🇹🇭มาลาริน🔮วันนี้(31ก.ค.)ป่วย18,912คน รักษาหาย10,750คน เสียชีวิต178คน/77จังหวัดติดเชื้อ/นพ.สันต์แนะ 90วันที่ต้องระวัง

เพี้ยนแคปเจอร์โควิดวันนี้ พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 18,912 ราย เสียชีวิตอีก 178 ราย



สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในไทยวันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 18,912 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 18,102 ราย และผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 810 ราย ยอดติดเชื้อรวมระลอกเมษายน 568,424 ราย รวมยอดติดเชื้อสะสม 597,287 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 178 ราย เสียชีวิตสะสม 4,857 ราย หายป่วยเพิ่ม 10,750 ราย รวมหายป่วยสะสม ระลอกเมษายน 364,494 ราย กำลังรักษา 200,510 ราย

รายละเอียดผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 18,912 ราย มีดังนี้....👇
1.ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 13,342  ราย
2.ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 4,750 ราย
3.จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 810 ราย
4.เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantine 10 ราย


ข้อมูลผู้เสียชีวิตทั้ง 178 ราย



https://www.sanook.com/news/8418998/

เพี้ยนปักหมุดจํานวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายใหม่ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ตรวจสอบ 10 จังหวัดอันดับแรก 


ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร หรือ กทม. ยังคงติดเชื้อโควิด อันดับ 1 ของประเทศ จับตาสมุทรสาคร ชลบุรี สมุทรปราการ ระยอง นนทบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา ศรีสะเกษ และ ปทุมธานี ยอดติดเชื้อยังสูง



https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/952102

เพี้ยนแคปเจอร์90 วันอันตราย!...กทม.-ปริมณฑล เราต้องรอด
"หมอสันต์" แนะยุทธศาสตร์ฉุกเฉินฉบับปชช. 5 เซฟตัวเอง


เผยตัวเลขตรวจคัดกรองชมรมแพทย์ชนบท-สปสช.ชี้ภาพกทม.ติดเชื้อแล้วอย่างน้อยน่าจะกว่า 5 แสนคน ซึ่งมากเกินพอจะก่อให้โรคแพร่กระจายได้เร็วมาก แนะช่วง 3 เดือนนี้ ต้องมียุทธศาสตร์ส่วนบุคคลเซฟตัวเองให้รอดโควิด ทั้งลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง-กินผักให้มากขึ้น เนื้อสัตว์ลดลง-สร้างภูมิให้ร่างกาย-ใช้สมุนไพร-ฟ้าทะลายโจร

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจชื่อดัง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 31 ก.ค.64 ระบุ "ยุทธศาสตร์ฉุกเฉินส่วนตัวสำหรับประชาชน กทม.และปริมณฑล ในช่วงโควิดเข้าระยะเร่ง

ข้อมูลที่ได้จากโครงการชมรมแพทย์ชนบทร่วมกันสป.สช.ที่เข้าไปตรวจคัดกรองในชุมชนของกทม.เป็นข้อมูลที่เปิดวิสัยทัศน์ให้เห็นภาพอีกด้านหนึ่งของเหรียญได้ดีมาก การตรวจครั้งนั้นทำ 12 จุดในกทม. ตรวจได้ 31,518 คน พบว่าตรวจ Rapid test ได้ผลบวก 5,086 คน ตรวจ PCR ได้ผลบวก 5,133 คน หรือได้ผลบวก 16.28 % ข้อมูลชุดนี้สื่อตรงๆว่าการติดเชื้อในชุมชนของกทม.นั้นอาจแพร่ไปได้ถึง 16.28% หรือประมาณ 928,186 คนแล้ว หากคำนวณจากประชากรกทม. 5,701,394 คน ตัวเลขนี้อาจลำเอียงไปทางมากเกินจริงไปบ้างเพราะผู้ขยันเดินออกจากบ้านมารับการตรวจที่ 12 หน่วยนี้อาจจะเป็นผู้ที่เห็นว่าตัวเองมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปก็ได้ หากตัดทอนความลำเอียงนี้ลงไปให้เหลือแค่ 10% ประชากรกทม.ที่ติดเชื้อแล้วก็จะมี 570,138 คน ซึ่งเป็นจำนวนและเปอร์เซ็นต์ที่ถือว่ามากเกินพอที่จะก่อโมเมนตัมให้โรคแพร่ไปอย่างรวดเร็วแบบตูม..ม….ม และจบลงอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงประมาณ 3 เดือน

ในฐานะประชาชนคนธรรมดาของกทม.คนหนึ่ง สามเดือนนี้เราควรจะทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย หรือยุทธศาสตร์ส่วนบุคคลเพื่ออยู่ให้รอดจากโควิดคืออะไร นี่เป็นวัตถุประสงค์ที่ผมเขียนบทความนี้

แน่นอนที่สุดมาตรการพื้นฐานที่ยอมรับกันเป็นสากลแล้วอันได้แก่ (1) สวมหน้ากาก (2) อยู่ห่าง (3) ล้างมือ (4) ฉีดวัคซีน ยังคงเป็นมาตรการหลักที่ยังต้องปฏิบัติอยู่อย่างเข้มงวดไว้ในบ้านของเราเอง แต่สิ่งที่ผมจะแนะนำเป็นพิเศษสำหรับสามเดือนอันตรายนี้ คือ....👇

1.หันมาจัดการปัจจัยเสี่ยงโรคเรื้อรังของตัวเองอย่างจริงจัง ใช่แล้วครับ เรากำลังคุยกันถึงการตายเพราะโควิด ไม่ใช่ตายเพราะโรคเรื้อรัง แต่งานวิจัยที่อังกฤษ กับคน 387,109 คน พบว่าการตายจากโควิดมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังไม่กี่ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (1) การไม่ได้ออกกำลังกาย (2) การมีน้ำหนักตัวมากเกิน (ซึ่งมาพร้อมกับไขมันในเลือดสูง) (3) การสูบบุหรี่ เนื่องจากแฟนบล็อกหมอสันต์ไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว ดังนั้นเหลือเรื่องต้องรีบทำแค่สองอย่าง คือให้ท่านลุกมาออกกำลังกาย สามเดือนจากนี้ไปเป็นโอกาสดีเพราะไม่ค่อยมีอะไรทำอยู่แล้ว ไม่ต้องรอให้ยิมเปิด ออกที่บ้านตัวเองหรือในห้องนอนตัวเองนั่นแหละ สำหรับคนที่น้ำหนักเกิน ก็ให้ใช้สามเดือนอันตรายนี้ลดน้ำหนักของตัวเองอย่างจริงจัง
 
2.ปรับอาหารมากินพืชให้มากขึ้น ลดเนื้อสัตว์ลง เพราะงานวิจัยเปรียบเทียบอาหารของแพทย์พยาบาลด่านหน้าที่ติดโควิดแล้วป่วยหนักและตายในหกประเทศพบว่าพวกที่ป่วยหนักและตายมากที่สุดเป็นพวกกินไม่เลือก คือกินทั้งเนื้อสัตว์และพืช ส่วนพวกกินแบบวีแกน (เจ) ป่วยหนักและตายน้อยกว่าพวกกินไม่เลือก 73% และพวกมังกินปลา (pescatarian) ป่วยหนักและตายน้อยกว่าพวกกินไม่เลือก 59% พูดง่ายๆว่าการกินอาหารแบบพืชเป็นหลักสัมพันธ์กับการที่ผู้ที่เสี่ยงสัมผัสกับเชื้อโควิดจะป่วยหนักและตายจากโควิดลดลง ในสามเดือนอันตรายนี้จึงควรเป็นช่วงฝึกบันยะบันยังการกิน ทำอาหารเองแบบง่ายๆกินโดยใช้พืชผักผลไม้ถั่วนัทเป็นวัตถุดิบให้มากๆ ถ้ากินแล้วไม่อร่อยก็ไม่ต้องกินมันซะเลย ดีเสียอีกจะได้ลดน้ำหนักได้ กินแต่ผลไม้อย่างเดียวเสียยังจะดีกว่าไปเที่ยวกินของอร่อยแต่เพิ่มโอกาสตายมากขึ้น

3.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอย่างจริงจัง ซึ่งนอกจากการขยันออกกำลังกายและเปลี่ยนมากินพืชให้มากขึ้นแล้ว ท่านยังจะต้อง.....👇
(1) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
(2) จัดการความเครียดให้จิตใจผ่อนคลายปลอดความเครียด เช่น โยคะ หรือรำมวยจีน หรือนั่งสมาธิ หรือทำงานอดิเรกที่ได้จดจ่อมีสมาธิโดยไม่เครียดเรื่องผลลัพธ์ที่จะได้
(3) อย่าให้ร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุที่มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคเช่น วิตามินซี. วิตามินดี. วิตามินอี. สังกะสี เป็นต้น ถ้าไม่ชัวร์ก็ซื้อวิตามินเป็นเม็ดมากินเสริม

(4) พาร่างกายกลับเข้าหาธรรมชาติ เพราะนั่นเป็นที่ที่ร่างกายก่อกำเนิดมา ธรรมชาติจะช่วยค้ำจุนร่างกายให้ท็อปฟอร์มอยู่ได้ในภาวะวิกฤติ หาโอกาสสัมผัสดินสัมผัสหญ้าด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า หาโอกาสตากแดด รับลม แช่น้ำ

4. ใช้ประโยชน์จากสมุนไพร พืชสมุนไพรเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและเป็นตัวสร้างความหลากหลายให้กับสารอาหาร โดยเฉพาะสารอาหารที่ร่างกายต้องการน้อยแต่ขาดไม่ได้ (trace element) ร่างกายใช้สารเหล่านี้ในการเสริมสร้างการทำงานของเซลทุกระบบรวมทั้งระบบภูมิคุ้มกันโรค สมุนไพรไทยส่วนใหญ่ใช้ประกอบอาหารไทยอยู่แล้ว เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย ขมิ้นชัน การกินอาหารไทยเช่นต้มยำและแกงให้บ่อยขึ้นก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายได้รับสมุนไพรที่หลากหลายเป็นระยๆโดยไม่ขาด
5. ใช้ฟ้าทะลายโจร เนื่องจากหลักฐานวิจัยเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจรในการฆ่าไวรัสซารส์โควี2และการรักษาโรคโควิดมีมากพอแล้ว ในภาวะวิกฤติสามเดือนข้างหน้านี้ผมแนะนำให้ใช้ฟ้าทะลายโจร ดังนี้

กรณีที่ 1. ไม่มีอาการอะไร ในช่วงสามเดือนอันตรายนี้ ผมแนะนำให้คนกทม.กินฟ้าทะลายโจรในขนาดผงบดบรรจุแคปซูลละ 400-500 มก. (กรณีของอภัยภูเบศร์บรรจุ 400 มก. มีแอนโดร กราฟโฟไลด์ 12 มก./แคปซูล กรณียี่ห้ออื่นซึ่งไม่ระบุขนาดแอนโดรกราฟโฟไลด์ไว้ข้างขวดก็ใช้วิธีเดาเอาก็แล้วกันว่ามีใกล้เคียงกับของอภัยภูเบศร์) กินวันละ 1 แคปซูล ติดต่อกัน 5 วัน สลับกับเว้นว่าง 2 วัน แล้วกลับมากินอีก 5 วัน กินแบบนี้ไปสามเดือนให้พ้นระยะสามเดือนอันตรายนี้ไปก่อน วิธีกินแบบนี้ผมลอกเลียนมาจากงานวิจัยของ Swedish Herbal Institute ซึ่งทำวิจัยป้องกันโรคหวัดในหน้าหนาวโดยให้กินฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราฟโฟไลด์วันละ 11.2 มก. กินห้าวันเว้นสองวันสลับกันไปนานตลอดหน้าหนาวสามเดือน พบว่าสามารถลดการเป็นหวัดลงได้หนึ่งเท่าตัวและมีความปลอดภัยดี ผมเอามาแนะนำให้ท่านกินแบบนี้จากนี้ไปสามเดือนเพราะ....👇

(1) มันฆ่าไวรัสทางเดินลมหายใจส่วนบนได้ อย่างน้อยก็ลดการเป็นหวัดได้ ส่วนจะลดการเป็นโควิดได้หรือไม่ยังไม่รู้
(2) มันมีความปลอดภัย เพราะการสลับเว้นว่าง 2 วันต่อสัปดาห์นั้นเป็นคอนเซ็พท์ที่เรียกว่า drug holiday ซึ่งวงการแพทย์ใช้กับยาที่ต้องกินกันนานแต่ยังไม่มั่นใจในผลแทรกซ้อนระยะยาว
(3) มันรักษาโรคประสาทได้ (หิ..หิ หมอสันต์ก็กินแบบนี้อยู่)
กรณีที่ 2. เมื่อมีอาการป่วยติดเชื้อทางเดินลมหายใจ ให้ท่านทำสองอย่างพร้อมกัน คือ
(1) ด้านหนึ่งกินยาฟ้าทะลายโจรในขนาดรักษาโรคโควิดทันทีโดยไม่ต้องรออะไรทั้งสิ้น คือกินวันละ 180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ (เทียบแคปซูลผงบดอภัยภูเบศร์วันละ 15 แคปซูล) ติดต่อกัน 5 วันแล้วหยุด
(2) อีกด้านหนึ่งก็ทำการตรวจคัดกรองโควิด (Rapid test) ทันทีจะซื้อมาหรือหาของฟรีก็แล้วแต่ ถ้าได้ผลลบก็แล้วไป ถ้าได้ผลบวกก็ขวานขวายไปตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR ถ้าได้ผลบวกอีกก็ไปสมัครเข้าระบบดูแลของรัฐ ผ่านทาง 1668 หรือผ่าน อสม. ที่ดูแลท่านอยู่ก็ได้ แล้วก็รับการรักษามาตรฐานตามที่เขาจะจัดให้ โดยอย่าลืมบอกเขาด้วยว่าท่านได้กินฟ้าทะลายโจรไปแล้วอย่างไรเท่าไร

โอเค. ผมจะจบแล้วนะ ท่านผู้อ่านอาจจะทักท้วงว่า อ้าว..หมอสันต์ แล้วไม่พูดถึงวัคซีนเลยหรือ หิ หิ พูดเสียหน่อยก็ได้ ว่าเมื่อถึงคิวได้ฉีดวัคซีนก็ให้ท่านไปฉีดตามคิว อย่าไปเกี่ยงว่าเป็นวัคซีนเทพหรือวัคซีนมาร เพราะวัคซีนที่ใช้ในเมืองไทยเป็นวัคซีนที่ WHO รับรองแล้วทั้งหมด มีประโยชน์ใกล้เคียงกันหมด แต่ประเด็นสำคัญคือท่านอย่าไปบ้าหรืออย่าไปได้ปลื้มกับวัคซีนเทพหรือวัคซีนมารโดยละเลยไม่ดูแลตัวเองใน 5 ข้อข้างต้น วัคซีนท่านก็ต้องฉีดไปแต่ต้องดูแลตัวเองด้วย วัคซีนอย่างเดียวไม่ช่วยให้ท่านรอด 100% เพราะแม้ขนาดฉีดวัคซีนดับเบิ้ลเทพ (หมายความว่าฉีดวัคซีน mRNA ครบสองเข็ม) พอเกิดระบาดแบบนรกแตกขึ้นมาที พบว่า 74% ของคนที่ติดโรคครั้งใหม่นี้ล้วนได้วัคซีนดับเบิ้ลเทพมาแล้ว นี่ผมไม่ได้กุเรื่องขึ้นเองนะ ผมอ่านมาจากรายงานของศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ (CDC) เมื่อวานนี้ ว่าเกิดระบาดตูมขึ้นที่เมืองบาร์นสเตเบิลเคาน์ตี้ รัฐแมสซาชูเส็ท มีคนป่วยเป็นโควิดทันที 469 คนในช่วงเวลาแค่สองสัปดาห์ วิเคราะห์แล้วพบว่า 346 คน (74%) ได้วัคซีนเทพมาครบแล้ว ดังนั้น วัคซีนเป็นของดีที่ลดอัตราตายได้ ถึงคิวฉีดท่านก็ไปฉีด แต่มันไม่สำคัญเท่ากับท่านดูแลตัวเองให้ได้ห้าอย่างที่ผมแนะนำมาข้างต้นนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

https://siamrath.co.th/n/267072

โควิดเดลต้ากำลังอาละวาดหนัก  ดูแลตัวเองด้วยนะคะ...พาพันไฟท์ติ้ง

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รวมสไลด์แถลงสถานการณ์โควิด-19 จาก ศบค.
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2564
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/376680420616955


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รายงานข้อมูลสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19
ณ วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2564

ประเทศไทย
วันนี้มีผู้ติดเชื้อ 18,912 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสม 597,287 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯเพิ่มขึ้น 13,342 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ/ที่ต้องขัง  810 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น  10  ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุกวันนี้  4,750 ราย (ยอดผู้ติดเชื้อสะสมจากการตรวจคัดกรองเชิงรุกอยู่ที่ 150,388 ราย)

เสียชีวิตรวม 4,857 ราย(วันนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 178 ราย)
รักษาหายป่วยแล้ว 391,920 ราย (มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่มขึ้น 10,750 ราย)
รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 200,510 ราย

ผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศ (ไม่รวมเรือนจำ) 18,092 ราย มีรายละเอียดดังนี้ จากกรุงเทพฯ(3,668) ปริมณฑล (3,516) จังหวัดอื่น ๆ (10,908)

สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพิ่มขึ้นในวันนี้ 10 ราย และเข้า Quarantine โดยเข้ารับการรักษาที่กรุงเทพฯ(4)   ชลบุรี(1)   เชียงราย(3)  และ จันทบุรี(2) มีรายละเอียดดังนี้
- จากประเทศสหรัฐอเมริกา 1 ราย
- จากประเทศสหราชอาณาจักร 1 ราย
- จากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย
- จากประเทศกาตาร์ 1 ราย
- จากประเทศออสเตรเลีย 1 ราย
- จากประเทศกัมพูชา 2 ราย
- จากประเทศเมียนมา 3 ราย

สถานการณ์โลกในวันนี้
- ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 198  ล้านราย มีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 4.2 ล้านราย(คิดเป็นร้อยละ 2.13 ของจำนวนผู้ติดเชื้อ) ในขณะที่ผู้รักษาหายมีจำนวน 178.9  ล้านราย (คิดเป็นร้อยละ 90.35)
- สหรัฐอเมริกา มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่  99,470 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่อันดับ 1 ของโลก อยู่ที่ 629,064 ราย
- อินเดีย ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 31.6 ล้านรายแล้ว โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 41,499 ราย ทั้งนี้ยอดผู้รักษาหายในอินเดียอยู่ที่ 30.7 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 97.3
- ไทยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่อันดับ 43 และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่อันดับ 67 ของโลก

สถานการณ์อาเซียนในวันนี้
- เมียนมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 294,460  ราย โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ยในรอบ 7 วันที่ผ่านมาอยู่ที่ 5,084 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 8,942 ราย
- มาเลเซีย ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,095,486 ราย โดยยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ อยู่ที่ 16,840 ราย
- กัมพูชา ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 76,585 ราย มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 1,375 ราย
- ลาว ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 5,919 ราย โดยกำลังรักษาอยู่ 3,139 ราย
- เวียดนาม ผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่   8,649  ราย และมียอดผู้เสียชีวิตสะสม 1,161 ราย

ประมวลข้อมูลโดย กรมควบคุมโรค และศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนาสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
https://www.facebook.com/nrctofficial/posts/4020610754731133
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่