เรื่องเล่า...แชร์ประสบการณ์การอยู่ร่วมบ้าน และการดูเเลผู้ป่วยโควิด-19 เเบบ Home Isolation

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราขอมาเเชร์ .. ประสบการณ์การอยู่ร่วมบ้าน การดูเเลผู้ป่วยโควิด-19 และอาการของผู้ป่วยค่ะ … ก่อนอื่นขอออกตัวไว้ก่อนนะคะว่าเราไม่รู้ว่าขั้นตอน วิธีการ หรือกระบวนการที่เราทำนั้นถูกต้องมากน้อยแค่ไหน แต่เราปฏิบัติตามความเข้าใจและข้อมูลที่ได้จากหลายๆแหล่ง และอยากจะมาแชร์ให้ทุกคนฟังคะ

          บ้านเราอยู่กัน 3 คน คุณเเม่ (71 ปี) พี่ชาย (48 ปี) เเละเรา (38 ปี) ค่ะ โดยเราได้รับวัคซีนไปแล้ว 1 เข็ม คุณเเม่ได้รับครบ 2 เข็ม แล้ว ส่วนพี่ชายโดนระบบเลื่อนค่ะ และในที่สุดพี่ชายเราก็ติดโควิด-19 ค่ะ.... โดยไม่ทราบแน่นอนว่าติดเมื่อไร และติดมาจากที่ใด เพราะพี่ขับรถส่วนตัว และนั่งทำงานในบ้านกับพี่สะใภ้ โดยบ้านนั้นไม่มีคนนอก และไม่มีลูกจ้างค่ะ (ธุรกิจส่วนตัว) พี่ชายไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ที่ไหน เลยคาดว่าน่าจะติดมาจากช่างที่มาทำบ้านค่ะ เพราะน้าชายอีกคนที่ช่วยคุมงานก็ติดโควิด-19 เช่นกัน

          ประมาณวันที่ 26 กรกฏาคมพี่ชายกลับมาถึงบ้านตอนเย็นเริ่มมีอาการแน่นจมูกค่ะ แต่ยังไม่มีอาการใดผิดปกติ

          วันที่ 27 กรกฏาคม เริ่มมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และไอ ค่ะ  

          วันที่ 28 กรกฏาคม เริ่มมีอาการมากขึ้น เริ่มแน่นจมูก เสียงเปลี่ยน ไอมากขึ้น เริ่มมีไข้อ่อนๆ และทานอาหารแล้วปากขมไม่ค่อยได้รสชาติ เราเลยบอกให้พี่ไปหาหมอเถอะ อย่างน้อยจะได้สบายใจว่าไม่เป็นอะไร
        
           วันที่ 29 กรกฏาคม พี่ชายเลยไปพบแพทย์ที่รพ. ซักประวัติและพบว่าไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงจึงไม่ได้มีการตรวจโควิด-19 ค่ะ หมอจ่ายยาพาราเซตามอล ยาแก้ไอ ยาแก้แพ้เพื่อลดน้ำมูก และให้ยาแก้ปวดเมื่อยมาค่ะ คราวนี้กลับมาถึงบ้านอาการไม่สบายเริ่มมากขึ้น ซึ่งเราคิดว่าอาจจะเพราะนั่งตากแอร์ที่รพ. หนาวๆนานเกินไป พอตกค่ำเท่านั้นค่ะ มีไข้ตัวร้อนสูงมาก หน้าแดงไปหมด คุณแม่กับเราต้องไปช่วยกันปฐมพยาบาลโดยการเช็ดตัว และเอาเจลเย็นประคบเพื่อลดไข้ค่ะ เช็ดตัวอยู่ครู่ใหญ่อุณหภูมิร่างกายก็ลดลงแต่ก็ยังร้อนอยู่ จากนั้นให้พี่ชายทานยาพารา และเข้านอนค่ะ

          และหลังจากนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่ตรวจพบเชื้อค่ะ

          1. ผู้ป่วยเเละผู้ดูเเลต้องตั้งสติให้ได้อย่างรวดเร็ว เม่าฝึกจิต

          วันที่ 30 กรกฏาคม ตื่นเช้ามาพี่ยังมีไข้อยู่ค่ะ แต่ดีกว่าเมื่อคืน ลงมาทานข้าวได้แต่นอนซมต่อทั้งวันค่ะ การรับรสชาติและการได้กลิ่นอาหารลดลง แต่เรายังคงคิดว่าเพราะเป็นไข้ก็เป็นแบบนี้แหละ จนกระทั่งเพื่อนและพี่สะใภ้ทักว่าให้ตรวจโควิด ด้วย ATK ก่อนดีไหม ถ้าติดจะได้รักษาทันเพราะว่าตอนนี้โควิดแสดงอาการไว และลงปอดไวมาก เราเลยออกไปซื้อชุดทดสอบค่ะ แต่ชุดทดสอบหมด ร้านบอกว่าอีก 1 ชั่วโมงของเข้า และที่ร้านมีบริการส่งของค่ะ เราเลยรีบกลับมาตั้งหลักที่บ้าน และสั่งชุดทดสอบ เทอร์โมมิเตอร์ และตัววัดออกซิเจนมาด้วยเลยค่ะ เผื่อต้องใช้
          เมื่อเราได้ชุดทดสอบมาเรายัง งง ว่าเป็นชุดทดสอบแบบไหน เพราะร้านไม่ได้ให้เอกสารแนะนำการใช้มาด้วย เลยลองสอบถามน้องที่เคยใช้ชุดทดสอบ และเพื่อนๆบุคลากรทางการแพทย์ไปค่ะ สรุปว่าของเราได้มาเป็นแบบ สวอปโพรงหลังจมูก (nasopharyngeal) หรือแบบที่เราเรียกเองว่าแหย่ลึก มาค่ะ เราก็ยังไม่กล้าทำให้พี่เพราะกลัวเค้าเจ็บ แต่พี่เราก็ไม่ยอมทดสอบเองแน่ๆ สุดท้ายเราเลยลากเก้าอี้ สวมถุงมือ ใส่แมสก์ แล้วดำเนินการสวอปให้พี่เอง พอหยดน้ำยาลงไป และน้ำยาแพร่ผ่านตัว T ไปไม่นานนัก เเสดงผลบวก ขีดแดงขึ้นทันทีค่ะ นั่นเเสดงให้ทราบว่า พี่เรา ติดโควิด !!! ค่ะ เท่านั้นแหละทุกคน งง ไปหมด ว่าต้องทำอะไร ยังไงบ้าง สติหลุดไปชัวครู่ และมึนงงมากๆ เพราะไม่คิดว่าจะมาเกิดขึ้นใกล้ตัวขนาดนี้
          พอตั้งสติได้บอกพี่ให้รีบใส่แมสก์ทันที ซึ่งเรากับแม่ก็ต้องใส่ด้วยเช่นกันค่ะ พร้อมคุยกันทั้ง 3 คน ว่าพี่ต้องแยกไปกักตัว ให้ขึ้นไปบนห้องตัวเองโดยด่วนค่ะ จากนั้นเราก็รีบแจ้งข่าวให้พี่สะใภ้ทราบ เมื่อพี่สะใภ้ทราบเลยทดสอบคนที่บ้าน และพบว่าน้าที่มีอาการคล้ายๆกันกับพี่ชายก็ติดเชื้อเช่นกันค่ะ คราวนี้หละพี่สะใภ้เลยต้องอยู่บ้านนู้นเพื่อดูแลน้า ส่วนพี่ชายเราก็อยู่บ้านนี้โดยมีเรากับแม่คอยดูแล จากนั้นเราโทรไปสอบถามขั้นตอนต่างๆ ว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง กับน้องที่ทำงานที่มีประสบการณ์ค่ะ คำแรกที่น้องเค้าบอกมาคือ “ตั้งสติให้ดีก่อน” ใช่ค่ะ เราต้องตั้งสติให้ดีค่ะ หากไม่มีสติเราจะทำอะไรไม่ได้เลย หลังจากทราบขั้นตอนคร่าวๆ ว่าเราต้องหาที่ตรวจ PCR ต่อค่ะ เพื่อให้พี่เราเข้าสู่ระบบการรักษาให้ได้ไวที่สุด คืนนั้นเราและแม่นอนกันไม่หลับเลยค่ะ คิดว่าต้องทำอะไรบ้าง แล้วจะทำอย่างไร จะหาที่รักษาที่ไหน วนเวียนอยู่ทั้งคืนเลยค่ะ และหลังจากวันนี้วิถีชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปทันทีเลยค่ะ


          2. หาที่ตรวจ PCR-test พร้อมทั้งหาวิธีที่จะนำตัวเองเข้าระบบการรักษาโดยไว
          วันที่ 31 กรกฏาคม หลังจากหลับๆตื่นๆมาทั้งคืน ประมาณ05.45 น เราได้โทรไปที่ รพ แห่งหนึ่ง เพื่อสอบถามเรื่องการตรวจ PCR เจ้าหน้าที่แจ้งว่าที่รพ.รับตรวจวันละ 300 คน (จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) โดยไม่มีการจองคิวต้องมาต่อคิวเอง และโดยส่วนใหญ่เค้ามาต่อคิวกันตั้งแต่ตี 4 และ 7 น ทางรพ จะเริ่มแจกคิวค่ะ เห็นดังนั้นเราคิดว่าวันนี้พี่ไปไม่ทันแน่นอนแล้ว พี่เราเลยบอกว่าพรุ่งนี้จะตื่นตี 4 ไปยืนต่อคิว .... โอ้ ผลบวก เป็นไข้ ไม่มีแรง ต้องไปยืนยิงยาวตี 4 -7 น คงไม่ไหวแน่ๆ เราเลยลองหาที่อื่นๆต่อไปค่ะ รวมทั้งหาข้อมูลต่างๆ ทั้งสายด่วน แอพพลิเคชัน เวปไซด์ ลงทะเบียนต่างๆ ระบบการจองเตียง ระบบการรักษาแบบ Home isolation อะไรหลายอย่าง เพื่อให้พี่เราเข้าระบบการรักษาโดยไวที่สุด
          สายด่วนต่างๆ เราโทรไม่ติดค่ะ เวปไซด์จองเตียง แอพพลิเคชัน หรืออื่นๆ ไม่มีผลใดๆ ค่ะ รวมถึงระบบที่บอกว่า ภายใน 48 ชั่วโมงจะมีคนติดต่อกลับ ก็ไม่มีคนติดต่อกลับค่ะ เข้าใจว่าคนใช้บริการน่าจะเยอะกว่าเจ้าหน้าที่ พี่ชายเราลงทะเบียนที่เพจ https://www.jitasa.care/ เพื่อขอความช่วยเหลือ ตกเย็นมีจิตอาสาโทรเข้ามาให้คำแนะนำกับเรา ถึงการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมกับทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลค่ะ โดยมีใจความสำคัญหลักๆ ที่จำได้ดังนี้
          1. ทุกคนในบ้านต้องสวมแมสก์ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้าน
          2. ให้ผู้ป่วยทานฟ้าทะลายโจร ในปริมาณที่ได้รับสารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มก./วัน โดยฟ้าทะลายโจรแต่ละยี่ห้อจะมีสารดังกล่าวอยู่ในปริมาณที่แตกต่างกันไป หากเรามีฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรฯ อยู่เม็ดละ 10 มก. เราต้องทานวันละ 18 เม็ด โดยแบ่งทานวันละ 3-4 มื้อ เพื่อให้ได้ครบ 180 มก./วันค่ะ
        3. ให้ทานวิตามินซีเพื่อเพิ่มภูมิให้ร่างกาย
          4. หากผู้ป่วยมีไข้ให้ทานพาราเซตตามอล หากแน่นจมูกมีน้ำมูกให้ทานยาแก้แห้และใช้ยาพ่นจมูก ให้การดูเเลเบื้องต้นโดยการรักษาตามอาการ
          5. ให้ผู้ป่วยกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปากบ่อยๆ และให้ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อป้องกัน/ชะลอ/ลดจำนวนเชื้อที่จะเข้าสู่ภายใน
          6. ผู้ดูแลผู้ป่วยต้องดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองให้แข็งแรง และป้องกันตัวเองให้ดี 
          7. เช็ดทำความสะอาดผิวสัมผัสต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ อย่างสม่ำเสมอ
          8. ให้วัดปริมาณออกซิเจน และอุณหภูมิร่างกายเรื่อยๆ และให้เราแจ้งอาการ รวมถึงค่าออกซิเจน และอุณหภูมิร่างกายทุกวัน วันละ 3 เวลา 
 จิตอาสาท่านนี้ก็จะคอยติดตามอาการและให้คำแนะนำเราเรื่อยๆ ค่ะ
          และวันนี้เองที่เราได้คิวการตรวจ PCR-test ให้พี่ชายได้ที่ รพ.ใกล้บ้านแห่งหนึ่งค่ะ โดยได้คิวตรวจวันที่ 1 สิงหาคม ค่ะ



          3. จัดระเบียบต่างๆในบ้านให้พร้อมกับการดูแลผู้ป่วย
           ในวันนี้ พี่ชายเริ่มมีอาการที่แย่ลง การรับรสชาติและกลิ่นอาหารหายไปอย่างสิ้นเชิง มีไข้อ่อนๆ ตลอดทั้งวัน เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ไม่มีแรงจะทำอะไรเลย ทานข้าวได้น้อยกว่าเดิมมาก ทานไม่กี่คำก็อิ่มแล้ว แต่การหายใจยังเป็นปกติ ค่าออกซิเจนยังดี อยู่ระหว่าง 97-98 ค่ะ เรายังคงจัดยาพาราฯ และฟ้าทะลายโจรให้พี่ทานหลังอาหาร 3 เวลาค่ะ โดยย้ำกับพี่ว่าต้องทานอาหารและยานะ ซึ่งพี่เราก็ฝืนทานค่ะ วันนี้เรากับแม่ยังคงวุ่นวายกับการจัดระเบียบต่างๆต่อ ค่อยๆ ปรับไปตามความเหมาะสมหน้างานค่ะ รวมทั้งทำความสะอาดบ้าน 
          วันนี้เรากับคุณแม่ทำใจที่จะทดสอบตัวเองด้วยชุดทดสอบ ATK ค่ะ เมื่อผลทดสอบเป็นลบก็สบายใจขึ้น เริ่มทำความสะอาดบ้านในจุดที่ที่พี่ชายสัมผัส เช่น โต๊ะทำงาน เก้าอี้ โซฟา และส่วนต่างๆ ค่ะ จากนั้นพยายามจัดระเบียบเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน โดยอิงจากข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และแจ้งให้พี่ชายที่กักตัวในห้องให้รับทราบและปฏิบัติตาม โดยเราและแม่ได้จัดระเบียบต่างๆภายในบ้าน ดังนี้
          1. ห้ามพี่ชายออกนอกห้อง เราจะทำอาหารไปวางไว้ให้หน้าห้องและให้พี่ทานในห้องเท่านั้น
          2. แยกห้องน้ำระหว่างพี่ และเรากับแม่ ซึ่งเดิมพี่เรากับแม่ใช้ห้องน้ำชั้นบนที่ติดกับห้องแม่ แต่ตอนนี้ปรับมาให้พี่ใช้แทน จะได้ไม่ต้องเดินผ่าบ้านลงมาชั้นล่าง และเรากับแม่มาใช้ห้องน้ำชั้นล่างแทน
          3. ทุกคนในบ้านต้องส่แมสก์ตลอดเวลา ยกเว้นเวลานอน
          4. เราและแม่จะต้องแยกกันทานข้าว หรือทำกิจกรรม ไม่เข้าใกล้กัน และเว้นระยะห่างค่ะ
          5. แยกจาน ชาม ช้อน ส้อม อุปกรณ์การล้าง และการจัดเก็บภาชนะของพี่ออกจากของใช้ของเรากับแม่ค่ะ
          6. ต้มน้ำร้อนราดอุปกรณ์การทานของพี่ทุกครั้งก่อนการล้าง และหากมีแดดจะนำตากแดดก่อนจัดเก็บ
           วันนี้กิจกรรมเยอะเลยค่ะ ประกอบกับเพลียสะสมมาหลายวันจากกิจกรรมในแต่ละวัน เลยเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่มเลยค่ะ



          4. รับการตรวจแบบ PCR-test เพื่อยืนยันผล และนำตัวเองเข้าระบบการรักษาทางการแพทย์
          วันที่ 1 สิงหาคม วันนี้พี่ชายที่ยังคงมีไข้และไม่มีแรงได้ขับรถพาตัวเองเพื่อไปตรวจ PCR-test ที่โรงพยาบาล ค่ะ ใช้เวลาค่อนข้างนานในการตรวจ และผลทดสอบจะออกภายใน 1 วันค่ะ ในวันนั้นเราก็ปฏิบัติกับพี่ตามเดิมค่ะ ทำอาหาร จัดยา เสริฟอาหาร เก็บ ต้มน้ำร้อน ราดฆ่าเชื้อ ล้าง ตากแดด ทำแบบนี้ 3 มื้อค่ะ โดยพยายามให้พี่ได้ทานครบ 3 มื้อ เพื่อให้ได้อาหารและยา เพราะแต่ละมื้อทานน้อยมากๆค่ะ 
          ตกเย็นมี sms แจ้งผลการตรวจเข้าเบอร์มือถือพี่ชาย ว่าผลบวก และมีเจ้าหน้าโทรมาแจ้งรายละเอียดว่า พรุ่งนี้ (วันที่ 2 สิงหาคม) ให้ไปทำการตรวจร่างกาย ประกอบด้วย เจาะเลือด / X-Ray ปอด/ CT-Scan/ ทดสอบการหายใจและวัดค่าออกซิเจน และให้เตรียมเสื้อผ้า 2-3 ชุด ไปด้วยเผื่ออาจต้องเข้าพักรพ. หรือรพ.สนาม หรือ Hospitel และเตรียมอาหารไป 2 มื้อ เพราะต้องใช้เวลาในการพบแพทย์ และตรวจร่างกายนาน


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่