คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
จขกท ไม่ได้บอกว่าอยู่ประเทศไหน เดาว่าอเมริกาหรือยุโรป ลองมาดูกันทีละข้อว่าตรงไหนถูกผิดอย่างไร คำนวณจากฐานตัวเลขของอเมริกาก็แล้วกัน
เงินเดือนสองหมื่นห้า คิดเป็น USD ก็แค่เดือนละ $833 (ประเมินที่ 30 บาท/USD)
ถ้าคำนวณจากฐานเงินเดือนขั้นต่ำของอาชีพนี้ 18 USD/ชั่วโมง วันละแปดชั่วโมง ทำห้าวัน ไม่มีโอที ค่าแรงก่อนหักภาษีจะเป็น $720/สัปดาห์ หรือ $2880/เดือน (ถ้าเกินแปดชั่วโมง ต้องเป็นโอที คือจ่าย 1.5 เท่าของค่าแรงปกติ และเวลาเริ่มนับค่าแรง คือเวลาเข้าทำงานจริง ไม่ใช่เวลาร้านเปิด หรือถ้าเป็นตอนปิดร้าน นับถึงเวลาที่ทำความสะอาดเรียบร้อย ปิดกุญแจร้าน ไม่ใช่นับถึงเวลาที่ลูกค้าเดินออก)
สมมติว่าคุณจ่ายเงินเดือนตามเรทปกติ หักภาษีประมาณ 20% หักค่าเช่าบ้าน ตีว่า $700 (รวมค่าน้ำค่าไฟ อินเตอร์เน็ท ไม่รวมค่าโทรศัพท์) เขายังเหลือเดือนละ $1648
ปัจจุบันคุณจ่ายเขาเดือนละแปดร้อยกว่า บวกค่าเช่าบ้าน ก็ยังขาดอีก $771/เดือน
นี่เรายังไม่พูดถึงประกันสังคม ประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุที่เกิดในขณะทำงาน (disability insurance) ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนที่นายจ้างต้องเป็นคนจ่าย
เอาเป็นว่า จขกท ในฐานะนายจ้าง ทำให้ถูกกฏหมายแรงงานเสียก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ถ้ายังทำอะไรตามใจแบบไทยแท้ ตัวเลขมันบอกว่า คุณกำลังเอาเปรียบ โกงแรงงานลูกน้องนะคะ ถ้าไม่อยากจ่ายมากก็ต้องทำเอง ไม่ต้องจ้างคนมาช่วย
การจ้างแรงงานเฉพาะ ที่ไม่ใช่แรงงานไร้ทักษะ คุณต้องซื้อใจลูกน้องบ้าง ไม่ใช่คิดเล็กคิดน้อยประเภทสลึงไม่มีกระเด็น ไม่งั้นระยะยาวไปไม่รอดหรอกค่ะ และสิ่งที่คุณทำ มันเปิดช่องให้ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ ถ้าเรื่องถึงกระทรวงแรงงาน คุณไม่ได้จ่ายแค่ค่าแรงส่วนต่าง แต่ค่าปรับจ่ายเข้าหลวงมันสูงพอที่จะทำให้คุณต้องปิดร้าน เลิกกิจการไปได้เลยเชียว
เงินเดือนสองหมื่นห้า คิดเป็น USD ก็แค่เดือนละ $833 (ประเมินที่ 30 บาท/USD)
ถ้าคำนวณจากฐานเงินเดือนขั้นต่ำของอาชีพนี้ 18 USD/ชั่วโมง วันละแปดชั่วโมง ทำห้าวัน ไม่มีโอที ค่าแรงก่อนหักภาษีจะเป็น $720/สัปดาห์ หรือ $2880/เดือน (ถ้าเกินแปดชั่วโมง ต้องเป็นโอที คือจ่าย 1.5 เท่าของค่าแรงปกติ และเวลาเริ่มนับค่าแรง คือเวลาเข้าทำงานจริง ไม่ใช่เวลาร้านเปิด หรือถ้าเป็นตอนปิดร้าน นับถึงเวลาที่ทำความสะอาดเรียบร้อย ปิดกุญแจร้าน ไม่ใช่นับถึงเวลาที่ลูกค้าเดินออก)
สมมติว่าคุณจ่ายเงินเดือนตามเรทปกติ หักภาษีประมาณ 20% หักค่าเช่าบ้าน ตีว่า $700 (รวมค่าน้ำค่าไฟ อินเตอร์เน็ท ไม่รวมค่าโทรศัพท์) เขายังเหลือเดือนละ $1648
ปัจจุบันคุณจ่ายเขาเดือนละแปดร้อยกว่า บวกค่าเช่าบ้าน ก็ยังขาดอีก $771/เดือน
นี่เรายังไม่พูดถึงประกันสังคม ประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุที่เกิดในขณะทำงาน (disability insurance) ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนที่นายจ้างต้องเป็นคนจ่าย
เอาเป็นว่า จขกท ในฐานะนายจ้าง ทำให้ถูกกฏหมายแรงงานเสียก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ถ้ายังทำอะไรตามใจแบบไทยแท้ ตัวเลขมันบอกว่า คุณกำลังเอาเปรียบ โกงแรงงานลูกน้องนะคะ ถ้าไม่อยากจ่ายมากก็ต้องทำเอง ไม่ต้องจ้างคนมาช่วย
การจ้างแรงงานเฉพาะ ที่ไม่ใช่แรงงานไร้ทักษะ คุณต้องซื้อใจลูกน้องบ้าง ไม่ใช่คิดเล็กคิดน้อยประเภทสลึงไม่มีกระเด็น ไม่งั้นระยะยาวไปไม่รอดหรอกค่ะ และสิ่งที่คุณทำ มันเปิดช่องให้ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ ถ้าเรื่องถึงกระทรวงแรงงาน คุณไม่ได้จ่ายแค่ค่าแรงส่วนต่าง แต่ค่าปรับจ่ายเข้าหลวงมันสูงพอที่จะทำให้คุณต้องปิดร้าน เลิกกิจการไปได้เลยเชียว
แสดงความคิดเห็น
ช่วยด้วยค่ะ ลูกน้องเห็นแก่ตัวแบบนี้ทำยังไง
เรากับสามีอยู่ต่างประเทศ ทำธุรกิจร้านอาหารเล็กๆ ก่อนโควิดก็ไปได้สวยเลยค่ะ
พอมาโควิดก็พังพินาศ ณ ตอนนี้ก็พอทรงตัวได้ เราขออนุญาตไม่ลงลึกถึงธุรกิจมากนะคะ
โดยมีลูกน้องคือพ่อครัวเพียงแค่คนเดียวค่ะ พี่คนนี้มาอาศัยอยู่ที่บ้าน(ผู้ชาย) ต้องบอกก่อนนะคะว่าเมื่อก่อนเรายังไม่ได้แต่งงานและมีลูก ส่วนเราก็บินไปกลับไทยบ่อยๆเลยไม่ได้ว่าอะไรเรื่องเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่พอเรามีน้องเลยย้ายมาค่ะ
พี่ผู้ชายคนนี้มีเวลาทำงาน 4:00-12:00เท่านั้นค่ะ เงินเดือน 25,000 บาทเพราะตอนนี้รายได้ธุรกิจลดลงมากเลยต้องลดเงินเดือนครึ่งนึงค่ะ
อี้ของสามีเราเลยให้พี่เค้าไปช่วยงานที่โรงงานช่วงบ่ายอีก ได้ประมาณ 20,000บาทต่อเดือน (ไม่ได้มีทุกวัน) สามีเราก็ไปทำด้วยค่ะ เลยตืดรถสามีไป นอกจากวันเสาร์ที่สามีเราอยากพักผ่อน
สิ่งที่เราอยากถามทุกคนคือสิ่งที่พี่เค้า ไม่เคยออกเงินช่วยค่าอะไรในบ้านเลย ไม่ซื้อของใช้เอง แม้กระทั้ง สบู่ ที่ไม่สมควรมาใช้กับเจ้านายตัวเอง เราซึ่งเป็นผู้หญิงรับไม่ได้ เลยต้องซื้อแยกเองตลอด ยังไม่พอนะคะไม่ว่าจะเป็นแชมพู ผงซักฟอก ยาสีฟัน ก็ไม่เคยซื้อ อาหารก็ไม่จ่ายเอาของในตู้มาทำกิน บางครั้งเอาของที่เราซื้อเพื่อจะกินกับลูกมากินด้วย และช่วงนี้อากาศร้อน เค้าก็เปิดแอร์นอนช่วงบ่ายด้วยซึ่งแน่นอนกลางคืนก็เปิดนอนอยู่แล้ว
เราเริ่มไม่พอใจอย่างมาก ซึ่งเราคุยกับสามีเรา สามีเราก็บอกว่าเราเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย อย่าเป็นแบบนี้ เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก เราแค่อยากให้เค้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายของใช้บ้าง จักรยานเรามีให้เค้าสามารถปั่นไปเองได้ ซึ่งเวลาไปตัดผม เวลาไปทำงานนอกวันเสาร์ก็ปั่นไป ทำไมซื้อของตัวเองไม่ได้
เราทนไม่ไหวแล้ว จนต้องแอบเอาของใช้บางอย่างไปซ่อนบ้าง ให้เค้ารู้ตัว เราเอาผงซักฟอกไปซ่อน แต่เค้าก็ยังเอาไฮเตอร์ไปใช้ซักผ้าแทน (เราละเครียด)
เวลาของอะไรหมดจะชอบไลน์มาบอกสามีเราสามีเราก็ซื้อเข้าไป เมื่อก่อนทำร้านอาหารก็มีเพื่อนคนไทย เพื่อนคนไทยเค้าก็ไลน์มาชวนพี่เค้าไปทานเหล้า ซึ่งสามีเราก็รู้จักก็ไป เวลาเพื่อนสามีเราชวนกินเหล้าสามีก็จะพาพี่เค้าไปด้วยตลอดเพราะกลัวพี่เค้าเหงา เวลาไปกินข้าวบ้านเค้าก็ไม่เคยมีอะไรติดไม้ติดมือเข้าไปบ้างเลย สามีเราขี้เกรงใจก็จะซื้อเบียร์เข้าไปบ้าง (เรื่องนี้เราคุยกับสามีจนเดี๋ยวนี้สามีเริ่มคืดได้ จึงไม่ไปด้วยแล้ว)
เราเข้าใจสามีนะคะว่างานที่เค้าทำเป็นงานเฉพาะใช้ฝีมือไม่อยากเสียลูกน้องไป สามีเคยบอกว่า เค้าห่างครอบครัวมาเพื่อมาทำงาน เค้าก็อยากรีบๆเก็บเงินกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเค้า อันนี้เรารู้เราเข้าใจแต่เค้าจะมาเอาเปรียบ ลำบากเราเพื่อให้ตัวเองสบายอะหรอ!
เราหมดทางจะคุยกับสามีเเล้ว คุยกันสามีก็คิดไม่ได้สะทีทะเลาะกันตลอด
เราอยากขอร้องให้ทุกคนช่วยหาทางคุยกับสามีให้เราหน่อยได้ไหมค่ะ มีวิธีใดบ้างที่เค้าจะเห็นด้วยกับเราบ้าง เราก็แค่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้บ้าง เค้าไม่เคยมีน้ำใจกับเราเลย น้ำใจเล็กๆน้อยๆซื้ออะไรมาแบ่งเรายังไม่เคยมี ลูกเราเกิดมายังไม่มีของอะไรให้เลย เราไม่เคยอยากได้ของเค้านะคะ แค่อยากเห็นน้ำใจบ้าง ตอนลูกพี่เค้าเข้ามหาวิทยาลัยสามีเราโอนเงินเป็นขวัญถุงให้ เวลากลับไทยสามีเราจะชอบซื้อของฝากไปให้ครอบครัวเค้าด้วย สามีเราพาเค้าไปเที่ยวเกาหลี ไปญี่ปุ่น ไม่เคยต้องเสียเงินสักบาทไปฟรีหมด
เรามีแต่คำถามในหัวว่าทำไมเค้าถึงคิดไม่ได้ ทำไมไม่ซื้อของใช้เอง หรือว่าไม่ได้คิดไม่ได้ แค่คิดจะเอาเปรียบกัน
ส่วนเรื่องการทำงานนะคะ สำหรับเรา เราไม่โอเคค่ะ ไม่ได้อคตินะคะ รสชาติอาหารอยู่ในขั้นค่อนข้างไปในทางที่ดี สามารถทำอาหารได้หลากหลาย ข้อเสีย มักง่ายเกินไป และไม่รักษาความสะอาด (เราต้องมาคอยเก็บตลอดเพราะทนไม่ได้ พูดแล้วว่าให้ทำแบบนี้นี้นะ ปากบอกรับทราบ สักพักเป็นอีก!)
ส่วนตัวเรานั้น เราพยายามตัดความคิดนี้ไปว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ปล่อยไป แต่ไม่ไหวจริงๆค่ะ เค้าเอาเปรียบความใจดีของสามีเราเกินไป ของบางอย่างก็เอาของเราไปกิน พอเราจะเอามากินก็ไม่มีแล้ว อย่างเช่นเพื่อนเราฝากผลไม้มาให้เราด้วยที่เราไม่อยู่บ้านเลยฝากไว้กับพี่เค้า เรากลับมาพี่เค้าก็บอกว่าเพื่อนฝากมาให้ อร่อยมากเลยพี่กินไปลูกนึง เราก็แบบคิดในใจ เห้ย! เค้าฝากให้เราทำไมมาแกะกินก่อนเราแบบนี้ใช่หรอ เราอดทนไม่ไหวแล้วค่ะ เราไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย ที่ต้องคอยซ่อนของ ต้องมาหวงของกินในบ้าน หรือเราต้องปรับความคิดของตัวเอง?ทุกคนช่วยเเนะนำหน่อยนะคะ
ช่วยเราหน่อยนะคะว่าเราควรทำยังไงดี หรือเราคุยกับพี่เค้าตรงๆได้ไหมค่ะ รบกวนทุกคนด้วยนะคะ ทุกคอมเม้นจะช่วยให้เราผ่านเรื่องนี้ไปได้
1. เราควรพูดยังไงกับสามีเราเรื่องนี้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะคุยแล้ว
2.หรือทุกคนเห็นว่าเราต้องปรับความคิด? ปรับอย่างไรตรงไหน
3. เราควรพูดกับพี่เค้าตรงๆอย่างไร ที่ผู้ใหญ่แบบพี่เค้าจะคิดได้บ้าง
ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าเราพิมตรงไหนผิดไป หรือเว้นวรรคทำให้อ่านยาก