Ep.9 ประสบการณ์สุดลี้ลับจนขนหัวลุกระหว่างโบกรถจากจอร์เจีย-อิสตันบูล (ร่วมเป็นสักขีพยานงานแต่งงาน+นอนบ้านคนตุรกี)

หลังจากที่ผมได้ไปเยือนความสวยงาม
ของประเทศที่ขึ้นชื่อว่า "สวิสของเอเชีย"
ผมออกเดินทางต่อด้วยการโบกรถจาก
ชายแดนจอร์เจีย-ตุรกี เป้าหมายกรุงอิสตันบูล
ระยะทางประมาณ 1,500 กิโลเมตร

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผม
ได้สัมผัสกับเรื่องลี้ลับขนหัวลุก
อีกทั้งเจอประสบการณ์ที่โคตรตลก
ได้เป็นแขกรับเชิญในงานแต่งงานและได้
ไปนอนที่บ้านของคนตุรกีด้วย
หากเพื่อนๆอยากทราบ
เรื่องราวและข้อมูลการเดินทางของผมเพิ่มเติมแบบ
ละเอียดยิบ สามารถเข้าไปติดตามได้ใน
FB Page : หาตังค์เที่ยวรอบโลก
YouTube : North Vlog

       หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรวจเช็คและประทับตราขาเข้าประเทศตุรกีให้ผมเป็นที่เรียบร้อย (ไม่ต้องขอวีซ่าเข้าตุรกี) ผมเดินออกจากอาคารและมุ่งหน้าสู่ถนนเส้นหลักทันที เพื่อทำการโบกรถอีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายครั้งนี้คือ กรุงอิสตันบูล

        ผมคำนวณไว้ว่าด้วยระยะทาง 1,500 กิโลเมตร ผมน่าจะใช้เวลาโบกรถประมาณ 3 วัน 2 คืน โบกวันละ 500 กิโลเมตร ซึ่งการคำนวณนี้มีผลกับการเตรียมเสบียงไว้ในกระเป๋าเป้ 

 

         ผมใช้เวลายืนโบกประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง มีคุณลุงและคุณป้าใจดีจอดรับ แต่เขาพาผมมาส่งแค่เพียง 250 กิโลเมตรเท่านั้น ผมจึงต้องโบกรถอีกครั้ง สรุปแล้วกว่าจะถึงเมือง "ทับซอน (Trabzon)" เมืองเป้าหมายของวันแรก มีคนจอดรถรับผมประมาณ 4 คน

          
         กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองทับซอน เวลาก็ล่วงเลยจนท้องฟ้าจะมืดอยู่แล้ว ผมจึงมองหาทำเลดีๆในการกางเต้นท์นอน ผมพบว่า เมืองทับซอนอยู่ติดชายหาดทะเลดำ ผมจึงนำเต็นท์ไปกางตรงชายหาดเลย เมืองทับซอนอยู่บนภูเขา มีตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมดบนภูเขาหลายลูก "ถ้าเป็นบ้านเราคงโดนเวรคืนกันระเนระนาดหมดแล้ว ฮ่าๆๆ"

          เช้าวันต่อมาเป็นเช้าที่น่าปวดหัวที่สุดเท่าที่เดินทางมา ขนมปังที่ผมกำลังนั่งกินอยู่หมดอายุ นมถั่วเหลืองที่ผมกำลังหยิบออกมากินแข็งเป็นก้อน เต็นท์ที่ใช้มาตลอดการเดินทางถูกลมทะเลพัดเข้าใส่อย่างหนักจนเต็นท์หัก แล้วผมจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี "โบกรถต่อดีมั้ย?" ถ้าโบกต่อแล้ว "ผมจะกินอะไร?" "นอนที่ไหน?" 

           ปัญหาต่างๆนานาเข้ามารุมล้อมอยู่ในหัวผมเต็มไปหมด ต้องยอมรับเลยว่าเป็นนาทีที่กดดันสุดๆ "หรือจะล้มเลิกแผนการณ์โบกรถดีนะ?" ผมใช้เวลานั่งครุ่นคิดสักพักจนได้คำตอบ

            ผมเก็บเต็นท์และสัมภาระทุกอย่างใส่ลงในกระเป๋า เขียนชื่อเมืองต่อไปลงบนป้ายกระดาษลัง แล้วเดินมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนสายหลักอีกครั้ง "เอาว่ะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ลองวัดดวงแล้วกัน" ผมเดินเข้าสู่ถนนอีกครั้ง

            แต่อุปสรรคของวันนี้มากมายเหลือเกิน ชัยภูมิของเมืองทับซอนตั้งอยู่บนภูเขา ถนนขึ้นๆลงๆ ซึ่งไม่ใช่ชัยภูมิที่เหมาะสำหรับการโบกรถ อีกทั้งสภาพอากาศของวันนี้ที่ค่อนข้างร้อนมาก ทำให้รู้สึกเพลียและกระหายน้ำอย่างหนัก แสงแดดที่กระทบกระจกรถทำให้ผมรู้สึกเวียนหัวจนอยากจะเป็นไมเกรนให้มันรู้แล้วรู้รอด

             ผมอธิษฐานในใจว่า "ขอแค่ใครสักคนพาผมออกจากที่นี่ ผมยอมไปหมด" หลังจากที่ผมยืนโบกอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง มีรถตู้คันหนึ่งขับมาจอดตรงหน้าของผม จากนั้นพวกเขาจึงเลื่อนกระจกลงมา

             ผมสะดุ้งทันทีที่เห็นใบหน้าพวกเขา "อาเคด้า" อาบัง 3 คนที่อยู่ในชุดประกอบพิธีกรรมของศาสนาอิสลาม 
และหนวดเครายาวเฟิ้ม เห็นแบบนี้ผมจึงยืนสตั้น 5 วินาที นี่คือ 5 วินาทีของการตัดสินใจ

             ผมตัดสินใจร่วมทางไปกับเขา ทันทีที่รถเคลื่อนตัวออก อาบังถามผมทันทีว่า "คุณนับถือศาสนาอะไร?" ขนลุกเลยครับอันนี้บอกตรงๆ "ถามแบบนี้ก็ได้หรอ?"

             ผมตอบเขาไปด้วยเสียงที่นุ่มนวลที่สุด "ศาสนาพุทธขอรับ" จากนั้นพวกเขาพูดเกี่ยวกับศาสนาอิสลามของเขาให้ผมฟัง

            ศาสนาอิสลามดีแบบนู้นแบบนี้ พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ถ้าเกิดคุณมีปัญหา พี่น้องชาวมุสลิมจะช่วยเหลือคุณ ในระหว่างที่กำลังพูด เขาหยิบอาหารที่อยู่ในกล่องยืนมาให้ผม "คุณเอาไปกินสิ" ผมรับมาและเปิดกล่องออกดู (ขออภัยที่ไม่มีรูปภาพประกอบ เพราะไม่กล้าเอากล้องออกมาถ่ายจริงๆ)

              "มียาพิษรึป่าวนะ?" แต่ด้วยความหิวสุดๆ ผมจึงตัดสินใจหยิบกิน "หลายๆครั้งผมมักค้นพบสัจธรรมชีวิตระหว่างการเดินทางนะ ตั้งแต่เกิดมาชีวิตนี้ไม่เคยลำบากและหิวโหยมากขนาดนี้ เข้าใจถึงชีวิตของการไม่มีและการดิ้นรนเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเลย

              ระหว่างที่ผมกำลังนั่งกินด้วยความหิวโหย พวกเขา 3 คนแบมือออกทั้งสองข้าง แล้วสวดมนต์ในภาษาอะไรก็ไม่รู้ "พวกคุณกำลังทำอะไร?" พวกเขาบอกว่าพวกเขากำลังสวดอวยพรให้ผมอยู่ ขอให้อัลเลาะห์คุ้มครองให้ผมเดินทางปลอดภัยและขอให้ผมโชคดี

               จากนั้นพวกเขาบอกให้ผมท่องบทสวดท่อนหนึ่งสวดตามพวกเขาให้ได้ ผมก็ต้องเออ ออ ห่อหมกตามพวกเขาไปก่อน "ยากชิบ" คิดในใจว่าภาษาอะไรก็ไม่รู้ เขาบอกว่าถ้าผมท่องบทสวดนี้ "อัลเลาะห์จะมาช่วย" 

                พวกเขาส่งผมได้แค่ 21 กิโลเมตรจากจุดขึ้นรถ พวกเขาพยายามเน้นย้ำให้ผมท่องบทนี้ในเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือ พร้อมทิ้งท้ายว่าถ้าหากคุณท่องแล้วอัลเลาะห์ไม่ช่วยคุณ พวกเราจะขับวนมารับคุณเอง

               ผมโบกรถอีกครั้งด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยสุดๆ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้กินอะไรด้วย "โบกไปเวียนหัวไป ชีวิต!!" 

                2 ชั่วโมงกับความว่างเปล่า ยังไม่มีใครจอดรถรับสักคน "โอ้ย จะเป็นลมอยู่แล้วเนี่ย มาสักทีเถอะ" ก็ยังคงไร้วี่แววผู้ให้ความช่วยเหลือ 
  
                2 ชั่วโมงครึ่งผ่านไปร่างกายยิ่งเหนื่อยล้ามากขึ้น ทันใดนั้นผมคิดถึงคำที่อาบังพูด "บทสวด" แต่มันจะได้ผลจริงๆหรอ? ยอมรับเลยว่าไม่เชื่อนะว่าสวดแล้วอัลเลาะห์จะมาช่วยจริงๆ แต่ท่องท่อนเดียวเอง ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย?" ผมจึงลองท่องดู "kfnfofndlxldor"

               หลังจากผมท่องจบ "เอาแล้วไง บังหลอกตรูแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย" อีกทั้งพอท่องจบ บนถนนกลับ เงียบกริบ ไม่มีรถสักคันวิ่งผ่านเลย "มันจะเกิดขึ้นจริงได้ไงเล่า"

               "ปี๊บๆๆ" หลังจากผมท่องบทสวดจบไป 5 นาที มีเสียงบีบแตรดังมาจากทางด้านหลัง ผมหันควับไปหาต้นตอของเสียงทันที ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งขับรถย้อนศรมาและกำลังโบกมือเรียกผมอยู่

                ผมจึงรีบวิ่งไปหาเขาทันที เขาบอกว่าเขาจะไปเมืองที่ผมถือป้ายอยู่พอดี เมืองซัมซุน "โอ้โห ผมนี่ขนลุกเลย แต่ก็ยังคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ"  ผมจึงถามเขาไปว่า "ทำไมเมื่อกี้คุณถึงขับย้อนศรมารับผม?"

                 เขาอธิบายให้ผมฟังว่า ตอนแรกเขาขับมาด้วยความเร็วสูง เขาเห็นผมแล้วแต่ไม่สามารถหยุดจอดได้ ดังน้นเขาจึงทำได้เพียงอวยพรให้ผมโชคดี แต่ในวินาทีที่เขากำลังขับผ่านจุดที่ผมกำลังยืนโบกรถ เขาบอกว่าเหมือนกับมีใครมากระซิบที่หูของเขาว่า "จอดรับเด็กคนนี้เดี๋ยวนี้" เขาจึงย้อนศรกลับมารับผม "เชี่ย!! ขนลุกสุดๆ"  


 
เขาพาไปกินเคบับไก่+สลัดตุรกี


         16.30 น. เขาพาผมมายังเมืองเป้าหมายวันนี้ของผมแล้ว ผมคงต้องบอกลาเขาตรงไหนสักแห่งที่เขาจอดให้ผม แต่เรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น เขากลับเอ่ยปากชวนให้ผมไปร่วมงานแต่งงานพี่ชายเขาด้วย "Why's not?" ไม่ปฎิเสธอยู่แล้ว อยากไปดูเหมือนกันว่า คนตุรกีเขาแต่งงานกันอย่างไร? ผมจึงได้ไปเป็นสักขีพยานรักในงานแต่งงานครั้งนี้เลย (ไม่รู้เป็นญาติฝ่ายไหนของเขาเนอะ?) ฮ่าๆๆ


        หลังจากพิธีเสร็จสิ้น พวกเขาจึงพากันไปรับประทานดินเนอร์ที่ร้านอาหารตุรกีสุดหรู ซึ่งเขายังเชิญให้ผมไปร่วมดินเนอร์ด้วย

       ระหว่างที่ทานดินเนอร์ "วันนี้คุณไม่ควรจะโบกรถต่อแล้วนะ ผมชวนคุณไปนอนที่บ้านผม เพราะตอนนี้มันใกล้จะมืดค่ำแล้ว" ผมจึงตอบตกลงไปแต่โดยดี



       เสบียงหมดอายุ แต่ก็มีผู้คนชาวตุรกีหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือ เชื่อมั้ยว่าคืนนั้น ครอบครัวของหนุ่มชาวตุรกีคนนี้พาผมไปกินทั้งคืน พาไปกินจนถึงตีสองอะ 

      เต็นท์หัก ฃผมได้นอนเตียงสปริงนุ่มสบาย เขาดูแลผมดีมาก เขานำเสื้อผ้าที่กลิ่นหอมมากมาให้ผมเปลี่ยน เอาเสื้อผ้าทั้งหมดของผมไปซักให้ เอาขนม ผลไม้ น้ำดื่ม โค้ก เป๊ปซี่ต่างๆ มาให้ผมกินเต็มไปหมด อีกทั้งยังเอาถุงเท้าคู่ใหม่มามอบให้ผม 5 คู่เป็นของขวัญให้ผมใส่ตอนเดินทาง 

       เพื่อนๆจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแต่ละคนเลยครับ?

       สุดท้ายนี้ผมก็ต้องโบกรถต่อไปเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย "กรุงอิสตันบูล" ผมเดินออกไปบนถนนอีกครั้ง และยกป้ายที่ยังเขียนไม่เสร็จดี

0 วินาทีในการโบกรถครั้งนี้
ยกปุ๊บมีคนจอดรับปั๊บ พร้อมทั้งพาผมไปส่งถึง
กรุงอิสตันบูลโดยสวัสดิภาพ
ยังมีอะไรที่น่าขนลุกมากกว่านี้อีกมั้ย?

- ติดตามตอนต่อไป -


  
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่