สวัสดีครับ เพื่อนๆทุกคนครับ
ผมมีเรื่องอยากปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวครับ
ตอนนี้ผมเป็นนักศึกษาอยู่ปี 6 ครับ เรียนค่อนข้างหนัก กึ่งๆ ฝึกงานครับ แล้วก็งานผมก็เสี่ยงกับเรื่องโควิดด้วยตัววิชาเรียนอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าใดนัก อยู่หอติดต่อกันมาเป็นปีเลยครับ
เรื่องของเรื่องคือว่า บ้านผมมีปัญหาว่า พี่ชาย (แก่กว่าผม 1 ปี) มักจะกระทบกระทั่งกับแม่ผมเป็นประจำ
โดยเฉพาะตั้งแต่ที่พี่เรียนจบปริญญาตรีมาได้ 2 ปี โดยที่ช่วงนี้สถานการณ์โควิด ทำให้หางานลำบาก และเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ภายในบ้าน
ก่อนหน้านี้ช่วงที่พี่เรียนมหาวิทยาลัย ก็ทะเลาะกับแม่บ้าง เวลาที่พี่กลับมาที่บ้าน แต่พออยู่บ้านตลอดในช่วงนี้ ก็ทำให้ทะเลาะกันประจำ
ล่าสุดก็คือเมื่อวาน พี่ชายได้ตัดสายไฟเครื่องซักผ้า เนื่องจากแม่ซักผ้าให้แล้วผ้าไม่สะอาด แล้วก็ทะเลาะกับแม่
แล้ววันนี้ก็ล็อคประตู ทำให้แม่ผมเข้าบ้านไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นอย่างเนืองนิจ ประมาณ 1-2 เดือนครั้งนึง
ที่แม่ผมจะต้องไปนอนที่อื่น เพราะเข้าบ้านไม่ได้ หรือเหตุการณ์ซึ่งส่งผลกับสุขภาพจิตค่อนข้างมากเช่น ปิดคัทเอาท์ไฟทั้งบ้าน
เอาช้อนส้อมทานข้าวทั้งหมดเทลงถังขยะ เพราะแม่อาจจะล้างไม่สะอาดมากนัก ทุบลูกบิดประตูห้องนอนผม (ซึ่งแม่ผมนอนอยู่)
จนทำให้แม่ผมที่อาศัยร่วมกันภายในบ้าน เกิดความหวาดระแวงในพฤติกรรมของพี่ที่ก้าวร้าวและคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งผมก็กลัวเช่นกัน
....
ขออนุญาตเท้าความ
ตั้งแต่เด็กผมจะสนิทกับแม่มากกว่า ส่วนพี่ชายจะสนิทกับพ่อมากกว่าครับ พ่อมักจะตามใจพี่ชาย
แต่ตอนเด็กๆ พี่ก็เป็นคนที่ใจดีอ่อนโยน ผิดกับตอนเด็กที่ผมค่อนข้างจะเอาแต่ใจ มักจะโดนพ่อแม่ตำหนิบ่อย
ขณะที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อทำหน้าที่หารายได้ให้ครอบครัวครับ ซึ่งขณะนั้นเราไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเลย
เป็นครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดาครอบครัวหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี พ่อก็เสียตั้งแต่ผมอายุ 12 ปี
หลังจากพ่อเสีย ทำให้แม่ซึ่งเดิมเป็นเพียงแม่บ้าน ต้องหารายได้เลี้ยงผมกับพี่ ซึ่งก็หนักหนาพอสมควร
ทำให้แม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัวมากนัก ซึ่งตอนวัยมัธยม ผมก็ทะเลาะกับแม่เรื่องนี้เหมือนกัน
แต่พอโตขึ้น ด้วยวัยวุฒิก็ทำให้ผมเข้าใจในสถานการณ์ แล้วผมก็เคารพในความทุ่มเทของแม่
ทั้งนี้ก็มีญาติทางฝั่งพ่อคอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายด้านการเรียน ทำให้ทั้งผมและพี่ได้เรียนหนังสือ
กลับมาที่เรื่องผมและพี่ชาย ด้วยความที่แม่มักจะทำงานเสียส่วนใหญ่ ผมจึงอยู่กับพี่ชายเป็นหลัก
หลังจากนั้น ไม่นาน ช่วงม.ต้น ผมก็ทะเลาะกับพี่ชายด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ
เป็นเรื่องที่พี่เล่นเกม แต่ผมอ่านหนังสือแล้ว ทำให้ไม่มีสมาธิ เนื่องด้วยตอนนั้น ผมด้วยความเป็นเด็ก ก็บอกในเชิงตัดพี่ตัดน้องไป
แต่เราก็มีปฏิสัมพันธ์กันลดลงครับ จนถึงช่วงที่ผมเรียน มปลายที่ผมก็เรียนหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ส่วนพี่ก็เรียนก็เล่นของเขาไป ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับเขาเลย. และเวลาคุย ผมกับพี่มักจะทะเลาะกันเสมอ แล้วพี่ก็ใช้คำพูดที่รุนแรงกับผมมาเสมอ
เช่นว่า เรียนเก่งแต่เห็นแก่ตัวบ้าง ไม่มีเพื่อนคบบ้าง ซึ่งมันก็ทำร้ายจิตใจของผมตลอด ถึงที่เขาพูดมันจะไม่จริง แต่ผมก็แพ้ในการโต้เถียงอยู่เสมอ
ผมรู้สึกว่าการทะเลาะกัน มีจุดประสงค์ในการพูดเพื่อลดทอนความเป็นมนุษย์ของผม มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีความเป็นพี่ชายหลงเหลืออีกตัวไป
แล้วผมก็ไม่อยากที่จะมีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับคนแบบนี้
พอผมเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการเรียน และทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
ซึ่งก็อาจจะเหนื่อยบ้าง แต่ผมก็มีความสุข ผมจัดการแบ่งแยกเรื่องเรียน กับการพักผ่อนได้ดี
ในเรื่องค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าสูงขึ้น และผมมีปัญหากับครอบครัวฝั่งพ่อ ทำให้ฝั่งนั้นไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องได้อีก
แต่ด้วยความโชคดี และความเมตตา ผมก็ได้ทุนสนับสนุนจากทางคณะ ทั้งค่าเทอม และค่ากินอยู่อีกบางส่วน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเรียนมหาวิทยาลัย ก็มีค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าตำรา ค่ากิจกรรม ค่ากินอยู่ รวมกันค่อนข้างสูง
ทำให้ฐานะการเงินของผมค่อนข้างลุ่มๆ ดอนๆ ผมอาจจะสอนพิเศษบ้าง แต่ปีนี้ ปีสุดท้ายหนักที่สุด แน่นอนว่าผมก็โฟกัสที่การฝึกงานเป็นหลัก
ส่วนค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากที่มหาวิทยาลัย support ก็คือต้องพึ่งพาแม่
กลับมาที่ครอบครัว ในช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย จนถึงปัจจุบัน ผมไม่ค่อยกลับบ้านเท่าใดนัก
เนื่องจากบ้านอยู่ไกล แล้วก็เรื่องพี่ชาย ที่เมื่อผมกลับไป ผมก็มักจะทะเลาะกับพี่ชาย อย่างที่ได้พูดข้างต้น ทำให้ผมไม่มีความสุข
เวลาที่กลับไปอยู่บ้าน ร่วมกับสภาพแวดล้อมใกล้บ้าน ที่เสียงดัง และดูอันตราย ทำให้ผมรู้สึกว่าบ้านไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป
แต่อย่างไรก็ดี แม่ก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านเหมือนเดิม และทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ และเป็นงานที่มีความเครียดสูง
เมื่อพี่กลับมาบ้าน ก็มักจะทะเลาะกับคุณแม่เป็นประจำ คล้ายๆกับที่ผมกับพี่ทะเลาะกัน แม่มักจะโดนดุด่าด้วยคำที่รุนแรง
หรือแม้กระทั่งคำหยาบ อยู่หลายครั้ง ตัวพี่ชายมักจะมีปัญหาในการคบเพื่อนฝูง จากคำบอกเล่าของเพื่อนพี่ชาย เขามักจะเป็นคนที่เอาแต่ใจ
และถ้ามีการโต้เถียงเมื่อไหร่ เพื่อนก็ต้องเป็นฝ่ายยอมเป็นประจำ และตัวเขาเองก็มีปัญหาในการใช้ชีวิตอยู่กับรูมเมท ทำให้สุดท้าย
ต้องออกมาอยู่หอนอกคนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็สูงขึ้น
หลังจากพี่ชายเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็กลับมาอยู่บ้าน ซึ่งตั้งแต่เรียนจบ ก็เป็นช่วงต้นของสถานการณ์โควิด
ทำให้การหางานค่อนข้างลำบาก ตัวพี่ชายมีเงินเก็บก้อนอยู่บ้าง ก็ใช้เงินเก็บนั้นในการดำรงชีวิต
แต่แน่นอนว่า 2 ปีที่หางานทำยังไม่ได้ ก็อาจจะทำให้พี่เครียดเรื่องเงิน พี่จึงอาศัยอยู่ที่บ้านเป็นหลัก
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็อาจจะเป็นแม่ซื้อมาให้ แต่ส่วนใหญ่พี่ก็จะไม่ชอบใจที่แม่ซื้อมาให้ ด้วยเรื่องโภชนาการ หรือรสชาติ
เมื่อพี่อาศัยอยู่บ้านเป็นหลักกับแม่ แน่นอนว่าพี่ก็จะต้องทะเลาะกับแม่ ด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ เป็นประจำ
เช่นเรื่องข้าวปลาอาหาร เรื่องซักผ้า หรือว่าเรื่องของใช้ในบ้านหาย จากการที่แม่จัดของให้แล้วตำแหน่งวางของเปลี่ยนไป
จนอยู่ไปเรื่อยๆ ทำให้พี่มีความรู้สึกหวาดระแวงในตัวแม่ คิดว่าคุณแม่ผมปองร้ายตัวเองบ้าง
จนบางครั้งพี่ชายก็เคยพาแม่ไปพบตำรวจที่โรงพัก ด้วยเรื่องปัญหาทะเลาะที่ว่าไปนั้น ซึ่งตำรวจก็ได้ตักเตือนพี่ชายไปแล้ว
แต่ไม่รู้เหตุผลอย่างไร พี่ชายก็ดันมีความคิดที่ว่าจะ แม่จะแจ้งความจับลูกตัวเองเสียอย่างนั้น
แล้วก็คิดวนในหัวอยู่ตลอดเวลาว่า แม่พยายามจะปองร้ายตัวเองเป็นประจำ
...
เหตุการณ์ล่าสุดก็คือตั้งแต่เมื่อวาน พี่ชายได้ตัดสายไฟเครื่องซักผ้า เนื่องจากแม่ซักผ้าให้แล้วผ้าไม่สะอาด แล้วก็ทะเลาะกับแม่
แล้ววันนี้ก็ล็อคประตูเข้าบ้าน ทำให้แม่ผมเข้าบ้านไม่ได้ ซึ่งตอนนี้ก็มีปัญหาเรื่องโควิด ผมก็รู้สึกว่าการให้แม่ไปพักที่อื่น มันก็ไม่ยุติธรรม
และตั้งแต่เมื่อวาน ผมก็พยายามโทรไปคุยกับพี่ชายอย่างนาน ถามไถ่ถึงความรู้สึกต่างๆ โดยที่พยายามใจเย็นลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยประสบพบเจอ
ผมก็คิดว่าพี่จะใจเย็นลงได้ แล้ววันนี้ผมก็โทรไปคุยกับเขาอีกรอบนึง เพราะพี่บอกแม่ว่าอยากจะย้ายออกจากบ้าน แต่ต้องการให้แม่รับผิดชอบ
เรื่องค่าที่พักรายเดือน
ซึ่งแน่นอนว่าแม่ผมไม่สามารถ Support ค่าที่พักรายเดือนนั้นได้แน่นอน เนื่องจากว่าแม่ก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านและช่วยค่าใช้จ่ายผมด้วย
แต่พี่ชายก็ดึงดันที่จะย้ายออกจากบ้าน โดยเขาก็ตำหนิผมว่า ก็จะทำเหมือนผมที่ผมอยู่ข้างนอกเพราะหนีปัญหา
(แต่ความจริงคือ ผมอยู่หอเพราะผมเรียนหนังสืออยู่)
โดยไม่คิดว่าวันนี้เขาจะลงเอยด้วยการให้ล็อคประตูให้แม่เข้ามาในบ้าน
...
ตัวผมเองก็พยายามช่วยไกล่เกลี่ยอย่างเต็มที่ แม้ว่าพรุ่งนี้ผมจะมีสอบของมหาวิทยาลัยก็ตาม
แต่ผมก็ไม่สามารถกลับไปบ้านได้ เพราะผมปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงกับเรื่องโควิดอยู่ แล้วผมก็ต้องรอไป Swab รอบถัดไปด้วย
ผมรู้สึกกังวลมากว่า คุณแม่จะรู้สึกอย่างไร เพราะแม่ก็เครียดกับเรื่องงานอยู่แล้ว เรื่องการหาเงินอยู่แล้ว สถานการณ์โควิดแบบนี้อีก
และตัวผมเองก็ทั้งรู้สึกโกรธ และเกลียดพี่ ว่าทำไมถึงทำกับคนในครอบครัวตัวเองแบบนี้ได้
ผมสงสารตัวเอง สงสารแม่ ถึงเราจะไม่ได้มีฐานะที่ดีมาก แต่ถ้าพี่ชายใจเย็นกว่านี้ บ้านคงจะมีความสุขกว่านี้มาก
รวมถึงอีกใจนึงผมสงสารพี่ ผมคิดว่าพี่ผมป่วย อาจจะด้วยภาวะทางจิตเวชบางอย่าง หรือความผิดปกติทางบุคลิกภาพบางอย่าง
ทำให้พี่แสดงออกแบบนั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะพาพี่ตัวเองไปพบจิตแพทย์ได้ยังไง
เพราะตัวเขาก็คงไม่คิดเช่นนั้น แล้วสุดท้ายนี้ผมก็รู้สึกแย่กับตัวเอง ที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ณ ตอนนี้
ผมควรจะทำยังไงดี?
ปล. ผมขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วยครับ ผมก็คิดว่ามันก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ที่จะพูดถึงเรื่องครอบครัวตัวเองอย่างเปิดเผยขนาดนี้
แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำยังไงดี ปัญหานี้เป็นมานานเกิน 5 ปีแล้ว และมีผลกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
ผมคิดว่าอย่างน้อย ถ้าได้ปรึกษาคนภายนอกบ้าง แล้วได้เห็นแนวทางแก้ไขปัญหา ถ้าผมได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ก็คงจะดีมาก หรืออย่างน้อย ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมก็คาดหวังว่า เราจะไม่ต้องกระทบกระทั่งกันแบบนี้ตลอด
ขอบคุณทุกคนที่รับฟังนะครับ
พี่ชายมีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง ใส่แม่ และครอบครัวก็มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ผมควรทำยังไงดี?
ผมมีเรื่องอยากปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวครับ
ตอนนี้ผมเป็นนักศึกษาอยู่ปี 6 ครับ เรียนค่อนข้างหนัก กึ่งๆ ฝึกงานครับ แล้วก็งานผมก็เสี่ยงกับเรื่องโควิดด้วยตัววิชาเรียนอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าใดนัก อยู่หอติดต่อกันมาเป็นปีเลยครับ
เรื่องของเรื่องคือว่า บ้านผมมีปัญหาว่า พี่ชาย (แก่กว่าผม 1 ปี) มักจะกระทบกระทั่งกับแม่ผมเป็นประจำ
โดยเฉพาะตั้งแต่ที่พี่เรียนจบปริญญาตรีมาได้ 2 ปี โดยที่ช่วงนี้สถานการณ์โควิด ทำให้หางานลำบาก และเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ภายในบ้าน
ก่อนหน้านี้ช่วงที่พี่เรียนมหาวิทยาลัย ก็ทะเลาะกับแม่บ้าง เวลาที่พี่กลับมาที่บ้าน แต่พออยู่บ้านตลอดในช่วงนี้ ก็ทำให้ทะเลาะกันประจำ
ล่าสุดก็คือเมื่อวาน พี่ชายได้ตัดสายไฟเครื่องซักผ้า เนื่องจากแม่ซักผ้าให้แล้วผ้าไม่สะอาด แล้วก็ทะเลาะกับแม่
แล้ววันนี้ก็ล็อคประตู ทำให้แม่ผมเข้าบ้านไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นอย่างเนืองนิจ ประมาณ 1-2 เดือนครั้งนึง
ที่แม่ผมจะต้องไปนอนที่อื่น เพราะเข้าบ้านไม่ได้ หรือเหตุการณ์ซึ่งส่งผลกับสุขภาพจิตค่อนข้างมากเช่น ปิดคัทเอาท์ไฟทั้งบ้าน
เอาช้อนส้อมทานข้าวทั้งหมดเทลงถังขยะ เพราะแม่อาจจะล้างไม่สะอาดมากนัก ทุบลูกบิดประตูห้องนอนผม (ซึ่งแม่ผมนอนอยู่)
จนทำให้แม่ผมที่อาศัยร่วมกันภายในบ้าน เกิดความหวาดระแวงในพฤติกรรมของพี่ที่ก้าวร้าวและคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งผมก็กลัวเช่นกัน
....
ขออนุญาตเท้าความ
ตั้งแต่เด็กผมจะสนิทกับแม่มากกว่า ส่วนพี่ชายจะสนิทกับพ่อมากกว่าครับ พ่อมักจะตามใจพี่ชาย
แต่ตอนเด็กๆ พี่ก็เป็นคนที่ใจดีอ่อนโยน ผิดกับตอนเด็กที่ผมค่อนข้างจะเอาแต่ใจ มักจะโดนพ่อแม่ตำหนิบ่อย
ขณะที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อทำหน้าที่หารายได้ให้ครอบครัวครับ ซึ่งขณะนั้นเราไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเลย
เป็นครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดาครอบครัวหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี พ่อก็เสียตั้งแต่ผมอายุ 12 ปี
หลังจากพ่อเสีย ทำให้แม่ซึ่งเดิมเป็นเพียงแม่บ้าน ต้องหารายได้เลี้ยงผมกับพี่ ซึ่งก็หนักหนาพอสมควร
ทำให้แม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัวมากนัก ซึ่งตอนวัยมัธยม ผมก็ทะเลาะกับแม่เรื่องนี้เหมือนกัน
แต่พอโตขึ้น ด้วยวัยวุฒิก็ทำให้ผมเข้าใจในสถานการณ์ แล้วผมก็เคารพในความทุ่มเทของแม่
ทั้งนี้ก็มีญาติทางฝั่งพ่อคอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายด้านการเรียน ทำให้ทั้งผมและพี่ได้เรียนหนังสือ
กลับมาที่เรื่องผมและพี่ชาย ด้วยความที่แม่มักจะทำงานเสียส่วนใหญ่ ผมจึงอยู่กับพี่ชายเป็นหลัก
หลังจากนั้น ไม่นาน ช่วงม.ต้น ผมก็ทะเลาะกับพี่ชายด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ
เป็นเรื่องที่พี่เล่นเกม แต่ผมอ่านหนังสือแล้ว ทำให้ไม่มีสมาธิ เนื่องด้วยตอนนั้น ผมด้วยความเป็นเด็ก ก็บอกในเชิงตัดพี่ตัดน้องไป
แต่เราก็มีปฏิสัมพันธ์กันลดลงครับ จนถึงช่วงที่ผมเรียน มปลายที่ผมก็เรียนหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ส่วนพี่ก็เรียนก็เล่นของเขาไป ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับเขาเลย. และเวลาคุย ผมกับพี่มักจะทะเลาะกันเสมอ แล้วพี่ก็ใช้คำพูดที่รุนแรงกับผมมาเสมอ
เช่นว่า เรียนเก่งแต่เห็นแก่ตัวบ้าง ไม่มีเพื่อนคบบ้าง ซึ่งมันก็ทำร้ายจิตใจของผมตลอด ถึงที่เขาพูดมันจะไม่จริง แต่ผมก็แพ้ในการโต้เถียงอยู่เสมอ
ผมรู้สึกว่าการทะเลาะกัน มีจุดประสงค์ในการพูดเพื่อลดทอนความเป็นมนุษย์ของผม มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีความเป็นพี่ชายหลงเหลืออีกตัวไป
แล้วผมก็ไม่อยากที่จะมีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับคนแบบนี้
พอผมเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการเรียน และทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
ซึ่งก็อาจจะเหนื่อยบ้าง แต่ผมก็มีความสุข ผมจัดการแบ่งแยกเรื่องเรียน กับการพักผ่อนได้ดี
ในเรื่องค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าสูงขึ้น และผมมีปัญหากับครอบครัวฝั่งพ่อ ทำให้ฝั่งนั้นไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องได้อีก
แต่ด้วยความโชคดี และความเมตตา ผมก็ได้ทุนสนับสนุนจากทางคณะ ทั้งค่าเทอม และค่ากินอยู่อีกบางส่วน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเรียนมหาวิทยาลัย ก็มีค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าตำรา ค่ากิจกรรม ค่ากินอยู่ รวมกันค่อนข้างสูง
ทำให้ฐานะการเงินของผมค่อนข้างลุ่มๆ ดอนๆ ผมอาจจะสอนพิเศษบ้าง แต่ปีนี้ ปีสุดท้ายหนักที่สุด แน่นอนว่าผมก็โฟกัสที่การฝึกงานเป็นหลัก
ส่วนค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากที่มหาวิทยาลัย support ก็คือต้องพึ่งพาแม่
กลับมาที่ครอบครัว ในช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย จนถึงปัจจุบัน ผมไม่ค่อยกลับบ้านเท่าใดนัก
เนื่องจากบ้านอยู่ไกล แล้วก็เรื่องพี่ชาย ที่เมื่อผมกลับไป ผมก็มักจะทะเลาะกับพี่ชาย อย่างที่ได้พูดข้างต้น ทำให้ผมไม่มีความสุข
เวลาที่กลับไปอยู่บ้าน ร่วมกับสภาพแวดล้อมใกล้บ้าน ที่เสียงดัง และดูอันตราย ทำให้ผมรู้สึกว่าบ้านไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป
แต่อย่างไรก็ดี แม่ก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านเหมือนเดิม และทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ และเป็นงานที่มีความเครียดสูง
เมื่อพี่กลับมาบ้าน ก็มักจะทะเลาะกับคุณแม่เป็นประจำ คล้ายๆกับที่ผมกับพี่ทะเลาะกัน แม่มักจะโดนดุด่าด้วยคำที่รุนแรง
หรือแม้กระทั่งคำหยาบ อยู่หลายครั้ง ตัวพี่ชายมักจะมีปัญหาในการคบเพื่อนฝูง จากคำบอกเล่าของเพื่อนพี่ชาย เขามักจะเป็นคนที่เอาแต่ใจ
และถ้ามีการโต้เถียงเมื่อไหร่ เพื่อนก็ต้องเป็นฝ่ายยอมเป็นประจำ และตัวเขาเองก็มีปัญหาในการใช้ชีวิตอยู่กับรูมเมท ทำให้สุดท้าย
ต้องออกมาอยู่หอนอกคนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็สูงขึ้น
หลังจากพี่ชายเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็กลับมาอยู่บ้าน ซึ่งตั้งแต่เรียนจบ ก็เป็นช่วงต้นของสถานการณ์โควิด
ทำให้การหางานค่อนข้างลำบาก ตัวพี่ชายมีเงินเก็บก้อนอยู่บ้าง ก็ใช้เงินเก็บนั้นในการดำรงชีวิต
แต่แน่นอนว่า 2 ปีที่หางานทำยังไม่ได้ ก็อาจจะทำให้พี่เครียดเรื่องเงิน พี่จึงอาศัยอยู่ที่บ้านเป็นหลัก
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็อาจจะเป็นแม่ซื้อมาให้ แต่ส่วนใหญ่พี่ก็จะไม่ชอบใจที่แม่ซื้อมาให้ ด้วยเรื่องโภชนาการ หรือรสชาติ
เมื่อพี่อาศัยอยู่บ้านเป็นหลักกับแม่ แน่นอนว่าพี่ก็จะต้องทะเลาะกับแม่ ด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ เป็นประจำ
เช่นเรื่องข้าวปลาอาหาร เรื่องซักผ้า หรือว่าเรื่องของใช้ในบ้านหาย จากการที่แม่จัดของให้แล้วตำแหน่งวางของเปลี่ยนไป
จนอยู่ไปเรื่อยๆ ทำให้พี่มีความรู้สึกหวาดระแวงในตัวแม่ คิดว่าคุณแม่ผมปองร้ายตัวเองบ้าง
จนบางครั้งพี่ชายก็เคยพาแม่ไปพบตำรวจที่โรงพัก ด้วยเรื่องปัญหาทะเลาะที่ว่าไปนั้น ซึ่งตำรวจก็ได้ตักเตือนพี่ชายไปแล้ว
แต่ไม่รู้เหตุผลอย่างไร พี่ชายก็ดันมีความคิดที่ว่าจะ แม่จะแจ้งความจับลูกตัวเองเสียอย่างนั้น
แล้วก็คิดวนในหัวอยู่ตลอดเวลาว่า แม่พยายามจะปองร้ายตัวเองเป็นประจำ
...
เหตุการณ์ล่าสุดก็คือตั้งแต่เมื่อวาน พี่ชายได้ตัดสายไฟเครื่องซักผ้า เนื่องจากแม่ซักผ้าให้แล้วผ้าไม่สะอาด แล้วก็ทะเลาะกับแม่
แล้ววันนี้ก็ล็อคประตูเข้าบ้าน ทำให้แม่ผมเข้าบ้านไม่ได้ ซึ่งตอนนี้ก็มีปัญหาเรื่องโควิด ผมก็รู้สึกว่าการให้แม่ไปพักที่อื่น มันก็ไม่ยุติธรรม
และตั้งแต่เมื่อวาน ผมก็พยายามโทรไปคุยกับพี่ชายอย่างนาน ถามไถ่ถึงความรู้สึกต่างๆ โดยที่พยายามใจเย็นลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยประสบพบเจอ
ผมก็คิดว่าพี่จะใจเย็นลงได้ แล้ววันนี้ผมก็โทรไปคุยกับเขาอีกรอบนึง เพราะพี่บอกแม่ว่าอยากจะย้ายออกจากบ้าน แต่ต้องการให้แม่รับผิดชอบ
เรื่องค่าที่พักรายเดือน
ซึ่งแน่นอนว่าแม่ผมไม่สามารถ Support ค่าที่พักรายเดือนนั้นได้แน่นอน เนื่องจากว่าแม่ก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านและช่วยค่าใช้จ่ายผมด้วย
แต่พี่ชายก็ดึงดันที่จะย้ายออกจากบ้าน โดยเขาก็ตำหนิผมว่า ก็จะทำเหมือนผมที่ผมอยู่ข้างนอกเพราะหนีปัญหา
(แต่ความจริงคือ ผมอยู่หอเพราะผมเรียนหนังสืออยู่)
โดยไม่คิดว่าวันนี้เขาจะลงเอยด้วยการให้ล็อคประตูให้แม่เข้ามาในบ้าน
...
ตัวผมเองก็พยายามช่วยไกล่เกลี่ยอย่างเต็มที่ แม้ว่าพรุ่งนี้ผมจะมีสอบของมหาวิทยาลัยก็ตาม
แต่ผมก็ไม่สามารถกลับไปบ้านได้ เพราะผมปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงกับเรื่องโควิดอยู่ แล้วผมก็ต้องรอไป Swab รอบถัดไปด้วย
ผมรู้สึกกังวลมากว่า คุณแม่จะรู้สึกอย่างไร เพราะแม่ก็เครียดกับเรื่องงานอยู่แล้ว เรื่องการหาเงินอยู่แล้ว สถานการณ์โควิดแบบนี้อีก
และตัวผมเองก็ทั้งรู้สึกโกรธ และเกลียดพี่ ว่าทำไมถึงทำกับคนในครอบครัวตัวเองแบบนี้ได้
ผมสงสารตัวเอง สงสารแม่ ถึงเราจะไม่ได้มีฐานะที่ดีมาก แต่ถ้าพี่ชายใจเย็นกว่านี้ บ้านคงจะมีความสุขกว่านี้มาก
รวมถึงอีกใจนึงผมสงสารพี่ ผมคิดว่าพี่ผมป่วย อาจจะด้วยภาวะทางจิตเวชบางอย่าง หรือความผิดปกติทางบุคลิกภาพบางอย่าง
ทำให้พี่แสดงออกแบบนั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะพาพี่ตัวเองไปพบจิตแพทย์ได้ยังไง
เพราะตัวเขาก็คงไม่คิดเช่นนั้น แล้วสุดท้ายนี้ผมก็รู้สึกแย่กับตัวเอง ที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ณ ตอนนี้
ผมควรจะทำยังไงดี?
ปล. ผมขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วยครับ ผมก็คิดว่ามันก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ที่จะพูดถึงเรื่องครอบครัวตัวเองอย่างเปิดเผยขนาดนี้
แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำยังไงดี ปัญหานี้เป็นมานานเกิน 5 ปีแล้ว และมีผลกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
ผมคิดว่าอย่างน้อย ถ้าได้ปรึกษาคนภายนอกบ้าง แล้วได้เห็นแนวทางแก้ไขปัญหา ถ้าผมได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ก็คงจะดีมาก หรืออย่างน้อย ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมก็คาดหวังว่า เราจะไม่ต้องกระทบกระทั่งกันแบบนี้ตลอด
ขอบคุณทุกคนที่รับฟังนะครับ