HUAWEI WATCH จัดว่าเป็น Smartwatch ที่ทำออกมาได้ดีและลงตัวไม่ว่าจะเป็นรุ่น 2 ก่อนหน้าหรือรุ่นแรก จุดเด่นของมันจริงๆที่ใช้งานมาต้องบอกว่าเรื่องของฟีเจอร์ แบต และภาพรวมนั้นไม่ธรรมดาและราคาก็จับต้องได้สมกับคุณภาพที่ได้ อีกทั้งแบรนด์นี้ก็ยังคงพัฒนาสินค้า AIoT แบบเน้นๆขึ้นเรื่อยๆและมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบ ฟีเจอร์ การควบคุมหรือว่าครั้งนี้ที่พัฒนาขึ้นในทุกๆส่วนแล้วด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับ HARMONY OS 2.0 อีกครั้งแบบเต็มระบบในตัว นาฬิกาบอกเลยว่าไม่ธรรมดา และยังคงใช้งานร่วมกับมือถือทั่วไปได้สบาย ในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบหลักๆหรูหราสวยขึ้น ปุ่มควบคุมแบบใหม่ และ ฟีเจอร์สุขภาพใหม่ๆทั้งหมด ทั้งการวัด ชีพจร , ออกซิเจนในเลือด ,การวัดอุณหภูมิผิวหนัง,การตรวจจับการล้ม เป็นต้น และฟีเจอร์หน้าจอ งานออกแบบสวยขึ้น พร้อมกับตัวเรือนรองรับการชาร์จไร้สาย และ โหมดออกกำลังอีกมากมายเลยทีเดียว
HUAWEI WATCH 3 มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED แบบโค้งขนาด 1.43 นิ้วแบบตอบสนองเร็ว, ปุ่มด้านข้าง และขอบตัวเครื่องหมุนได้อย่างอิสระ ตัวหน้าปัดมาพร้อมหน้าปัดเริ่มต้นให้เลือกกว่า 30 แบบรวมทั้งแบบขยับได้ (animated) และสามารถเลือกได้อีกกว่า 1000 แบบใน HUAWEI Watch Face Store หรือจะสร้างหน้าปัดเองโดยใช้คลิปวิดิโอความยาว 5-10 วินาทีได้เช่นกัน ภายในตัวสมาร์ตวอทช์รองรับการใช้ eSIM เพื่อใช้รับ-โทรได้ด้วยตนเอง ด้วยไมโครโฟนและลำโพงในตัว รวมทั้งรองรับเครือข่าย 4G และความจำภายใน 16GB สำหรับเปิดและจัดเก็บเพลงได้โดยไม่ต้องใช้สมาร์ตโฟน นอกจากนี้ยังสามารถโหลดแอปต่าง ๆ บน HUAWEI AppGallery ลงบนตัวสมาร์ตวอทช์ได้เช่นกัน ตัว HUAWEI WATCH ยังสามารถควบคุมการรับสายโทรศัพท์หรือปิดเสียงเรียกเข้าได้ นอกจากนั้นยังมาพร้อมโหมดออกกำลังกายมากกว่า 100 โหมด, โหมด Pro 19 โหมดสำหรับโหมดกีฬาทั้งแบบ indoor และ outdoor โหมด custom อีก 85 โหมด รวมทั้งสามารถตรวจจับการออกกำลังกายแบบพื้นฐานได้ 6 โหมด ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ได้แก่ การควบคุมการถ่ายรูป (Remote Shutter), การตรวจจับอุณหภูมิผิวหนัง, เซนเซอร์วัดการเต้นหัวใจ TruSeen 4.5 ที่ใช้ไฟ LED แบบ 6-in-1 และ 4 photodiodes รวมทั้งมาพร้อมเซนเซอร์ SpO2 นอกจากนี้การตกทุกรูปแบบจะทำให้ HUAWEI WATCH 3 เข้าสู่โหมดฉุกเฉินและติดต่อคอนแทคที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ ตัวเครื่องของกันน้ำได้ 5ATM ส่วนทางด้านราคาเองนั้นมาพร้อมกับ 12,990 บาท
UNBOX
- ตัวเครื่อง HUAWEI WATCH 3
- สายขนาด 22 มม. 1 ขนาด ติดมากับตัวเรือน
- ที่ชาร์จแบบไร้สาย Magnet พร้อมหัว UAB-A
- คู่มือการใช้งาน
DESIGN
งานออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่น 2 ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ ตัวเรือนต่างๆอีกทั้งในเรื่องของปุ่ม การออกแบบการควบคุมและฝาหลังตัวเรือนที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเลยจริงๆ ถือว่าเป็นจุดที่พัฒนาได้น่าสนใจและบอกเลยว่าสวยงามกว่ารุ่นก่อนหน้าทันทีแต่ถ้ามองถามว่าความสายลุยรุ่นนี้อาจจะไม่ได้เท่ากับรุ่นก่อน เพราะว่าหน้าปัดโค้งมนอะไรมากขึ้น มินิมอลสวยหรูขึ้น แต่ถ้าชอบสายลุยนั้นจะมีตัว 3 Pro หน้าปัดและเส้นสายจะดุดันกว่านั้นเองครับ ส่วนน้ำหนักอะไรนั้นด้วยการที่เปลี่ยนวัสดุแบบใหม่ สแตนเลส ผสม เซรามิกทั้งหน้าและหลัง ทำให้หนักกว่าบอดี้พลาสติกแบบรุ่นก่อนครับ แต่ก็ได้ความแข็งแรง พรีเมี่ยมมากขึ้นส่วนตัวชอบแบบใหม่และผิวสัมผัสใช้งานดูแพงกว่าชัดเจนครับ
งานออกแบบเราจะเห็นว่าตัวเรือนนั้นมีความโค้งมนมากขึ้น 3 มิติทั้งหน้าและหลัง ขอบกระจกหน้าจอโค้งและฝาหลังโค้งไปทุกๆส่วนจากที่รุ่นก่อนหน้า จะเน้นความเหลี่ยมสันมากขึ้นนั้นเอง แต่ตัวสายเองนั้นใช้งานแบบเดิมพร้อมกับขนาดเดิม สามารถสลับใช้งานกับรุ่นก่อนหน้าได้ หรือว่าไปหาซื้อสายทั่วไปได้ด้วยเช่นกันครับ สำหรับขนาดนั้น จะหนาประมาณ 12.15 มม. และตัวเรือนนั้นจะมีน้ำหนัก 54 กรัม (ไม่รวมสายรัดข้อมือ) ก็ถือว่ากลางๆไม่เบาไม่หนัก
ทางด้านสายเป็นขนาด 22มม.มาตรฐานสากล สามารถเดินไปเลือกสายที่ร้านนาฬิกาได้แบบง่ายๆ หรือจะสั่งสายตัวก่อนหน้ามาเปลี่ยนใช้งานก็ได้เช่นกัน เพราะเท่าที่ลองนั้นสลับใส่ใช้งานได้เลยครับ ขนาดและตัวล็อกแบบเดียวกัน ส่วนสายที่ให้มานั้นเป็นยางซิลิโคนสีดำเรียบๆไม่ได้มีลวดลายอะไรเท่าไร นิ่มกำลังดีและสามารถปรับขนาดได้เยอะมากๆเช่นกัน ตัวล็อกให้มา 2 อันสำหรับล็อกเพื่อความแน่นหนาเวลาออกกำลัง อีกทั้งการเปลี่ยนสายยังคงเป็นสลักแบบรุ่นก่อนแต่ออกแบบเรียบๆมากขึ้น สามารถถอดได้ง่ายและไม่ต้องใช้งานเครื่องมืออะไร ทำให้เปลี่ยนเองได้เลย
ตัวหน้าจอนั้นมีขนาดใหญ่เต็มขอบมากขึ้นมาพร้อมกับกระจกด้านหน้าแบบขอบโค้ง 3 มิติแตกต่างกับรุ่นก่อน เน้นความสวยงามมากขึ้น แต่เรื่องฟิล์มอาจจะหายากนิดหน่อยครับ หน้าจอใช้งาน หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว (466×466พิกเซล) ที่มี PPI 326/60Hz รองรับการสัมผัสที่เนียนตามากขึ้น และสู้แสงได้สวยงามและมี Always On Display ด้วยเช่นกัน ส่วนในด้านหลังนั้นเราจะเห็นว่า สวยหรูกว่าเดิมพร้อมกับไม่มีแถบทองแดงแล้ว ในรุ่นนี้เลยเป็นการชาร์จไร้สายแทนครับ และมีการเขียนสเปก และเซนเซอร์การวัดแบบใหม่ตรงกลางที่ทำงานได้ดีขึ้นด้วย วัดการเต้นหัวใจ TruSeen 4.5 ที่ใช้ไฟ LED แบบ 6-in-1 และ 4 photodiodes ทำให้รองรับการทำงานเต็มรูปแบบ ทั้งวัด ออกซิเจนในเลือด การวัด อุณหภูมิผิวหนังที่รุ่นก่อนหน้าไม่มี รองรับการวัดชีพจรตลอดเวลาเช่นเดิมครับ
ตัวเรือนที่เราเห็นแน่นอนว่าความหนาอะไรนั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ใหญ่แบบรู้สึกชัดเจนแต่ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนนั้นจะเป็นการออกแบบปุ่ม และส่วนอื่นๆใหม่ทั้งหมดจะเห็นว่าหน้าจอขอบเครื่องโค้งสวยงาม ส่วนด้านขวานั้นจะเป็นปุ่มควบคุมแบบใหม่ ที่เป้นคล้ายเม็ดกระดุม แต่สามารถหมุนควบคุมสั่งงานได้ด้วย แอบคล้ายอีกค่ายนิดนึงนะส่วนนี้ และสามารถกดอะไรได้เช่นเดิม ถือว่าเป็นการเปลี่ยนการควบคุมทำให้เวลาเลื่อนในหน้าจอได้ง่ายขึ้น และ ปุ่มหลักก็ยังคงใส่เข้ามา และเราจะเห็นตัว ลำโพงที่ใหญ่กว่าเดิม พร้อมกับระบบไล่น้ำใส่เข้ามาให้ และไมค์นั้นจะอยู่ในฝั่งซ้าย
ขอเทียบงานออกแบบกับ GT รุ่น 2 นิดหน่อยแน่นนอว่าหน้าจอเปลี่ยนแปลงชัดเจนขนาดที่ใหญ่ขึ้น สู้แสงได้ดีขึ้น และสีสวยตรงขึ้น อีกทั้งการสัมผัสเนียนมือและไหลลื่นกว่าเพราะว่าปรับมาใช้ 60Hz และงานออกแบบจากหน้าจอเรียบๆนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเป็นหน้าจอขอบโค้ง และปุ่มต่างๆเปลี่ยนแปลงใหม่หมด แต่เส้นขอบๆขอบหน้าจอจะหายไปจะไปอยู่ในรุ่น 3 Pro แทนนั้นเอง ซึ่งถ้าใครชอบความเท่ๆลุยๆ แนะนำไป 3 Pro มากกว่า ส่วนทางด้านสายเองนั้นลองให้แล้ว สามารถสลับใช้งานเปลี่ยนได้อิสระเลยครับ รองรับได้ทั้งหมด และยังเปลี่ยนแบบสายทั่วไปได้ด้วยเช่นกัน
SPEC
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว (466×466พิกเซล) ที่มี PPI 326
- ชิปประมวลผล Hi6262
- RAM 2GB + ความจำภายใน 16GB
- ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 2.0, เชื่อมต่อได้กับอุปกรณ์ Android 6.0 หรือสูงกว่า, iOS 9.0 หรือสูงกว่า
- มีปุ่มด้านบนและด้านล่าง มีกรอบหน้าปัดหมุนได้
- เซนเซอร์: Accelerometer sensor, Gyro sensor, Geomagnetic sensor, เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ, Ambient light sensor, Barometric pressure sensor, เซนเซอร์อุณหภูมิ
- ไมโครโฟนและลำโพงในตัว
- กันน้ำและกันฝุ่น (5ATM)
- โหมดออกกำลังมากกว่า 100 โหมด สามารถตรวจจับการออกกำลังกายพื้นฐานได้ 6 ประเภท, ติดตามการนอน, แสดงผลการเต้นหัวใจ, ตรวจจับออกซิเจน SpO2, ตรวจจับอุณหภูมิผิวหนัง
- ขนาดตัวเครื่อง Watch 3 : 46.2 x 46.2 x 12.15มม.; น้ำหนัก: 54 กรัม (ไม่รวมสายรัดข้อมือ)
- รองรับเครือข่าย 4G LTE (ผ่าน eSIM), Wi-Fi, Bluetooth 5.2, GPS (L1 + L5 เฉพาะในรุ่น Pro) +GLONASS + Galileo + Beidou, NFC
- แบตเตอรี่ของ WATCH 3: 450mAh ที่ใช้งานติดต่อกันได้ 3 วันเมื่อใช้ smart mode, และใช้งานได้ 14 วันเมื่อใช้โหมดประหยัดพลังงาน
SOFTWARE
ทางด้านระบบที่ใช้ในมือถือนั้นต้องใช้แอป Huawei Health นะครับ โหลดจาก Playstore ได้เลยไม่ต้องไปสแกนบนตัวนาฬิกาให้ยุ่งยากนะครับ เหมือนโหลดมาแล้วก็เชื่อมต่อปกติได้เลยไม่มีอะไรยากครับ เปิด Bluetooth บนมือถือแล้วมันก็จะจับหามาให้ แอปนั้นใช้งานง่ายครับ มีภาษาไทยอะไรเรียบร้อย และ หน้าตาใช้งานไม่ยุ่งยากครับผม และ ยังรองรับการใช้งานกับ Android , iOS ทั่วไปได้ครับ และ สามารถใช้งานกับ Mate 30 Pro ได้ปกติเลย
หน้าตาในการใช้งานแอปนั้นจะมี 4 หน้าหลักๆคือ หน้าหลักภาพซ้ายสุด คอยสรุปทั้งหมดในเรื่องของการออกกำลังกาย หน้าถัดมานั้นคือการเข้าโหมด ออกกำลังที่สามารถเข้าผ่านมือถือหรือ นาฬิกาก็ได้ และยังมี ครูฝึกให้เราด้วย ส่วนขวานั้นจะเป็นข้อมูลนาฬิกาของเรา และ บอกสถานะล่าสุดต่างๆของนาฬิกา และตัวขวาสุดนั้นเป็นข้อมูลส่วนตัว การตั้งค่าเป้าหมายและน้ำหนักอะไรพวกนี้ไปตั้งค่าได้เลยครับ และ มีการสรุปเหรียญของเราด้วยว่าทำอะไรได้ถึงเป้าหมายบ้าง
หน้าตาหลักๆก็จะบอกสถานะแบต การเดิน การเผาผลาญต่างๆอีกทั้งหน้าปัดบางส่วน และตั้งค่าทั้งหมดสามารถเข้ามาได้ รวมถึงการทำ eSIM ก็รองรับได้ด้วยสามารถติดต่อเครือข่ายในไทยทำได้เลยครับบอกเลยว่าสะดวกมากๆ
การตั้งค่าเตือนก็สามารถตั้งได้ว่าจะเป็นแบบการแจ้งเตือนอะไรบ้าง การนอนให้ตรวจจับเองเลยหรือไม่ การตรวจจับความเครียด หรือ SpO2 ก็สามารถตั้งค่าได้ทั้งหมด อีกทั้ง การตรวจจับอุณหภูมิผิว ซึ่งถ้าเปิดแบบเต็มทั้งหมดแบตก็จะลดไปไวขึ้นนั้นเองครับอาจจะได้ 2-3 วันเท่านั้น แต่ถ้าปิดหมดก็ยืดอายุแบตได้ด้วยเช่นกัน หรือว่าจะเป็นการแจ้งเตือนแอปก็รองรับได้ทั้งหมด และ หน้าตา Watchface เยอะมากและซื้อก็ได้หรือว่าจะเป็นแบบฟรีก็เยอะเช่นกัน
[SR] รีวิว HUAWEI WATCH 3 พร้อม Harmony OS จอ OLED รองรับ eSIM , SpO2 ฟีเจอร์แน่น !
HUAWEI WATCH จัดว่าเป็น Smartwatch ที่ทำออกมาได้ดีและลงตัวไม่ว่าจะเป็นรุ่น 2 ก่อนหน้าหรือรุ่นแรก จุดเด่นของมันจริงๆที่ใช้งานมาต้องบอกว่าเรื่องของฟีเจอร์ แบต และภาพรวมนั้นไม่ธรรมดาและราคาก็จับต้องได้สมกับคุณภาพที่ได้ อีกทั้งแบรนด์นี้ก็ยังคงพัฒนาสินค้า AIoT แบบเน้นๆขึ้นเรื่อยๆและมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบ ฟีเจอร์ การควบคุมหรือว่าครั้งนี้ที่พัฒนาขึ้นในทุกๆส่วนแล้วด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับ HARMONY OS 2.0 อีกครั้งแบบเต็มระบบในตัว นาฬิกาบอกเลยว่าไม่ธรรมดา และยังคงใช้งานร่วมกับมือถือทั่วไปได้สบาย ในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบหลักๆหรูหราสวยขึ้น ปุ่มควบคุมแบบใหม่ และ ฟีเจอร์สุขภาพใหม่ๆทั้งหมด ทั้งการวัด ชีพจร , ออกซิเจนในเลือด ,การวัดอุณหภูมิผิวหนัง,การตรวจจับการล้ม เป็นต้น และฟีเจอร์หน้าจอ งานออกแบบสวยขึ้น พร้อมกับตัวเรือนรองรับการชาร์จไร้สาย และ โหมดออกกำลังอีกมากมายเลยทีเดียว
HUAWEI WATCH 3 มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED แบบโค้งขนาด 1.43 นิ้วแบบตอบสนองเร็ว, ปุ่มด้านข้าง และขอบตัวเครื่องหมุนได้อย่างอิสระ ตัวหน้าปัดมาพร้อมหน้าปัดเริ่มต้นให้เลือกกว่า 30 แบบรวมทั้งแบบขยับได้ (animated) และสามารถเลือกได้อีกกว่า 1000 แบบใน HUAWEI Watch Face Store หรือจะสร้างหน้าปัดเองโดยใช้คลิปวิดิโอความยาว 5-10 วินาทีได้เช่นกัน ภายในตัวสมาร์ตวอทช์รองรับการใช้ eSIM เพื่อใช้รับ-โทรได้ด้วยตนเอง ด้วยไมโครโฟนและลำโพงในตัว รวมทั้งรองรับเครือข่าย 4G และความจำภายใน 16GB สำหรับเปิดและจัดเก็บเพลงได้โดยไม่ต้องใช้สมาร์ตโฟน นอกจากนี้ยังสามารถโหลดแอปต่าง ๆ บน HUAWEI AppGallery ลงบนตัวสมาร์ตวอทช์ได้เช่นกัน ตัว HUAWEI WATCH ยังสามารถควบคุมการรับสายโทรศัพท์หรือปิดเสียงเรียกเข้าได้ นอกจากนั้นยังมาพร้อมโหมดออกกำลังกายมากกว่า 100 โหมด, โหมด Pro 19 โหมดสำหรับโหมดกีฬาทั้งแบบ indoor และ outdoor โหมด custom อีก 85 โหมด รวมทั้งสามารถตรวจจับการออกกำลังกายแบบพื้นฐานได้ 6 โหมด ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ได้แก่ การควบคุมการถ่ายรูป (Remote Shutter), การตรวจจับอุณหภูมิผิวหนัง, เซนเซอร์วัดการเต้นหัวใจ TruSeen 4.5 ที่ใช้ไฟ LED แบบ 6-in-1 และ 4 photodiodes รวมทั้งมาพร้อมเซนเซอร์ SpO2 นอกจากนี้การตกทุกรูปแบบจะทำให้ HUAWEI WATCH 3 เข้าสู่โหมดฉุกเฉินและติดต่อคอนแทคที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ ตัวเครื่องของกันน้ำได้ 5ATM ส่วนทางด้านราคาเองนั้นมาพร้อมกับ 12,990 บาท
UNBOX
- ตัวเครื่อง HUAWEI WATCH 3
- สายขนาด 22 มม. 1 ขนาด ติดมากับตัวเรือน
- ที่ชาร์จแบบไร้สาย Magnet พร้อมหัว UAB-A
- คู่มือการใช้งาน
DESIGN
งานออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่น 2 ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ ตัวเรือนต่างๆอีกทั้งในเรื่องของปุ่ม การออกแบบการควบคุมและฝาหลังตัวเรือนที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเลยจริงๆ ถือว่าเป็นจุดที่พัฒนาได้น่าสนใจและบอกเลยว่าสวยงามกว่ารุ่นก่อนหน้าทันทีแต่ถ้ามองถามว่าความสายลุยรุ่นนี้อาจจะไม่ได้เท่ากับรุ่นก่อน เพราะว่าหน้าปัดโค้งมนอะไรมากขึ้น มินิมอลสวยหรูขึ้น แต่ถ้าชอบสายลุยนั้นจะมีตัว 3 Pro หน้าปัดและเส้นสายจะดุดันกว่านั้นเองครับ ส่วนน้ำหนักอะไรนั้นด้วยการที่เปลี่ยนวัสดุแบบใหม่ สแตนเลส ผสม เซรามิกทั้งหน้าและหลัง ทำให้หนักกว่าบอดี้พลาสติกแบบรุ่นก่อนครับ แต่ก็ได้ความแข็งแรง พรีเมี่ยมมากขึ้นส่วนตัวชอบแบบใหม่และผิวสัมผัสใช้งานดูแพงกว่าชัดเจนครับ
งานออกแบบเราจะเห็นว่าตัวเรือนนั้นมีความโค้งมนมากขึ้น 3 มิติทั้งหน้าและหลัง ขอบกระจกหน้าจอโค้งและฝาหลังโค้งไปทุกๆส่วนจากที่รุ่นก่อนหน้า จะเน้นความเหลี่ยมสันมากขึ้นนั้นเอง แต่ตัวสายเองนั้นใช้งานแบบเดิมพร้อมกับขนาดเดิม สามารถสลับใช้งานกับรุ่นก่อนหน้าได้ หรือว่าไปหาซื้อสายทั่วไปได้ด้วยเช่นกันครับ สำหรับขนาดนั้น จะหนาประมาณ 12.15 มม. และตัวเรือนนั้นจะมีน้ำหนัก 54 กรัม (ไม่รวมสายรัดข้อมือ) ก็ถือว่ากลางๆไม่เบาไม่หนัก
ทางด้านสายเป็นขนาด 22มม.มาตรฐานสากล สามารถเดินไปเลือกสายที่ร้านนาฬิกาได้แบบง่ายๆ หรือจะสั่งสายตัวก่อนหน้ามาเปลี่ยนใช้งานก็ได้เช่นกัน เพราะเท่าที่ลองนั้นสลับใส่ใช้งานได้เลยครับ ขนาดและตัวล็อกแบบเดียวกัน ส่วนสายที่ให้มานั้นเป็นยางซิลิโคนสีดำเรียบๆไม่ได้มีลวดลายอะไรเท่าไร นิ่มกำลังดีและสามารถปรับขนาดได้เยอะมากๆเช่นกัน ตัวล็อกให้มา 2 อันสำหรับล็อกเพื่อความแน่นหนาเวลาออกกำลัง อีกทั้งการเปลี่ยนสายยังคงเป็นสลักแบบรุ่นก่อนแต่ออกแบบเรียบๆมากขึ้น สามารถถอดได้ง่ายและไม่ต้องใช้งานเครื่องมืออะไร ทำให้เปลี่ยนเองได้เลย
ตัวหน้าจอนั้นมีขนาดใหญ่เต็มขอบมากขึ้นมาพร้อมกับกระจกด้านหน้าแบบขอบโค้ง 3 มิติแตกต่างกับรุ่นก่อน เน้นความสวยงามมากขึ้น แต่เรื่องฟิล์มอาจจะหายากนิดหน่อยครับ หน้าจอใช้งาน หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว (466×466พิกเซล) ที่มี PPI 326/60Hz รองรับการสัมผัสที่เนียนตามากขึ้น และสู้แสงได้สวยงามและมี Always On Display ด้วยเช่นกัน ส่วนในด้านหลังนั้นเราจะเห็นว่า สวยหรูกว่าเดิมพร้อมกับไม่มีแถบทองแดงแล้ว ในรุ่นนี้เลยเป็นการชาร์จไร้สายแทนครับ และมีการเขียนสเปก และเซนเซอร์การวัดแบบใหม่ตรงกลางที่ทำงานได้ดีขึ้นด้วย วัดการเต้นหัวใจ TruSeen 4.5 ที่ใช้ไฟ LED แบบ 6-in-1 และ 4 photodiodes ทำให้รองรับการทำงานเต็มรูปแบบ ทั้งวัด ออกซิเจนในเลือด การวัด อุณหภูมิผิวหนังที่รุ่นก่อนหน้าไม่มี รองรับการวัดชีพจรตลอดเวลาเช่นเดิมครับ
ตัวเรือนที่เราเห็นแน่นอนว่าความหนาอะไรนั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ใหญ่แบบรู้สึกชัดเจนแต่ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนนั้นจะเป็นการออกแบบปุ่ม และส่วนอื่นๆใหม่ทั้งหมดจะเห็นว่าหน้าจอขอบเครื่องโค้งสวยงาม ส่วนด้านขวานั้นจะเป็นปุ่มควบคุมแบบใหม่ ที่เป้นคล้ายเม็ดกระดุม แต่สามารถหมุนควบคุมสั่งงานได้ด้วย แอบคล้ายอีกค่ายนิดนึงนะส่วนนี้ และสามารถกดอะไรได้เช่นเดิม ถือว่าเป็นการเปลี่ยนการควบคุมทำให้เวลาเลื่อนในหน้าจอได้ง่ายขึ้น และ ปุ่มหลักก็ยังคงใส่เข้ามา และเราจะเห็นตัว ลำโพงที่ใหญ่กว่าเดิม พร้อมกับระบบไล่น้ำใส่เข้ามาให้ และไมค์นั้นจะอยู่ในฝั่งซ้าย
ขอเทียบงานออกแบบกับ GT รุ่น 2 นิดหน่อยแน่นนอว่าหน้าจอเปลี่ยนแปลงชัดเจนขนาดที่ใหญ่ขึ้น สู้แสงได้ดีขึ้น และสีสวยตรงขึ้น อีกทั้งการสัมผัสเนียนมือและไหลลื่นกว่าเพราะว่าปรับมาใช้ 60Hz และงานออกแบบจากหน้าจอเรียบๆนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเป็นหน้าจอขอบโค้ง และปุ่มต่างๆเปลี่ยนแปลงใหม่หมด แต่เส้นขอบๆขอบหน้าจอจะหายไปจะไปอยู่ในรุ่น 3 Pro แทนนั้นเอง ซึ่งถ้าใครชอบความเท่ๆลุยๆ แนะนำไป 3 Pro มากกว่า ส่วนทางด้านสายเองนั้นลองให้แล้ว สามารถสลับใช้งานเปลี่ยนได้อิสระเลยครับ รองรับได้ทั้งหมด และยังเปลี่ยนแบบสายทั่วไปได้ด้วยเช่นกัน
SPEC
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว (466×466พิกเซล) ที่มี PPI 326
- ชิปประมวลผล Hi6262
- RAM 2GB + ความจำภายใน 16GB
- ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 2.0, เชื่อมต่อได้กับอุปกรณ์ Android 6.0 หรือสูงกว่า, iOS 9.0 หรือสูงกว่า
- มีปุ่มด้านบนและด้านล่าง มีกรอบหน้าปัดหมุนได้
- เซนเซอร์: Accelerometer sensor, Gyro sensor, Geomagnetic sensor, เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ, Ambient light sensor, Barometric pressure sensor, เซนเซอร์อุณหภูมิ
- ไมโครโฟนและลำโพงในตัว
- กันน้ำและกันฝุ่น (5ATM)
- โหมดออกกำลังมากกว่า 100 โหมด สามารถตรวจจับการออกกำลังกายพื้นฐานได้ 6 ประเภท, ติดตามการนอน, แสดงผลการเต้นหัวใจ, ตรวจจับออกซิเจน SpO2, ตรวจจับอุณหภูมิผิวหนัง
- ขนาดตัวเครื่อง Watch 3 : 46.2 x 46.2 x 12.15มม.; น้ำหนัก: 54 กรัม (ไม่รวมสายรัดข้อมือ)
- รองรับเครือข่าย 4G LTE (ผ่าน eSIM), Wi-Fi, Bluetooth 5.2, GPS (L1 + L5 เฉพาะในรุ่น Pro) +GLONASS + Galileo + Beidou, NFC
- แบตเตอรี่ของ WATCH 3: 450mAh ที่ใช้งานติดต่อกันได้ 3 วันเมื่อใช้ smart mode, และใช้งานได้ 14 วันเมื่อใช้โหมดประหยัดพลังงาน
SOFTWARE
ทางด้านระบบที่ใช้ในมือถือนั้นต้องใช้แอป Huawei Health นะครับ โหลดจาก Playstore ได้เลยไม่ต้องไปสแกนบนตัวนาฬิกาให้ยุ่งยากนะครับ เหมือนโหลดมาแล้วก็เชื่อมต่อปกติได้เลยไม่มีอะไรยากครับ เปิด Bluetooth บนมือถือแล้วมันก็จะจับหามาให้ แอปนั้นใช้งานง่ายครับ มีภาษาไทยอะไรเรียบร้อย และ หน้าตาใช้งานไม่ยุ่งยากครับผม และ ยังรองรับการใช้งานกับ Android , iOS ทั่วไปได้ครับ และ สามารถใช้งานกับ Mate 30 Pro ได้ปกติเลย
หน้าตาในการใช้งานแอปนั้นจะมี 4 หน้าหลักๆคือ หน้าหลักภาพซ้ายสุด คอยสรุปทั้งหมดในเรื่องของการออกกำลังกาย หน้าถัดมานั้นคือการเข้าโหมด ออกกำลังที่สามารถเข้าผ่านมือถือหรือ นาฬิกาก็ได้ และยังมี ครูฝึกให้เราด้วย ส่วนขวานั้นจะเป็นข้อมูลนาฬิกาของเรา และ บอกสถานะล่าสุดต่างๆของนาฬิกา และตัวขวาสุดนั้นเป็นข้อมูลส่วนตัว การตั้งค่าเป้าหมายและน้ำหนักอะไรพวกนี้ไปตั้งค่าได้เลยครับ และ มีการสรุปเหรียญของเราด้วยว่าทำอะไรได้ถึงเป้าหมายบ้าง
หน้าตาหลักๆก็จะบอกสถานะแบต การเดิน การเผาผลาญต่างๆอีกทั้งหน้าปัดบางส่วน และตั้งค่าทั้งหมดสามารถเข้ามาได้ รวมถึงการทำ eSIM ก็รองรับได้ด้วยสามารถติดต่อเครือข่ายในไทยทำได้เลยครับบอกเลยว่าสะดวกมากๆ
การตั้งค่าเตือนก็สามารถตั้งได้ว่าจะเป็นแบบการแจ้งเตือนอะไรบ้าง การนอนให้ตรวจจับเองเลยหรือไม่ การตรวจจับความเครียด หรือ SpO2 ก็สามารถตั้งค่าได้ทั้งหมด อีกทั้ง การตรวจจับอุณหภูมิผิว ซึ่งถ้าเปิดแบบเต็มทั้งหมดแบตก็จะลดไปไวขึ้นนั้นเองครับอาจจะได้ 2-3 วันเท่านั้น แต่ถ้าปิดหมดก็ยืดอายุแบตได้ด้วยเช่นกัน หรือว่าจะเป็นการแจ้งเตือนแอปก็รองรับได้ทั้งหมด และ หน้าตา Watchface เยอะมากและซื้อก็ได้หรือว่าจะเป็นแบบฟรีก็เยอะเช่นกัน
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้