.
เธอตัดขาดการติดต่อหนึ่งทุกช่องทาง หนึ่งเสียเองที่เป็นฝ่ายพยายามติดต่อเธอกลับมา หลังจากวันนั้นเธอรับรู้รสชาติของความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานใจมันเป็นเช่นไร
เธอบล็อกเบอร์ บล็อกไลน์ บล็อกเฟซบุ๊กทุกช่องทางการติดต่อ กี่รอบ ๆ หนึ่งก็สร้างล็อกอินขึ้นมาใหม่เสมอ ในที่สุดเธอก็ใจอ่อน ไม่ปิดกั้นอีกต่อไป ทำใจได้และคิดได้อีกอย่างคือ ทำไมต้องหนี เธอทำอะไรผิดทำไมต้องหนีหนึ่งด้วย
ทำไมเธอต้องหนีและปิดกั้นเขา เขาก็แค่คน ๆ หนึ่งที่เคยรู้จักกันมาเท่านั้น หลังจากที่เธอคิดได้แบบนี้ก็เปิดทุกช่องทางในการติดต่อ และเป็นอย่างที่คิด เขาโทรหาเธอ ทักแช็ตทักไลน์ฝากข้อความมาทุกวัน สุดท้ายเมื่อลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม ก็แค่ไม่ลืม แต่ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแค่นั้น
เธอกับหนึ่งกลับมาเป็นเพื่อนกันในโลกออนไลน์อีกครั้ง เห็นการเคลื่อนไหวของกันและกันทุกอย่าง แม้จะทำใจได้แล้วบ้าง ลึก ๆ ในใจมันก็ยังอยากเห็นความเคลื่อนไหวของหนึ่ง
ลึก ๆ เธอก็ยังอยากรู้ว่าเรื่องนั้นมันจะจบลงอย่างไร อยากรู้เรื่องของเขากับแม่ของลูกและลูกว่าเขาจะจัดการเช่นไร คงไม่พ้นแต่งงานนั่นแหละ แต่ทำไมต้องหวัง ทำไมต้องมีความหวัง ถ้าความจริงมันไม่เป็นอย่างที่หวังเธอจะไม่เจ็บเจียนตายอีกหรือ
พยายามไม่คาดหวังอะไร สุดท้ายก็เป็นเธอเองที่แอบเข้าไปดูชีวิตหนึ่งในโลกออนไลน์เงียบ ๆ เห็นเพียงการทำงานของหนึ่ง มีเพียงโพสต์ข้อความเศร้า ๆ สั้น ๆ สองสามโพสต์ ไม่มีรูปผู้หญิงคนนั้น ไม่มีรูปอะไรที่สื่อถึงการมีครอบครัวมีลูกของหนึ่งเลย
ไม่มีข้อความอะไรบ่งบอกถึงความตื่นเต้นดีใจที่จะได้เป็นพ่อ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งทางออกให้กับความคิดถึงของเธอ ดูรูปหนึ่งรูปเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็ทำให้หายคิดถึงได้บ้าง ทว่าก็ไม่เคยทักหาให้เกิดความบาดหมางใจของใคร
“วีพี่นิวบอกว่ามันสามารถตรวจดีเอ็นเอได้ตั้งแต่อยู่ในท้องไม่ต้องรอคลอดก็ได้นะ” แสงระวีกดอ่านข้อความที่หนึ่งส่งมาบอก แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับไป
หลายต่อหลายครั้งที่เขาแชทมาคุยกับเธอ เพียงแค่เปิดอ่านแต่ไม่ตอบกลับ เขาก็ยังทักมาคุยด้วยเสมอ และทุกครั้งเธอทำเพียงแค่เปิดอ่านแล้วปล่อยผ่านไป ข่มใจไม่ให้ตอบกลับไปแม้อยากคุยด้วยสักเพียงไหน
เมื่อทักมาบ่อย ๆ แล้วเธอไม่ตอบกลับหนักเข้าหนึ่งก็โทรหา แต่เธอก็ไม่ยอมรับสาย ไม่เคยรับแม้แต่ครั้งเดียว มองหน้าจอโทรศัพท์ที่มันโชว์เบอร์แค่นั้น และ ปล่อยให้มันเงียบไปเอง
เธออยากจะโมโหหนึ่งนักที่โทรมาช่วงตอนกลางวัน เพราะเธอไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้ ทำไมไม่โทรมาตอนกลางคืน ตอนอยู่หอพักคนเดียว เธอจะได้ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ได้เต็มที่ อยู่แบบนี้มันทรมานใจ
“วีคุยกับหนึ่งหน่อยได้มั้ย อยากได้ยินเสียง อยากคุยด้วย” ข้อความแล้วข้อความเล่าที่เขาทักมาคุยด้วย แสงระวีก็ทำเพียงเปิดอ่านและลบทิ้งไป ไม่อยากให้เปลืองพื้นที่โทรศัพท์ แต่ตนเองก็ชอบอ่าน เปิดอ่านทุกข้อความ
ในบางครั้งเหมือนคอยข้อความของเขาอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งเพื่อนหรือคนอื่นส่งข้อความมาแสงระวีจะรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านทันที บางครั้งแอบผิดหวังที่ไม่ใช่ข้อความจากเขา
“จะให้แม่พาไปตรวจดีเอ็นเอ เค้าบอกไม่ยอมตรวจ หนึ่งก็ไม่ยอมเหมือนกัน ก็มั่นใจในตัวเอง เค้าบอกว่ารอให้คลอดก่อนค่อยตรวจ” เปิดอ่านข้อความที่หนึ่งส่งมาหา
“เค้าไม่ยอมไปตรวจเลยวี บอกแต่รอให้คลอดก่อน หนึ่งจะทำยังไง วีคุยกับหนึ่งสักคำได้มั้ย ตอบกลับมาสักคำก็ยังดี สามเดือนมันก็ตรวจได้พี่นิวบอก ถ้าไม่ยอมไปตรวจหนึ่งก็จะไม่ยุ่งด้วยแล้ว เอ่อหนึ่งมันชั่วแหละ แต่ก็มั่นใจในตัวเองไง ลูกใครก็ไม่รู้ บอกรอให้คลอดก่อน งั้นก็จะปล่อยให้ฝากครรภ์เอง” เขาทึกทักเอาเองเหมือนว่าคุยกับเธอ เหมือนว่ากำลังคุยกับเธออยู่ เป็นแบบนี้ทุกวัน
เพราะเธอเปิดอ่านข้อความของเขาตลอดเป็นใครจะไม่คิดเอาเองแบบนั้น แต่จะห้ามไม่เปิดอ่านเธอก็ทำไม่ได้เลย ห้ามตัวเองไม่ได้เลยสักครั้ง
สี่เดือนแล้วที่เธออยู่ในช่วงฝึกงาน สี่เดือนแล้วที่เลิกกับหนึ่ง ลูกของหนึ่งกับผู้หญิงคนนั้นก็คงจะประมาณห้าเดือน เพราะตอนเลิกกันเธอคนนั้นท้องได้แค่เดือนเดียว ทำไมเธอต้องคอย คอยโดยไม่มีเหตุผล ทำไมภายในใจต้องนับด้วยว่าอีกสี่เดือนลูกหนึ่งก็ลืมตามาดูโลกแล้ว เธอหวังเหรอ หวังลม ๆ แล้ง ๆ หวังอะไรหนึ่งทำเจ็บปวดขนาดนี้
“วีฝึกงานจบแล้วจะไปทำงานที่ไหนอ่ะ ขออนุญาตบอกว่าคิดถึงได้มั้ย วีมีคนอื่นหรือยัง หนึ่งคิดถึง หนึ่งไปเจอได้มั้ย วีฝึกงานอยู่ที่ไหน เนี่ยวันที่ ยี่สิบหนึ่งก็จะกลับไปบ้าน เราเจอกันได้มั้ย คิดถึงมากนะครับ ” หนึ่งยังคงส่งข้อความมาคุยกับเธอเรื่อย ๆ บางครั้งวูบหนึ่งของความคิดก็อยากจะตอบหนึ่งไปเหมือนกัน วูบหนึ่งของความคิดอยากจะกลับไปคุยและให้อภัย แต่พอนึกถึงผู้หญิงคนนั้นกับลูก ความยับยั้งชั่งใจก็เกิดขึ้น และห้ามตัวเองได้
ถ้ากลับไปคบกันอีกเธอจะเป็นตัวอะไร ในฐานะอะไร ก็ได้ชื่อว่าแย่งพ่อคนอื่นมาจากลูกเขาเหรอ และลึกลงไปในใจทำไมต้องคอยภาวนาให้มันไม่ใช่ด้วย
วันเวลาผ่านไปนับเดือนเกือบปี ความคิดถึง โหยหาก็เริ่มซาลง ทว่าหนึ่งก็ยังคงวนเวียนเที่ยวส่งข้อความมาคุยกับเธอบ่อย ๆ ไม่เคยหายไปตลอดระยะเวลาที่เลิกกัน หนึ่งไม่เคยหายไปจากชีวิตของเธอเลย เที่ยวทักแชทมาคุยด้วยอยู่อย่างนั้น
หนึ่งมั่นใจในตัวเองมากว่าเด็กในท้องของผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ลูกของตน และทำไมเธอต้องคอยภาวนาด้วย แต่ก็ไม่ได้คุยกัน ไม่ส่งข้อความตอบกลับ ไม่รับสาย หนึ่งก็ไม่ลดละความพยายามติดต่อเธอเช่นกัน หนึ่งไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เธอไม่เช็คอิน ไม่ยอมให้ใครบอกว่าเธออยู่ไหนด้วย
หนึ่งเคยมาตามหาเธอทว่าก็ไม่เจอ เธอไหวตัวทันก่อน วันนั้นก็ไม่ได้กลับห้องจนกว่าจะมั่นใจว่าหนึ่งกลับกรุงเทพไปแล้ว เธอจึงกลับมาห้องพัก และย้ายออกไป หนึ่งสามารถเห็นเธอผ่านโซเชียลเท่านั้น แต่ไม่สามารถรู้เลยว่าเธออยู่ที่ไหน และไม่สามารถเจอเธอได้ ทั้งเธอกับเขาเจอกันเพียงผ่านโลกออนไลน์
ฝึกงานจบเธอสมัครเข้าทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งแถว ๆ จังหวัดที่เธอฝึกงานอยู่ พ่อกับแม่อยากให้กลับมาทำงานที่บ้านเธอก็ไม่ยอมกลับ ไม่อยากกลับไปเห็นอดีต ไม่อยากไปเห็นร่องรอยของเธอกับเขา มันยังชัดเจนทุกอย่าง แม้แต่บ้านของเธอเองเรื่องราวของเขายังชัดเจนทุกอย่าง
ไม่เคยลืมได้สักวัน แค่มันไม่ฟูมฟายเหมือนช่วงแรก ๆ แล้วเท่านั้น ไม่มีน้ำตา ไม่ร้องไห้ น้ำตาไม่มีให้ไหลกับเรื่องพวกนี้อีกต่อไป แม้จะคิดถึงจับหัวใจก็ไม่มีน้ำตาให้ไหลสักหยด หนึ่งก็ยังวนเวียนส่งข้อความมาคุยกับเธอบ่อย ๆ เสมอมาเช่นเดิม
เป็นไปได้แสงระวีอยากเทคะแนนให้กับความพยายามของเขามาก ถ้าจะให้อภัยก็คงจะเป็นการอภัยในความพยายามของเขาที่ส่งข้อความมาคุยทุกวัน และตนเองก็อ่านมันตลอด แม้ไม่มีการตอบกลับเลยสักครั้งก็ตาม เขาก็ยังเที่ยวส่งมาคุยเสมอ
ณ ที่ทำงาน
“น้องวีมีคนมาหา” พี่ป๊อบยืนตะโกนหน้าบันได เปล่งเสียงขึ้นไปเรียกเธอขณะที่กำลังยุ่งอยู่กับการหาเอกสารของลูกค้าที่ชั้นสอง “เร็ว ๆ เค้ารอนานแล้ว นั่งรอแป๊บนึงนะคะ เก้าอี้ตรงนู้นก็ได้ค่ะ” ได้ยินเสียงพี่ป๊อปคุยกับใครบางคน เธอไม่คิดเลยว่าจะเป็นหนึ่งมาหาที่นี่
“ครับ” แสงระวีได้ยินแว่ว ๆ เสียงของแขกที่มาหา พี่ป๊อปคุยกับใครกัน ใครมาหาเธอ ตอบครับด้วยใคร ! ใครวะ ! ลูกค้าเหรอแต่ทำไมพี่ป๊อปไม่รับแทน เธอคิดและหาเอกสารไปด้วย มันคิดไม่ออกจริง ๆ และคิดไม่ถึงด้วยว่าจะเป็นหนึ่งเอง
“จ้าพี่ป็อปแป๊บนึงนะคะ” ใครกันมาหาเธอ พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่น่าใช่ ก็ตอบว่าครับเมื่อครู่จะเป็นผู้หญิงได้อย่างไร เธอพึมพำคนเดียว เมื่อเจอเอกสารที่ต้องการแล้วจึงเดินลงมาจากชั้นสองของตึก เธอต้องตกใจ อึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้า คนตรงหน้า ผู้ชายรูปร่างกำยำใส่หมวกแก๊ปสีดำ คนที่ไม่เคยลืมได้ลงสักครั้ง
“หนึ่ง ! มาได้ไง” เธออุทานอย่างลืมตัว ไม่คิดว่าจะเป็นหนึ่ง และไม่คิดว่าจะมาที่นี่ได้
เธอจ้องหน้าเขา ไม่รู้ว่าดีใจหรือตกใจที่เขารู้ว่าเธออยู่ที่นี้ได้อย่างไรกันแน่ เขายิ้มคงดีใจเช่นกันที่ได้เจอเธอที่นี่ หลังจากไม่เจอกันมาเป็นปี มันจะร้องไห้ให้ได้เลย เธอเป็นอะไรของเธอ พยายามขมวดคิ้วกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล ผู้หญิงคนนั้นก็คงจะคลอดลูกแล้วสินะ
“วี !” หนึ่งยิ้มกว้าง เธอรับรู้และสัมผัสได้ถึงความดีใจของหนึ่ง ถ้าทำได้คงกระโดดกอดเธอไปนานแล้ว เรียกชื่อของเธอขอบตาแดงเหมือนจะร้องไห้ ไม่ต่างไปจากเธอเลยสักนิด ถ้าพี่ป๊อปหัวหน้าของเธอไม่อยู่ ถ้าน้องเอวาเพื่อนร่วมงานของเธอไม่อยู่ตรงนี้ เธอคงร้องไห้กอดหนึ่งไปนานแล้วเช่นกัน ต่างคนต่างยืนมองหน้ากัน ไม่มีคำจะพูด มันตื้นตันจุกในลำคอไปหมด
“วีไปทานข้าวข้างนอกไป นี่ก็เที่ยงแล้วพี่กับเอวาอยู่กันสองคนได้” พี่ป๊อปคงเห็นท่าทีของพวกเธอสองคน พี่ป็อปเป็นผู้ใหญ่กว่ามีประสบการณ์ชีวิตมาเยอะกว่าคงดูสถานการณ์ตรงหน้าออก “พี่ให้เวลาเต็มที่ วันนี้วันเสาร์สำนักงานใหญ่หยุด นายไม่เข้าหรอก พี่อนุญาต”
“พี่ป๊อป แต่...” เธอหันไปมองหัวหน้างาน ในใจทั้งอยากไปและไม่อยากไปต่อสู้กันไปหมด
“พี่อนุญาต ลูกค้าเราพี่จัดการให้” พี่ป็อปยังคงอยากให้เธอออกไปกับหนึ่งให้ได้
“งั้นก็ได้ค่ะ” เธอตอบตกลง
“เนี่ยขับเข้าไปตรงซอยหลังเซเว่นมันจะมีร้านอาหารตรงนั้น ฝั่งขวามือ เลยไปนิดเดียว ร้านน้องโบว์ที่มันเคยมาทำงานกับเราและลาออกไปอ่ะ มันลาออกไปเป็นพีอาร์ร้านนั่นแหละ กลางวันเค้าเปิดเป็นร้านข้าว อร่อยอยู่พาแฟนไปสิ” พี่ป๊อปแนะนำอย่างดี อนุญาตให้เธอใช้เวลากับหนึ่งได้เต็มที่
“พี่ป๊อปเค้าไม่ใช่แฟนหนูนะ” แสงระวีรีบตอบอย่างเร็ว หนึ่งมองหน้าหลังพูดจบประโยค แต่ไม่ได้พูดแทรกอะไร จากนั้นพวกเธอสองคนก็นั่งรถออกไปยังร้านที่ว่า ทั้งสองคนอยู่ในบรรยากาศที่เงียบ ต่างคนต่างเงียบไม่คุยอะไรกัน
“วีมาทำงานที่นี่เหรอ หนึ่งตามหาแทบตาย อยากเจอ” เขาเปิดประเด็นคุยก่อน ระหว่างที่นั้น เขาขับเลี้ยวเข้าซอยข้างเซเว่นและมองหาร้านตามที่พี่ป๊อปบอก “ไม่ต้องไปโทษเจน หรือใครเลยนะหนึ่งหาเจอของหนึ่งเอง เพื่อน ๆ ไม่เกี่ยว” เขาแก้ตัวเหมือนกลัวว่าเธอจะไปต่อว่าเพื่อน หรือสอบถามว่าใครเป็นคนบอกที่อยู่ของเธอให้กับเขา
“แล้วหนึ่งทำแบบนี้ทำไมล่ะ” ถามด้วยความไม่เข้าใจ เธอนั่งเงียบมาตลอดทาง ถามคำตอบคำ ไม่โกรธ ไม่เกลียด และไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองในตอนนี้ด้วย
หนึ่งไม่ตอบคำถามที่เธอถาม สักพักหนึ่งเลี้ยวรถเข้าไปจอดในร้านอาหารที่ว่า เป็นร้านอาหารตามสั่งธรรมดา มีจอทีวีขนาดใหญ่น่าจะเอาไว้เปิดบอลให้ลูกค้าดูตอนกลางคืน มีโต๊ะทานข้าวอยู่ไม่กี่โต๊ะ และมีโต๊ะว่าง ๆ ยกเก้าอี้คว่ำไว้หลายโต๊ะ ฝั่นนั้นน่าจะเป็นโต๊ะนั่งดื่มเหล้า ทั้งสองคนลงไปเลือกโต๊ะนั่งพนักงานนำเมนูมาให้สั่ง เธอมองหาน้องโบว์แต่ไม่เจอ จะเจอได้อย่างไรน้องโบว์ทำงานตอนกลางคืน กลางวันเป็นแค่ร้านตามสั่งธรรมดาเอง
แสงระวี….บทที่ 24 (รีไรท์)
.
เธอตัดขาดการติดต่อหนึ่งทุกช่องทาง หนึ่งเสียเองที่เป็นฝ่ายพยายามติดต่อเธอกลับมา หลังจากวันนั้นเธอรับรู้รสชาติของความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานใจมันเป็นเช่นไร
เธอบล็อกเบอร์ บล็อกไลน์ บล็อกเฟซบุ๊กทุกช่องทางการติดต่อ กี่รอบ ๆ หนึ่งก็สร้างล็อกอินขึ้นมาใหม่เสมอ ในที่สุดเธอก็ใจอ่อน ไม่ปิดกั้นอีกต่อไป ทำใจได้และคิดได้อีกอย่างคือ ทำไมต้องหนี เธอทำอะไรผิดทำไมต้องหนีหนึ่งด้วย
ทำไมเธอต้องหนีและปิดกั้นเขา เขาก็แค่คน ๆ หนึ่งที่เคยรู้จักกันมาเท่านั้น หลังจากที่เธอคิดได้แบบนี้ก็เปิดทุกช่องทางในการติดต่อ และเป็นอย่างที่คิด เขาโทรหาเธอ ทักแช็ตทักไลน์ฝากข้อความมาทุกวัน สุดท้ายเมื่อลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม ก็แค่ไม่ลืม แต่ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแค่นั้น
เธอกับหนึ่งกลับมาเป็นเพื่อนกันในโลกออนไลน์อีกครั้ง เห็นการเคลื่อนไหวของกันและกันทุกอย่าง แม้จะทำใจได้แล้วบ้าง ลึก ๆ ในใจมันก็ยังอยากเห็นความเคลื่อนไหวของหนึ่ง
ลึก ๆ เธอก็ยังอยากรู้ว่าเรื่องนั้นมันจะจบลงอย่างไร อยากรู้เรื่องของเขากับแม่ของลูกและลูกว่าเขาจะจัดการเช่นไร คงไม่พ้นแต่งงานนั่นแหละ แต่ทำไมต้องหวัง ทำไมต้องมีความหวัง ถ้าความจริงมันไม่เป็นอย่างที่หวังเธอจะไม่เจ็บเจียนตายอีกหรือ
พยายามไม่คาดหวังอะไร สุดท้ายก็เป็นเธอเองที่แอบเข้าไปดูชีวิตหนึ่งในโลกออนไลน์เงียบ ๆ เห็นเพียงการทำงานของหนึ่ง มีเพียงโพสต์ข้อความเศร้า ๆ สั้น ๆ สองสามโพสต์ ไม่มีรูปผู้หญิงคนนั้น ไม่มีรูปอะไรที่สื่อถึงการมีครอบครัวมีลูกของหนึ่งเลย
ไม่มีข้อความอะไรบ่งบอกถึงความตื่นเต้นดีใจที่จะได้เป็นพ่อ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งทางออกให้กับความคิดถึงของเธอ ดูรูปหนึ่งรูปเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็ทำให้หายคิดถึงได้บ้าง ทว่าก็ไม่เคยทักหาให้เกิดความบาดหมางใจของใคร
“วีพี่นิวบอกว่ามันสามารถตรวจดีเอ็นเอได้ตั้งแต่อยู่ในท้องไม่ต้องรอคลอดก็ได้นะ” แสงระวีกดอ่านข้อความที่หนึ่งส่งมาบอก แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับไป
หลายต่อหลายครั้งที่เขาแชทมาคุยกับเธอ เพียงแค่เปิดอ่านแต่ไม่ตอบกลับ เขาก็ยังทักมาคุยด้วยเสมอ และทุกครั้งเธอทำเพียงแค่เปิดอ่านแล้วปล่อยผ่านไป ข่มใจไม่ให้ตอบกลับไปแม้อยากคุยด้วยสักเพียงไหน
เมื่อทักมาบ่อย ๆ แล้วเธอไม่ตอบกลับหนักเข้าหนึ่งก็โทรหา แต่เธอก็ไม่ยอมรับสาย ไม่เคยรับแม้แต่ครั้งเดียว มองหน้าจอโทรศัพท์ที่มันโชว์เบอร์แค่นั้น และ ปล่อยให้มันเงียบไปเอง
เธออยากจะโมโหหนึ่งนักที่โทรมาช่วงตอนกลางวัน เพราะเธอไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้ ทำไมไม่โทรมาตอนกลางคืน ตอนอยู่หอพักคนเดียว เธอจะได้ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ได้เต็มที่ อยู่แบบนี้มันทรมานใจ
“วีคุยกับหนึ่งหน่อยได้มั้ย อยากได้ยินเสียง อยากคุยด้วย” ข้อความแล้วข้อความเล่าที่เขาทักมาคุยด้วย แสงระวีก็ทำเพียงเปิดอ่านและลบทิ้งไป ไม่อยากให้เปลืองพื้นที่โทรศัพท์ แต่ตนเองก็ชอบอ่าน เปิดอ่านทุกข้อความ
ในบางครั้งเหมือนคอยข้อความของเขาอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งเพื่อนหรือคนอื่นส่งข้อความมาแสงระวีจะรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านทันที บางครั้งแอบผิดหวังที่ไม่ใช่ข้อความจากเขา
“จะให้แม่พาไปตรวจดีเอ็นเอ เค้าบอกไม่ยอมตรวจ หนึ่งก็ไม่ยอมเหมือนกัน ก็มั่นใจในตัวเอง เค้าบอกว่ารอให้คลอดก่อนค่อยตรวจ” เปิดอ่านข้อความที่หนึ่งส่งมาหา
“เค้าไม่ยอมไปตรวจเลยวี บอกแต่รอให้คลอดก่อน หนึ่งจะทำยังไง วีคุยกับหนึ่งสักคำได้มั้ย ตอบกลับมาสักคำก็ยังดี สามเดือนมันก็ตรวจได้พี่นิวบอก ถ้าไม่ยอมไปตรวจหนึ่งก็จะไม่ยุ่งด้วยแล้ว เอ่อหนึ่งมันชั่วแหละ แต่ก็มั่นใจในตัวเองไง ลูกใครก็ไม่รู้ บอกรอให้คลอดก่อน งั้นก็จะปล่อยให้ฝากครรภ์เอง” เขาทึกทักเอาเองเหมือนว่าคุยกับเธอ เหมือนว่ากำลังคุยกับเธออยู่ เป็นแบบนี้ทุกวัน
เพราะเธอเปิดอ่านข้อความของเขาตลอดเป็นใครจะไม่คิดเอาเองแบบนั้น แต่จะห้ามไม่เปิดอ่านเธอก็ทำไม่ได้เลย ห้ามตัวเองไม่ได้เลยสักครั้ง
สี่เดือนแล้วที่เธออยู่ในช่วงฝึกงาน สี่เดือนแล้วที่เลิกกับหนึ่ง ลูกของหนึ่งกับผู้หญิงคนนั้นก็คงจะประมาณห้าเดือน เพราะตอนเลิกกันเธอคนนั้นท้องได้แค่เดือนเดียว ทำไมเธอต้องคอย คอยโดยไม่มีเหตุผล ทำไมภายในใจต้องนับด้วยว่าอีกสี่เดือนลูกหนึ่งก็ลืมตามาดูโลกแล้ว เธอหวังเหรอ หวังลม ๆ แล้ง ๆ หวังอะไรหนึ่งทำเจ็บปวดขนาดนี้
“วีฝึกงานจบแล้วจะไปทำงานที่ไหนอ่ะ ขออนุญาตบอกว่าคิดถึงได้มั้ย วีมีคนอื่นหรือยัง หนึ่งคิดถึง หนึ่งไปเจอได้มั้ย วีฝึกงานอยู่ที่ไหน เนี่ยวันที่ ยี่สิบหนึ่งก็จะกลับไปบ้าน เราเจอกันได้มั้ย คิดถึงมากนะครับ ” หนึ่งยังคงส่งข้อความมาคุยกับเธอเรื่อย ๆ บางครั้งวูบหนึ่งของความคิดก็อยากจะตอบหนึ่งไปเหมือนกัน วูบหนึ่งของความคิดอยากจะกลับไปคุยและให้อภัย แต่พอนึกถึงผู้หญิงคนนั้นกับลูก ความยับยั้งชั่งใจก็เกิดขึ้น และห้ามตัวเองได้
ถ้ากลับไปคบกันอีกเธอจะเป็นตัวอะไร ในฐานะอะไร ก็ได้ชื่อว่าแย่งพ่อคนอื่นมาจากลูกเขาเหรอ และลึกลงไปในใจทำไมต้องคอยภาวนาให้มันไม่ใช่ด้วย
วันเวลาผ่านไปนับเดือนเกือบปี ความคิดถึง โหยหาก็เริ่มซาลง ทว่าหนึ่งก็ยังคงวนเวียนเที่ยวส่งข้อความมาคุยกับเธอบ่อย ๆ ไม่เคยหายไปตลอดระยะเวลาที่เลิกกัน หนึ่งไม่เคยหายไปจากชีวิตของเธอเลย เที่ยวทักแชทมาคุยด้วยอยู่อย่างนั้น
หนึ่งมั่นใจในตัวเองมากว่าเด็กในท้องของผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ลูกของตน และทำไมเธอต้องคอยภาวนาด้วย แต่ก็ไม่ได้คุยกัน ไม่ส่งข้อความตอบกลับ ไม่รับสาย หนึ่งก็ไม่ลดละความพยายามติดต่อเธอเช่นกัน หนึ่งไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เธอไม่เช็คอิน ไม่ยอมให้ใครบอกว่าเธออยู่ไหนด้วย
หนึ่งเคยมาตามหาเธอทว่าก็ไม่เจอ เธอไหวตัวทันก่อน วันนั้นก็ไม่ได้กลับห้องจนกว่าจะมั่นใจว่าหนึ่งกลับกรุงเทพไปแล้ว เธอจึงกลับมาห้องพัก และย้ายออกไป หนึ่งสามารถเห็นเธอผ่านโซเชียลเท่านั้น แต่ไม่สามารถรู้เลยว่าเธออยู่ที่ไหน และไม่สามารถเจอเธอได้ ทั้งเธอกับเขาเจอกันเพียงผ่านโลกออนไลน์
ฝึกงานจบเธอสมัครเข้าทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งแถว ๆ จังหวัดที่เธอฝึกงานอยู่ พ่อกับแม่อยากให้กลับมาทำงานที่บ้านเธอก็ไม่ยอมกลับ ไม่อยากกลับไปเห็นอดีต ไม่อยากไปเห็นร่องรอยของเธอกับเขา มันยังชัดเจนทุกอย่าง แม้แต่บ้านของเธอเองเรื่องราวของเขายังชัดเจนทุกอย่าง
ไม่เคยลืมได้สักวัน แค่มันไม่ฟูมฟายเหมือนช่วงแรก ๆ แล้วเท่านั้น ไม่มีน้ำตา ไม่ร้องไห้ น้ำตาไม่มีให้ไหลกับเรื่องพวกนี้อีกต่อไป แม้จะคิดถึงจับหัวใจก็ไม่มีน้ำตาให้ไหลสักหยด หนึ่งก็ยังวนเวียนส่งข้อความมาคุยกับเธอบ่อย ๆ เสมอมาเช่นเดิม
เป็นไปได้แสงระวีอยากเทคะแนนให้กับความพยายามของเขามาก ถ้าจะให้อภัยก็คงจะเป็นการอภัยในความพยายามของเขาที่ส่งข้อความมาคุยทุกวัน และตนเองก็อ่านมันตลอด แม้ไม่มีการตอบกลับเลยสักครั้งก็ตาม เขาก็ยังเที่ยวส่งมาคุยเสมอ
ณ ที่ทำงาน
“น้องวีมีคนมาหา” พี่ป๊อบยืนตะโกนหน้าบันได เปล่งเสียงขึ้นไปเรียกเธอขณะที่กำลังยุ่งอยู่กับการหาเอกสารของลูกค้าที่ชั้นสอง “เร็ว ๆ เค้ารอนานแล้ว นั่งรอแป๊บนึงนะคะ เก้าอี้ตรงนู้นก็ได้ค่ะ” ได้ยินเสียงพี่ป๊อปคุยกับใครบางคน เธอไม่คิดเลยว่าจะเป็นหนึ่งมาหาที่นี่
“ครับ” แสงระวีได้ยินแว่ว ๆ เสียงของแขกที่มาหา พี่ป๊อปคุยกับใครกัน ใครมาหาเธอ ตอบครับด้วยใคร ! ใครวะ ! ลูกค้าเหรอแต่ทำไมพี่ป๊อปไม่รับแทน เธอคิดและหาเอกสารไปด้วย มันคิดไม่ออกจริง ๆ และคิดไม่ถึงด้วยว่าจะเป็นหนึ่งเอง
“จ้าพี่ป็อปแป๊บนึงนะคะ” ใครกันมาหาเธอ พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่น่าใช่ ก็ตอบว่าครับเมื่อครู่จะเป็นผู้หญิงได้อย่างไร เธอพึมพำคนเดียว เมื่อเจอเอกสารที่ต้องการแล้วจึงเดินลงมาจากชั้นสองของตึก เธอต้องตกใจ อึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้า คนตรงหน้า ผู้ชายรูปร่างกำยำใส่หมวกแก๊ปสีดำ คนที่ไม่เคยลืมได้ลงสักครั้ง
“หนึ่ง ! มาได้ไง” เธออุทานอย่างลืมตัว ไม่คิดว่าจะเป็นหนึ่ง และไม่คิดว่าจะมาที่นี่ได้
เธอจ้องหน้าเขา ไม่รู้ว่าดีใจหรือตกใจที่เขารู้ว่าเธออยู่ที่นี้ได้อย่างไรกันแน่ เขายิ้มคงดีใจเช่นกันที่ได้เจอเธอที่นี่ หลังจากไม่เจอกันมาเป็นปี มันจะร้องไห้ให้ได้เลย เธอเป็นอะไรของเธอ พยายามขมวดคิ้วกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล ผู้หญิงคนนั้นก็คงจะคลอดลูกแล้วสินะ
“วี !” หนึ่งยิ้มกว้าง เธอรับรู้และสัมผัสได้ถึงความดีใจของหนึ่ง ถ้าทำได้คงกระโดดกอดเธอไปนานแล้ว เรียกชื่อของเธอขอบตาแดงเหมือนจะร้องไห้ ไม่ต่างไปจากเธอเลยสักนิด ถ้าพี่ป๊อปหัวหน้าของเธอไม่อยู่ ถ้าน้องเอวาเพื่อนร่วมงานของเธอไม่อยู่ตรงนี้ เธอคงร้องไห้กอดหนึ่งไปนานแล้วเช่นกัน ต่างคนต่างยืนมองหน้ากัน ไม่มีคำจะพูด มันตื้นตันจุกในลำคอไปหมด
“วีไปทานข้าวข้างนอกไป นี่ก็เที่ยงแล้วพี่กับเอวาอยู่กันสองคนได้” พี่ป๊อปคงเห็นท่าทีของพวกเธอสองคน พี่ป็อปเป็นผู้ใหญ่กว่ามีประสบการณ์ชีวิตมาเยอะกว่าคงดูสถานการณ์ตรงหน้าออก “พี่ให้เวลาเต็มที่ วันนี้วันเสาร์สำนักงานใหญ่หยุด นายไม่เข้าหรอก พี่อนุญาต”
“พี่ป๊อป แต่...” เธอหันไปมองหัวหน้างาน ในใจทั้งอยากไปและไม่อยากไปต่อสู้กันไปหมด
“พี่อนุญาต ลูกค้าเราพี่จัดการให้” พี่ป็อปยังคงอยากให้เธอออกไปกับหนึ่งให้ได้
“งั้นก็ได้ค่ะ” เธอตอบตกลง
“เนี่ยขับเข้าไปตรงซอยหลังเซเว่นมันจะมีร้านอาหารตรงนั้น ฝั่งขวามือ เลยไปนิดเดียว ร้านน้องโบว์ที่มันเคยมาทำงานกับเราและลาออกไปอ่ะ มันลาออกไปเป็นพีอาร์ร้านนั่นแหละ กลางวันเค้าเปิดเป็นร้านข้าว อร่อยอยู่พาแฟนไปสิ” พี่ป๊อปแนะนำอย่างดี อนุญาตให้เธอใช้เวลากับหนึ่งได้เต็มที่
“พี่ป๊อปเค้าไม่ใช่แฟนหนูนะ” แสงระวีรีบตอบอย่างเร็ว หนึ่งมองหน้าหลังพูดจบประโยค แต่ไม่ได้พูดแทรกอะไร จากนั้นพวกเธอสองคนก็นั่งรถออกไปยังร้านที่ว่า ทั้งสองคนอยู่ในบรรยากาศที่เงียบ ต่างคนต่างเงียบไม่คุยอะไรกัน
“วีมาทำงานที่นี่เหรอ หนึ่งตามหาแทบตาย อยากเจอ” เขาเปิดประเด็นคุยก่อน ระหว่างที่นั้น เขาขับเลี้ยวเข้าซอยข้างเซเว่นและมองหาร้านตามที่พี่ป๊อปบอก “ไม่ต้องไปโทษเจน หรือใครเลยนะหนึ่งหาเจอของหนึ่งเอง เพื่อน ๆ ไม่เกี่ยว” เขาแก้ตัวเหมือนกลัวว่าเธอจะไปต่อว่าเพื่อน หรือสอบถามว่าใครเป็นคนบอกที่อยู่ของเธอให้กับเขา
“แล้วหนึ่งทำแบบนี้ทำไมล่ะ” ถามด้วยความไม่เข้าใจ เธอนั่งเงียบมาตลอดทาง ถามคำตอบคำ ไม่โกรธ ไม่เกลียด และไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองในตอนนี้ด้วย
หนึ่งไม่ตอบคำถามที่เธอถาม สักพักหนึ่งเลี้ยวรถเข้าไปจอดในร้านอาหารที่ว่า เป็นร้านอาหารตามสั่งธรรมดา มีจอทีวีขนาดใหญ่น่าจะเอาไว้เปิดบอลให้ลูกค้าดูตอนกลางคืน มีโต๊ะทานข้าวอยู่ไม่กี่โต๊ะ และมีโต๊ะว่าง ๆ ยกเก้าอี้คว่ำไว้หลายโต๊ะ ฝั่นนั้นน่าจะเป็นโต๊ะนั่งดื่มเหล้า ทั้งสองคนลงไปเลือกโต๊ะนั่งพนักงานนำเมนูมาให้สั่ง เธอมองหาน้องโบว์แต่ไม่เจอ จะเจอได้อย่างไรน้องโบว์ทำงานตอนกลางคืน กลางวันเป็นแค่ร้านตามสั่งธรรมดาเอง