตอนอายุ 19 ตอนนี้ผมอายุ 26
ผมยังขับรถยนต์ไม่เป็น เพราะไม่มั่นใจ ขับรถยนต์กับมอเตอร์ไซต์มันต่างกัน
10.และสอนเด็กมันต้องมีแผนการสอนใช่ไหมครับ ผมมีแต่ผมปฏิบัติในสนามเลย แบบนี้มันถูกต้องไหมครับ
11.ผมเคยบอกแม่ว่าทางนี้ผมไม่ได้เลย ทางเป็นครูเนี้ย มันขัดต่อใจตัวเองมาก(แต่ภาระก็มี ต้องผ่อนมอไซต์ตัวเอง แต่ผมยังไม่มีแฟน อาจเพราะเป็นคนไม่มั่นใจ เป็นคนที่คิดว่ารับผิดชอบตัวเองยังไม่ได้ จะไปรับผิดชอบใครได้ และรับผิดชอบตัวเองยังไม่ได้ จะไปรับผิดชอบงานใหญ่ๆได้ยังไง รับผิดชอบเด็กเป็น 100 คนได้ยังไง (ผมสอนมา 3 ปีละ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เด็กไม่มีติดงานอะไรของผม แต่มันลำบากใจผมเหลือเกิน)
12.และถ้าผมออกจากครู ผมจะทำอะไร นี้แหละที่แม่ผมจะถาม แม่ผมท่านเป็นครู ท่านมีเด็กที่รักมากมาย ท่านเลยคิดว่าผมคงจะทำได้ โดยที่ท่านไม่ถามผมเลย ท่านคงอยากให้ผมลองทำดู แต่ด้วยการที่ผมเป็นคนไม่มั่นใจแต่เด็กๆ การมาเจอผู้คนหลากหลายมันทำให้ผมทุกข์ทรมานใจมาก
13.ครอบครัวผมไม่ได้ยากจนอะไร มีหนี้อยู่ แต่พ่อเลี้ยงกับแม่ก็ช่วยกันใช้ได้ ผมกับน้องก็มีกิน จนผมมองตัวเองว่าเป็นคนเลวไปแล้ว พ่อเลี้ยงกับแม่ก็ดีขนาดนี้ ทำไมลูกมันยังอยากจะเลิกเป็นครู มีอาชีพไหนมันมั้นคงเท่านี้อีก จนครั้งหนึ่งแม่สบถว่า ถ้าเกิดไปเกิดที่คนเขาไม่มีอะไรจะกินพวกเอ็งจะเป็นยังไง ถ้าเกิดไปเกิดครอบครัวที่ขัดสนลำบากแร้งแค้นจะเป็นยังไง มีแม่ที่ทำให้ทุกอย่างปูทางให้ทุกอย่าง ยังจะมาคิดเล็กคิดน้อยว่าสิ่งที่มีแม่มอบให้ไม่ดีอีก
14.ผมก็มองว่าแม่คิดถูก แต่ผมก็ยังอยากจะเลือกเป็นครู อาชีพนี้ถ้าใจไม่รักจริงไม่มีจิตวิญญาณจริงเป็นไม่ได้หรอกครับ (ที่จริงก็ทุกอาชีพแหละ)แต่อันนี้คือไหนจะต้องรองรับอารมณ์เด็ก ผู้ปกครอง ทำงานส่งนาย รอต้อนรับคนนั้นคนนี้หัวหมุนไปหมด ผมก็ยังอยากจะออกอยู่ดี และถ้าออกก็จะหางานให้ได้ คืองานวาดรูป เขียนนิยาย ไม่ก็เป็นนักกีฬาเดินสาย หาคนที่ชอบมาตั้งทีมกัน (ผมมีเด็กที่ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน ว่าจะลองตั้งทีมดู)
แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองกเบโรคแบบนี้ไม่รู้จะเวิร์คไหม
15.ผมอยากจะลาออกจากครูตอนนี้ และลาออกจากที่เรียนตอนนี้
อีกสองเดือนจะจบแล้ว แต่มันไม่ไหวจริงๆ ซึ่งไม่รู้จบมาจะเอาไปใช้ต่อไหม
ช่วงคำถาม ตอบมาได้เลยนะครับ ตรงๆเลย ถ้าติหรือว่าผมได้ก็ติก็ว่าได้เลยนะครับ และถ้าคิดว่าส่วนไหมผมน่าจะถูกก็บอก
1.สิ่งที่ผมคิดคือการมีครอบครัวที่ดีแต่แรก คือสิ่งที่ทำให้ลูกเติบโตมาสามารถเผชิญปัญหาได้มากกว่าคนที่ขาดพ่อหรือแม่ไป เพราะถ้าครอบครัวครบเขาจะได้ทั้งความแข็งแกร่งและความมั่นใจจากพ่อแม่ สามารถพูดได้เพราะสายเลือด แต่กับผม ด้วยความที่มเป็นสายเลือดแท้ๆของพ่อ พ่อยังด่าไม่มีชิ้นดี พอผมโตมาอยู่กะบพ่อเลี้ยง จะให้ผมพูดลึกซึ้งหรือพูดสนิทสนมเกินเลยมันก็ดูกระไรๆอยู่ ตรงนี้ผมถูกไหมครับ ชี้แนะได้ครับ
2.ผมอยากจะลาออกมากๆจากครู เพื่อนๆให้ผมทนไหม หรือบางคนเคยล้มเหลวจากการใช้ชีวิต หรือล้มเหลวจากการทำงานบ้างไหม ผมเพิ่งเคยทำงานเป็นครั้งแรก อายุตอนนี้ก็ 26 ปี แต่ผมก็ครุ่นคิดเสมอว่าถ้าออกมา แล้วงานอื่นมันจะมั่นคงไหม จะมีตังค์จ่ายค่าผ่อนรถมอเตอร์ไซด์ไหม
3.บางทีผมก็น่าด่านะ ชีวิตดีกว่าใครๆหลายๆคนซะอีก อย่างน้อยก็มีกินทุกมื้อ จะทุกข์อะไร แต่ผมไม่ได้ทุกข์แบบนั้น ผมดีใจและขอบใจพ่อเลี้ยงกับแม่มากที่ทำให้ผมกินดีอยู่ดี แต่ผมทุกข์ใจตรงงานที่ทำมันไม่ใช่ผมเลย ผมควรจะทำไงดีครับ
4.เรื่องขับรถยนต์ ผมควรขับเป็นไหม แต่ผมคิดจะขับอยู่ครับ
5.แม่ผมท่านไม่ค่อยแข็งแรง ผมคิดว่าผมเป็นลูกที่แย่หรือเปล่า แต่ผมคิดว่าถ้าแม่รักผมจริง(ซึ่งท่านก็รักผมจริง รักมากสุดหัวใจ ถึงขั้นผมกลับบ้านเกิน 1 ทุ่มก็โทรถาม)นั้นท่านรักจนผมไม่กล้าทำอะไร ทำอะไรไม่เป็นเลยหรือเปล่า จนผมเป็นลูกแหง่ไม่กล้าทำอะไรหรือเปล่า
6.ผมควรจะมีแฟนไหม ซึ่งการคุยผมก็มีบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ไม่กง้าปักใจรักใครสักที ไปกันไม่รอดหรอก คบคนไม่ได้เรื่องอย่างผม
7.แต่เรื่องไหนที่ผมมั่นใจว่าตัวเองทำได้ ทำถูก ผมจะกล้าพูดกล้าเผชิญหน้า แต่เรื่องไหนที่คิดว่าตัวเองผิด ผมจะถอดใจและแทบจะยอมแพ้ทันที
8.ที่ผมอยากทำงานวาดรูป หรือเขียนนิยายไม่ก็เขียนเป็นหนังสั้นๆ เพราะมันเป็นงานคนเดียว ไม่ต้องไม่เถียงกับใคร อย่างแย่เขาก็คอมเม้นท์หรือพูดมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องไปแก้เองอยู่ดี เพื่อนๆว่ายังไงครับ
9.ผมเป็นคนที่สนิทกับใครจะมั่นใจ จะกล้าบอกเขาว่าคิดยังไง คนที่สนิทจะทำผิดหรือถูกผมกล้าเตือนเขา แต่กับคนที่รู้จักไม่ม่ก ต่อให้เขาทำแบบไหนผมไม่เคยพูดเลย เอาง่ายๆที่ผมไป รร ผมไม่เคยพูดหรือคัยอะไรกับเพื่อนที่ รร เลย คิดดู ครูคนนั้นนินทาครูคนนี้ ครูคนนี้นินทาครูคนนั้น เจอกันก็เงียบ แล้วไม่คิดเหรอว่าถ้าผมออกมา เขาจะไม่นินทาผม เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียว แต่เขาก็ทำงานกันได้ ก็เข้าใจนะ ว่าอยู่กันได้ มีบ่นกันนิดๆหน่อยๆแต่ก็ทำงาน เพื่อครอบครัว เพื่อตัวเอง เพื่อคนที่รัก ผมเข้าใจ แต่กับผมทำงานกับคนหลากหลายแบบนั้นไม่ได้เลย แม่ผมบอกหนูเครียดเกินไปนะ ลองทำตัวให้เย็นๆลง มีสติหน่อย ผมก็พยายามแล้ว แต่มันไม่ใช่ มันเหมือนนกที่ฝึกดำน้ำ มันเหมือนปลาที่ฝึกบิน มันเหมือนแมวที่พยายามลอยไปบนอากาศ แล้วก็บอกว่าสู้ๆนะ ด้วยความรักนี้แหละ แต่ไม่รู้คนทำจะไหวไหม จะคิดยังไง ผมควรทำยังไงครับ
10.แม่บอกว่าถ้าทำงานอื่นนอกจากครูมันจะดีเหรอ มันจะมั่นคง มีตังค์เลี้ยงพ่อแม่ไหม ผมควรจะทำไงดีครับ ผมว่าผมเลี้ยงแม่กับพ่อเลี้ยงได้ เพราะตัวผมไม่ยึดติดกับเรื่องแก้วแหวนเงินทอง เพชร พลอย ยึดแต่เรื่องกิน และไม่ได้คิดจะมีแฟนอยู่แล้ว
11.ผมมั่นใจว่าถ้าผมอยู่คนเดียวได้สบายมาก แต่แม่ไม่เคยปล่อยผมไปไหนเลย ผมยังอยู่บ้านกับพ่อเลี้ยงกับแม่อยู่เลย เพื่อนๆพอจะแนะนำได้ไหมครับ
12.ผมคิดว่าการที่แม่รักผมเกินไป หาทางให้ผมมีงานมันก็ดี และแม่ไม่คิดถึงงานอื่นเลย มันยากตรงนี้แหละครับ ที่ผมจะพูด อยากจะออกก็บอกให้ทน มันไม่มีอะไรง่ายตลอดหรอก ทุกอย่างมีอุปสรรคทั้งนั้น ใช่ทุกอย่างมีอุปสรรคทั้งนั้น แต่นั้นมันมาจางานที่ชอบไหม ให้บังคับเมสซี่มาเล่นสนุกเกอร์ ตีไม่ดีก็ว่า พยายามแล้วก็ไม่ใช่ มันเรียกอุปสรรคจริงๆ แต่มันไม่ใช่อุปสรรคที่ตัวเองอยากเจอ ถ้าอุปสรรคแบบเออทำไมไม่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลกสักทีนะ ทำไมวันนี้เราเล่นบอลไม่ดีนะ นั้นคืออุปสรรคที่มันต้องเจอเข้าใจได้ เพราะเราเลือกเอง ใฟ้จัดทรัมป์มาเตะฟรีคิก เตะไม่ดีก็ด่า บอกว่านี้แหละคืออุปสรรคก็คงไม่ใช่ เออถ้าวันนี้จัดทรัมป์วางขาวไม่แม่น สอยคิวสนุกเกอร์ไม่ลง เออนั้นเป็นอุปสรรคที่รับได้ ก็เฉกเช่นผม ถ้าผมได้รับการติหรือว่าจากการวาดรูปเขียนนิยายเขียนหนังสั้นไม่ดี ผมรับได้ เพราะผมเลือกเอง ผมจัดตั้งทีมเล่นกีฬาเดินสาย ผมก็โดนด่าโดนว่าโดนติได้ถ้าผมทำได้ไม่ดีพอ ผมรับได้ แต่นี้ผมไม่อยากเป็นครูแต่แรก ผมโดนว่าก็ท้อแล้ว เพราะไม่ใช่อุปสรรคที่อยากจะเจอเลย ผมควรทำอย่างไรครับ
13.แม่แกชอบว่า นี้ถ้าเจอพ่อเลี้ยงแย่ แม่ไม่ดี พวกเองจะทำไง ผมอยากจะบอกแกว่าถ้าเจอลูกหนีออกจากบ้น ติดยา มั่วผู้หญิง ไปตีกันตามเพื่อน จะเป็นไงละ เพราะถึงแม้ผมจะขัดใจแม่ที่ไม่อยากเป็นครู แต่ผมก็ไม่ทำเรื่องพวกนั้น แต่ผมก็ยังดูไม่ดีอยู่ดีละ
14.ผมควรไปดูแลพ่อจริงที่เลิกกับแม่ไปนานไหมครับ ส่วนตัวผมตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อไป ผมไม่เคยคิดถึงแกแม้แต่นิดเดียว มีแต่แม่หรือพ่อเลี้ยงนี้แหละที่อยากให้ไปดู แต่ผมกับน้องไม่ได้สนใจ
15.ข้อสุดท้ายแล้วครับ แม่ผมคงจะทุกข์ใจมากมีลูกชายพอจะผึ้งได้ไหมยามแก่เฒ่า ผมเข้าใจว่าการเป็นครูมันได้สิทธิอะไรต่างๆ แต่จะให้ยอมรับ มันทำได้ยากจริงๆ และมันทำให้ผมไม่มั่นใจจะทำอย่างอื่นเลย สมองผมยุ่งเหยิงไปหมด แต่ผมไม่คิดฆ่าตัวเองหรอก
จบไปแล้วครับผม ผมรู้ทุกคนมีปัญหาต่างกัน บางคนอาจเจอหนักกว่าผม ก็บอกแนวทางการแก้ไขหรือชี้แนะได้ฮัพ
ปัญหาชีวิต ช่วยหน่อยครับ
ช่วงเล่า
1.ผมเกิดปี 2538 มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน ผมคือคนโต เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ เกิดมาจนอายุได้ 10-11 ปี เริ่มจะรู้เรื่อง พ่อทะเลาะกับแม่ (พ่อมีอาชีพเป็นดีเจ มีการเกี่ยวพันธ์เรื่องผู้หญิง พ่อมีชู้ และมีหลายๆคน มีก่อนผมจะอายุ 10-11 ปีอีก แกก็มีมาเรื่อยๆ ผมสงสารแม่มาก และพ่อเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่มีเหตุผล ทะเลาะกับแม่ทีไร พ่อชอบทำลายข้าวของตลอด ผมกับน้องยังเด็กก็กลัวแทบไม่ได้นอน
2.เวลาผมกลับจากบ้าน พ่อชอบถามผมมีการบ้านไหม หรือมีอะไรต้องทำไม ผมก็ตอบว่ามี พอผมทำให้ดู บางครั้งผมทำผิด แทนที่จะบอกผมดีๆ กลับตวาดผม พูดแรงๆใส่ผม จนผมเป็นคนไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวผิด จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังเป็นคนกลัวที่จะพลาด เป็นคนไม่มั่นใจตัวเอง
3.แม่เลิกกับพ่อ แล้วแม่พาผมกับน้องมาอยู่บ้านทางฝั่งแม่ พวกเราหลุดพ้นจากเรื่องร้ายสักที และแม่ก็มีพ่อเลี้ยงใหม่ พ่อเลี้ยงเป็นคนที่ดีมาก เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ขับรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ได้ ไปส่งแม่ส่งผมส่งน้องตามที่เราอยากไปได้
4.ทางพ่อคนเก่าที่ให้กำเนิดผมกับน้อง เป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบตวาดน้องกับผมจนไม่มั่นใจจะทำอะไร ส่วนแม่ที่ให้กำเนิดผมกับน้อง จะว่าแกเลี้ยงผมกับน้องเป็นคุณชายเกินไปก็คงจะไม่ผิดนัก จนผมกับน้องแทบทำอะไรไม่เป็น แม่จะปกป้องผมกับน้องเสมอ แต่บางทีแกคิดว่าสิ่งที่แกทำมันถูก มันสามารถทำให้ลูกมีอนาคตที่ดีได้ แกก็จะทำ แต่แกไม่ถามผมกับน้องว่าจะทำได้หรือไม่
5.และในสิ่งที่ผมโดนในวัยเด็ก โดนพ่อด่าจนไม่มั่นใจมันทำให้การเรียนผมแย่ลง ผมเคยเรียนดีเรียนเก่งตอนเด็ก อยู่ห้องต้นๆกลางๆสลับกันไป จนมามัธยม ผมเริ่มอยู่ห้องท้ายๆ(ไม่ใช่ว่าห้องท้ายไม่ดีนะครับ)จนไปสู่การเรียนมหาลัย ผมก็เลือกเรียนผิดคณะ ที่จริงผมน่าจะเรียนสิ่งที่ชอบ(ในวัยเด็กผมฝันที่จะเป็นนักเขียนนิยาย นักวาดรูป เพราะงานแบบนี้คงจะเหมาะกับตัวเองดี แต่ติดที่สมัยเด็กผมได้ยินว่างานแบบนี้มันหางานยาก เลยเลือกทางผิดมาแต่นั้น(ผมไม่ขอบอกสาขาวิชาที่เรียน หรือสถานที่ที่ผมทำงานนะครับ ถือว่าปกป้องพวกเขา พวกเขาไม่ผิด)
6.ผมจบมหาลัยมา (เอาเป็นว่าผมไม่ได้จบสายครูละกัน)ผมก็มานั่งๆนอนๆที่บ้านก่อน ก่อนจบผมก็ฝึกสอนที่หนึ่ง เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ซึ่งเจอคนหลายประเภทมาก ผมเข้ากับใครไม่ได้เลย กว่าจะผ่านการฝึกก็ลำบากใจมาก ในใจกังวลตลอดเวลาว่าเขาจะว่าเราไหม เราจะทำได้ดีไหม นั้นเป็นเหตุที่กลับบ้านมาไม่คิดจะทำอะไร(ตรงนี้ผมก็มีส่วนผิดที่ไม่คิดจะทำอะไร)
7.ในเมื่อแม่ผมไม่เห็นผมทำอะไร แม่ผมเลยให้ผมลองไปเป็น ครู ในสถานที่แห่งหนึ่ง ขอเขาเข้าไปฝึกสอน และให้ผมไปเรียนเกี่ยวกับวิชาครูเพิ่ม ผมดันสอบติด เลยทำให้ผมได้ทั้งเรียนครูเพิ่ม ทั้งสอนเด็กใน รร ด้วย ไปเรียนเพิ่มด้วย ผมไม่ได้ชอบอะไรทางนี้อยู่แล้ว และบวกกับเจอเด็กที่มันไม่ค่อยฟังด้วย อาจเป็นเพราะเราไม่มีจิตวิทยาพอจะคุมเด็กได้ด้วย เลยอาจทำให้ไม่ชอบ แต่พออยู่ไปนานๆผมก็แอบซุ่มดูพฤตกรรมเด็ก ในแต่ละวิชา ต่อให้เด็กมันจะกลัวครูหรือไม่กลัวครู ถ้างานมันไม่ส่งก็คือไม่ส่ง คนไม่รู้เรื่องก็คือไม่รู้เรื่อง ผมมองแบบนี้
7.1 ในมุมของผมที่มองนักเรียน มันก็มีทั้งเด็กเก่งเด็กอ่อนเด็กปานกลางปนกันไป มันไม่สามารถจะทำให้เด็กเข้าใจอะไรได้ทั้งหมด บางครั้งเด็กก็อาจเกิดอคติกับครูหรือไม่เข้าใจครู ไม่เคารพครู อาจเพราะเหตุผลหลายๆอย่าง ครูดุ ครูไม่เข้าใจ
7.2 ในมุมของผมที่มองคุณครู ครูบางท่านก็สอนดี บางท่านก็เคร่งครัดเกิน บางคนก็ไม่สอนอะไรเลย อาจเพราะต้องมีผลงานส่ง เขาจะได้รู้ว่าเรามีงาน ซึ่งบางครั้งมันเยอะเกินไป บางทีก็ต้องมีใบงาน มีเก็บคะแนนสอบ วัดผล ซึ่งวัดไปมันก็ไม่มีผลอะไรมาก จบไปจากสถานศึกษาพวกเขาก็ต้องทำอย่างอื่นต่อ
ผมเลยไม่ชอบทางนี้แต่แรก ด้วยระบบ ด้วยปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการศึกษาไทย
8.ผมสอนเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ส่วนมากจะเป็นในสนาม ที่ลานกว้าง ไม่ได้สอนในห้องเรียน สอนในห้องเรียนเป็นบางครั้ง แล้วมันเกิดปัญหาตรงนี้แหละครับ คือที่ผมไปเรียนเพิ่มเกี้ยวกับวิชาครู เขาต้องมีใบงานส่งอาจารย์ มีการทดสอบเด็ก มีการให้เด็กทำแบบทดสอบใบงานก่อนเรียน หลังเรียน มีแบบฝึกหัด แต่ผมไม่มีนี้สิ คือผมจะจบไหมละเนี้ย ไม่มีอะไรส่งอาจารย์เลยครับ
9.ผมขับมอเตอร์ไซต์เป็นตอนอายุ 19 ตอนนี้ผมอายุ 26
ผมยังขับรถยนต์ไม่เป็น เพราะไม่มั่นใจ ขับรถยนต์กับมอเตอร์ไซต์มันต่างกัน
10.และสอนเด็กมันต้องมีแผนการสอนใช่ไหมครับ ผมมีแต่ผมปฏิบัติในสนามเลย แบบนี้มันถูกต้องไหมครับ
11.ผมเคยบอกแม่ว่าทางนี้ผมไม่ได้เลย ทางเป็นครูเนี้ย มันขัดต่อใจตัวเองมาก(แต่ภาระก็มี ต้องผ่อนมอไซต์ตัวเอง แต่ผมยังไม่มีแฟน อาจเพราะเป็นคนไม่มั่นใจ เป็นคนที่คิดว่ารับผิดชอบตัวเองยังไม่ได้ จะไปรับผิดชอบใครได้ และรับผิดชอบตัวเองยังไม่ได้ จะไปรับผิดชอบงานใหญ่ๆได้ยังไง รับผิดชอบเด็กเป็น 100 คนได้ยังไง (ผมสอนมา 3 ปีละ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เด็กไม่มีติดงานอะไรของผม แต่มันลำบากใจผมเหลือเกิน)
12.และถ้าผมออกจากครู ผมจะทำอะไร นี้แหละที่แม่ผมจะถาม แม่ผมท่านเป็นครู ท่านมีเด็กที่รักมากมาย ท่านเลยคิดว่าผมคงจะทำได้ โดยที่ท่านไม่ถามผมเลย ท่านคงอยากให้ผมลองทำดู แต่ด้วยการที่ผมเป็นคนไม่มั่นใจแต่เด็กๆ การมาเจอผู้คนหลากหลายมันทำให้ผมทุกข์ทรมานใจมาก
13.ครอบครัวผมไม่ได้ยากจนอะไร มีหนี้อยู่ แต่พ่อเลี้ยงกับแม่ก็ช่วยกันใช้ได้ ผมกับน้องก็มีกิน จนผมมองตัวเองว่าเป็นคนเลวไปแล้ว พ่อเลี้ยงกับแม่ก็ดีขนาดนี้ ทำไมลูกมันยังอยากจะเลิกเป็นครู มีอาชีพไหนมันมั้นคงเท่านี้อีก จนครั้งหนึ่งแม่สบถว่า ถ้าเกิดไปเกิดที่คนเขาไม่มีอะไรจะกินพวกเอ็งจะเป็นยังไง ถ้าเกิดไปเกิดครอบครัวที่ขัดสนลำบากแร้งแค้นจะเป็นยังไง มีแม่ที่ทำให้ทุกอย่างปูทางให้ทุกอย่าง ยังจะมาคิดเล็กคิดน้อยว่าสิ่งที่มีแม่มอบให้ไม่ดีอีก
14.ผมก็มองว่าแม่คิดถูก แต่ผมก็ยังอยากจะเลือกเป็นครู อาชีพนี้ถ้าใจไม่รักจริงไม่มีจิตวิญญาณจริงเป็นไม่ได้หรอกครับ (ที่จริงก็ทุกอาชีพแหละ)แต่อันนี้คือไหนจะต้องรองรับอารมณ์เด็ก ผู้ปกครอง ทำงานส่งนาย รอต้อนรับคนนั้นคนนี้หัวหมุนไปหมด ผมก็ยังอยากจะออกอยู่ดี และถ้าออกก็จะหางานให้ได้ คืองานวาดรูป เขียนนิยาย ไม่ก็เป็นนักกีฬาเดินสาย หาคนที่ชอบมาตั้งทีมกัน (ผมมีเด็กที่ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน ว่าจะลองตั้งทีมดู)
แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองกเบโรคแบบนี้ไม่รู้จะเวิร์คไหม
15.ผมอยากจะลาออกจากครูตอนนี้ และลาออกจากที่เรียนตอนนี้
อีกสองเดือนจะจบแล้ว แต่มันไม่ไหวจริงๆ ซึ่งไม่รู้จบมาจะเอาไปใช้ต่อไหม
ช่วงคำถาม ตอบมาได้เลยนะครับ ตรงๆเลย ถ้าติหรือว่าผมได้ก็ติก็ว่าได้เลยนะครับ และถ้าคิดว่าส่วนไหมผมน่าจะถูกก็บอก
1.สิ่งที่ผมคิดคือการมีครอบครัวที่ดีแต่แรก คือสิ่งที่ทำให้ลูกเติบโตมาสามารถเผชิญปัญหาได้มากกว่าคนที่ขาดพ่อหรือแม่ไป เพราะถ้าครอบครัวครบเขาจะได้ทั้งความแข็งแกร่งและความมั่นใจจากพ่อแม่ สามารถพูดได้เพราะสายเลือด แต่กับผม ด้วยความที่มเป็นสายเลือดแท้ๆของพ่อ พ่อยังด่าไม่มีชิ้นดี พอผมโตมาอยู่กะบพ่อเลี้ยง จะให้ผมพูดลึกซึ้งหรือพูดสนิทสนมเกินเลยมันก็ดูกระไรๆอยู่ ตรงนี้ผมถูกไหมครับ ชี้แนะได้ครับ
2.ผมอยากจะลาออกมากๆจากครู เพื่อนๆให้ผมทนไหม หรือบางคนเคยล้มเหลวจากการใช้ชีวิต หรือล้มเหลวจากการทำงานบ้างไหม ผมเพิ่งเคยทำงานเป็นครั้งแรก อายุตอนนี้ก็ 26 ปี แต่ผมก็ครุ่นคิดเสมอว่าถ้าออกมา แล้วงานอื่นมันจะมั่นคงไหม จะมีตังค์จ่ายค่าผ่อนรถมอเตอร์ไซด์ไหม
3.บางทีผมก็น่าด่านะ ชีวิตดีกว่าใครๆหลายๆคนซะอีก อย่างน้อยก็มีกินทุกมื้อ จะทุกข์อะไร แต่ผมไม่ได้ทุกข์แบบนั้น ผมดีใจและขอบใจพ่อเลี้ยงกับแม่มากที่ทำให้ผมกินดีอยู่ดี แต่ผมทุกข์ใจตรงงานที่ทำมันไม่ใช่ผมเลย ผมควรจะทำไงดีครับ
4.เรื่องขับรถยนต์ ผมควรขับเป็นไหม แต่ผมคิดจะขับอยู่ครับ
5.แม่ผมท่านไม่ค่อยแข็งแรง ผมคิดว่าผมเป็นลูกที่แย่หรือเปล่า แต่ผมคิดว่าถ้าแม่รักผมจริง(ซึ่งท่านก็รักผมจริง รักมากสุดหัวใจ ถึงขั้นผมกลับบ้านเกิน 1 ทุ่มก็โทรถาม)นั้นท่านรักจนผมไม่กล้าทำอะไร ทำอะไรไม่เป็นเลยหรือเปล่า จนผมเป็นลูกแหง่ไม่กล้าทำอะไรหรือเปล่า
6.ผมควรจะมีแฟนไหม ซึ่งการคุยผมก็มีบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ไม่กง้าปักใจรักใครสักที ไปกันไม่รอดหรอก คบคนไม่ได้เรื่องอย่างผม
7.แต่เรื่องไหนที่ผมมั่นใจว่าตัวเองทำได้ ทำถูก ผมจะกล้าพูดกล้าเผชิญหน้า แต่เรื่องไหนที่คิดว่าตัวเองผิด ผมจะถอดใจและแทบจะยอมแพ้ทันที
8.ที่ผมอยากทำงานวาดรูป หรือเขียนนิยายไม่ก็เขียนเป็นหนังสั้นๆ เพราะมันเป็นงานคนเดียว ไม่ต้องไม่เถียงกับใคร อย่างแย่เขาก็คอมเม้นท์หรือพูดมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องไปแก้เองอยู่ดี เพื่อนๆว่ายังไงครับ
9.ผมเป็นคนที่สนิทกับใครจะมั่นใจ จะกล้าบอกเขาว่าคิดยังไง คนที่สนิทจะทำผิดหรือถูกผมกล้าเตือนเขา แต่กับคนที่รู้จักไม่ม่ก ต่อให้เขาทำแบบไหนผมไม่เคยพูดเลย เอาง่ายๆที่ผมไป รร ผมไม่เคยพูดหรือคัยอะไรกับเพื่อนที่ รร เลย คิดดู ครูคนนั้นนินทาครูคนนี้ ครูคนนี้นินทาครูคนนั้น เจอกันก็เงียบ แล้วไม่คิดเหรอว่าถ้าผมออกมา เขาจะไม่นินทาผม เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียว แต่เขาก็ทำงานกันได้ ก็เข้าใจนะ ว่าอยู่กันได้ มีบ่นกันนิดๆหน่อยๆแต่ก็ทำงาน เพื่อครอบครัว เพื่อตัวเอง เพื่อคนที่รัก ผมเข้าใจ แต่กับผมทำงานกับคนหลากหลายแบบนั้นไม่ได้เลย แม่ผมบอกหนูเครียดเกินไปนะ ลองทำตัวให้เย็นๆลง มีสติหน่อย ผมก็พยายามแล้ว แต่มันไม่ใช่ มันเหมือนนกที่ฝึกดำน้ำ มันเหมือนปลาที่ฝึกบิน มันเหมือนแมวที่พยายามลอยไปบนอากาศ แล้วก็บอกว่าสู้ๆนะ ด้วยความรักนี้แหละ แต่ไม่รู้คนทำจะไหวไหม จะคิดยังไง ผมควรทำยังไงครับ
10.แม่บอกว่าถ้าทำงานอื่นนอกจากครูมันจะดีเหรอ มันจะมั่นคง มีตังค์เลี้ยงพ่อแม่ไหม ผมควรจะทำไงดีครับ ผมว่าผมเลี้ยงแม่กับพ่อเลี้ยงได้ เพราะตัวผมไม่ยึดติดกับเรื่องแก้วแหวนเงินทอง เพชร พลอย ยึดแต่เรื่องกิน และไม่ได้คิดจะมีแฟนอยู่แล้ว
11.ผมมั่นใจว่าถ้าผมอยู่คนเดียวได้สบายมาก แต่แม่ไม่เคยปล่อยผมไปไหนเลย ผมยังอยู่บ้านกับพ่อเลี้ยงกับแม่อยู่เลย เพื่อนๆพอจะแนะนำได้ไหมครับ
12.ผมคิดว่าการที่แม่รักผมเกินไป หาทางให้ผมมีงานมันก็ดี และแม่ไม่คิดถึงงานอื่นเลย มันยากตรงนี้แหละครับ ที่ผมจะพูด อยากจะออกก็บอกให้ทน มันไม่มีอะไรง่ายตลอดหรอก ทุกอย่างมีอุปสรรคทั้งนั้น ใช่ทุกอย่างมีอุปสรรคทั้งนั้น แต่นั้นมันมาจางานที่ชอบไหม ให้บังคับเมสซี่มาเล่นสนุกเกอร์ ตีไม่ดีก็ว่า พยายามแล้วก็ไม่ใช่ มันเรียกอุปสรรคจริงๆ แต่มันไม่ใช่อุปสรรคที่ตัวเองอยากเจอ ถ้าอุปสรรคแบบเออทำไมไม่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลกสักทีนะ ทำไมวันนี้เราเล่นบอลไม่ดีนะ นั้นคืออุปสรรคที่มันต้องเจอเข้าใจได้ เพราะเราเลือกเอง ใฟ้จัดทรัมป์มาเตะฟรีคิก เตะไม่ดีก็ด่า บอกว่านี้แหละคืออุปสรรคก็คงไม่ใช่ เออถ้าวันนี้จัดทรัมป์วางขาวไม่แม่น สอยคิวสนุกเกอร์ไม่ลง เออนั้นเป็นอุปสรรคที่รับได้ ก็เฉกเช่นผม ถ้าผมได้รับการติหรือว่าจากการวาดรูปเขียนนิยายเขียนหนังสั้นไม่ดี ผมรับได้ เพราะผมเลือกเอง ผมจัดตั้งทีมเล่นกีฬาเดินสาย ผมก็โดนด่าโดนว่าโดนติได้ถ้าผมทำได้ไม่ดีพอ ผมรับได้ แต่นี้ผมไม่อยากเป็นครูแต่แรก ผมโดนว่าก็ท้อแล้ว เพราะไม่ใช่อุปสรรคที่อยากจะเจอเลย ผมควรทำอย่างไรครับ
13.แม่แกชอบว่า นี้ถ้าเจอพ่อเลี้ยงแย่ แม่ไม่ดี พวกเองจะทำไง ผมอยากจะบอกแกว่าถ้าเจอลูกหนีออกจากบ้น ติดยา มั่วผู้หญิง ไปตีกันตามเพื่อน จะเป็นไงละ เพราะถึงแม้ผมจะขัดใจแม่ที่ไม่อยากเป็นครู แต่ผมก็ไม่ทำเรื่องพวกนั้น แต่ผมก็ยังดูไม่ดีอยู่ดีละ
14.ผมควรไปดูแลพ่อจริงที่เลิกกับแม่ไปนานไหมครับ ส่วนตัวผมตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อไป ผมไม่เคยคิดถึงแกแม้แต่นิดเดียว มีแต่แม่หรือพ่อเลี้ยงนี้แหละที่อยากให้ไปดู แต่ผมกับน้องไม่ได้สนใจ
15.ข้อสุดท้ายแล้วครับ แม่ผมคงจะทุกข์ใจมากมีลูกชายพอจะผึ้งได้ไหมยามแก่เฒ่า ผมเข้าใจว่าการเป็นครูมันได้สิทธิอะไรต่างๆ แต่จะให้ยอมรับ มันทำได้ยากจริงๆ และมันทำให้ผมไม่มั่นใจจะทำอย่างอื่นเลย สมองผมยุ่งเหยิงไปหมด แต่ผมไม่คิดฆ่าตัวเองหรอก
จบไปแล้วครับผม ผมรู้ทุกคนมีปัญหาต่างกัน บางคนอาจเจอหนักกว่าผม ก็บอกแนวทางการแก้ไขหรือชี้แนะได้ฮัพ