ขอวิธียอมรับความจริงหน่อยครับ

ตั้งแต่ตอน ม.1 ผมยอมทิ้งทุกๆอย่างที่เด็กมัธยมชอบทำเพื่อมา สายนักประดิษฐ์และประดิษฐ์ และวิศวะมาตลอด ผมเพ้อเจ้อไปเยอะ เรียนรู้อะไรไปเยอะจนตอนนี้ก็เก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้ก็เก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนระดับหนึ่งแล้ว ผมฝันเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นวิศวะให้ได้  ผมตั้งใจเรียนอดนอนอ่านนู่นอ่านนี้เยอะมากๆ ได้ที่ท็อปๆของห้องตลอด

จนถึงวันนี้ ผมกำลังจะจบ ม.6 สิ่งที่ผมพยายาม มาเกือบ 5-6 ปี กำลังจะต้องทิ้งมันไปเพราะพ่อกับแม่ไม่มีเงินส่งเรียนต่อครับ แม่บอกว่าพอจบม.6 ให้ไปสอบนายสิบ คนแบบเราได้เป็นนายสิบก็ดีแล้ว ลำบากหน่อยแต่มีก็งานทำ ผมรู้สึกเฟลมากๆครับ คือมันไม่รู้จะพูดอะไรมันจุกแบบจุกจริงๆ ผมพยายามยอมรับความจริงว่าอย่างน้อยก็ต้องมีเวลามาทำมาศึกษาสิ่งที่รักบ้างแหละ แต่ผมกลับรู้สึกเฟลไม่รู้ว่าจะตั้งใจเรียนไปทำไมเพราะเรียนไปก็ไม่ได้เอาไปเทียบมหาลัยแล้ว ตอนนี้คือตั้งใจเรียนเฉพาะอันที่คิดว่ามันต้องได้ใช้แน่ๆอย่าง คณิต กับฟิสิกส์ แต่ชีวะ กับเคมี ผมไม่มีใจไปเรียนอีกแล้ว แต่ผมก็พยายามทำใจ ดีกว่าไปงอแงให้ลำบากพวกท่าน

ทุกวันนี้พยายามบอกตัวเองว่าให้ยอมรับความจริง แต่มันก็จะรู้สึกเป็นช่วงๆมันรู้สึกซึมๆไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยครับ มันหมดไฟ ไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อน
ตอนที่พวกพี่ๆเจอแบบนี้ พวกพี่ๆจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงหรอครับ ขอบคุณครับ

(ที่ถามแบบนี้ไม่ได้จะดูถูกวิชาชีพว่าเป็นนายสิบมันไม่ดีนะครับ แต่ผมแค่รู้สึกว่าที่ผมทำมามันคนละแบบครับ หลังจากที่ได้เขียนซึ่งเหมือนการระบายความอึดอัดใจของตัวเองลงมา ตอนนี้รู้ดีขึ้นมากๆครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
จขกท. ก็ไม่ต้องทิ้งฝันสิครับ แค่มองให้มันกว้างขึ้นกว่าเดิม …

คุณก็แค่ต้องเขาใจว่า ในหลายๆครั้ง งานหลักที่ทำเพื่อหาเลี้ยงชีพ กับงานที่เราทำเพื่อเติมเต็มฝันของเรา มันอาจจะไม่ไปในทางเดียวกันก็ได้ คุณอาจจะเหนื่อยมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันสวนทางต่อกันมากน้อยแค่ไหน ก็แค่คุณต้องแยกแยะและ Balance ทั้งสองสิ่งให้ไปด้วยกันได้พร้อมๆกันก็เท่านั้น แรกๆคุณอาจจะต้องทนไปก่อนเพื่อให้งานหลักมันมั่นคงก่อน แล้วคุณค่อยมาสานฝันต่อเมื่อคุณมั่นคงมีจะกินแล้วก็ได้

คนเรามันจะแพ้ มันจะทิ้งฝัน มันก็เป็นไปได้แค่ทางเดียว คือ เรายอมทิ้งฝันเพราะเราไม่สู้ต่อเอง แน่นอนว่าหนทางของแต่ละคนมันยากง่ายแตกต่างกัน ผมเลยมองว่าคุณไม่ได้ต้องการวิธียอมรับความจริงหรอก คุณแค่ต้องการวิธีเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกต่างหาก นั่นเพราะคุณอาจจะยังเด็ก ยังประสบการณ์ไม่มาก และยังมองได้ไม่กว้างเท่าไหร่นัก สิ่งที่คุณควรหัดไม่ใช่การทุ่มเทให้สุดกำลังแล้ว เพราะคุณทำเป็นแล้ว แต่ควรเป็น การรู้จังหวะและจุดที่จะต้องทุ่มเทมากกว่า ว่าจุดใดควรผ่อนหนักผ่อนเบาอย่างไร โลกนี้มันไม่ได้ตรงไปตรงมาแบบว่าทำเต็มที่แล้วมันจะสำเร็จง่ายๆหรอกนะครับ มันมีเงื่อนไขซับซ้อนมากมายในแต่ละสิ่ง การที่คุณจะไปถึงเป้าหมายได้ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณเข้าใจเงื่อนไขเหล่านั้นดีขนาดไหน และปรับตัวเข้าหามันเก่งขนาดไหน ซึ่งพอเอาเงื่อนไขหลายๆอย่างมาต่อๆกัน เรามักพบว่า ทางเดินชีวิตคนเรานั้นมันไมาได้เป็นเส้นตรง แต่มันคดเคี้ยวไปมาตามจังหวะชีวิต มีหนักเบาเป็นบางช่วง และไขว้กันไปมาระหว่างหลายๆบทบาทที่เราต้องเป็นพร้อมๆกัน

ฉะนั้น ถ้าช่วงนี้พ่อแม่เขายังไม่ไหวที่จะส่งคุณไปในทางที่คุณฝัน และการทำเพื่อหางานที่มั่นคงมันจำเป็นมากกว่า คุณก็ควรที่จะผ่อนเบาในสิ่งที่ฝันลงก่อน เมื่อไหร่ที่อาชีพคุณมั่นคงแล้ว คุณค่อยกลับมาสานฝันต่อก็ยังไม่สาย พูดกันตามตรงแน่นอนว่าคุณต้องเหนื่อยเพิ่มอีกหลายเท่า แต่นี่แหละครับ เขาเรียกว่าจังหวะชีวิตมันพาไป ขอแค่อย่าล้มเลิกฝันไปก่อน สักวันมันจะต้องสำเร็จแน่นอนครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่