เรื่องอาจยาวหน่อย เข้ามาอ่านหน่อยนะคะ
ถือว่าเป็นบทเรียนชีวิต
เรากับแฟนรู้จักกันตอนทำงานโรงแรมค่ะ เราเป็นพนักงานต้อนรับ แฟนเราเป็นผู้ช่วยกุ๊ก ช่วงหลังๆ พอคบกันมาได้สักพักเขาก็ได้อัพตำแหน่งเป็นกุ๊กครัวไทยค่ะ
เราคบกันมาได้ 4-5 ปี ชีวิตคู่ของเราก็ดีนะคะ ไม่ทะเลาะกันเท่าไหร่ส่วนมากเราจะคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่า น้อยมากที่จะทะเลาะกันแบบบ้านแตก
มันคงเริ่มตอนที่โควิดระบาดหนัก โรงแรมปิดตัว ไม่มีรายได้เพิ่ม มีแต่รายจ่าย ก่อนอื่นเราเป็นคนภูเก็ตค่ะเติบโตที่นี้เลย ส่วนแฟนเป็นคนนครค่ะ แฟนเราเขาตัดสินใจที่จะกลับบ้านของเขาคือจังหวัดนคร จะกลับไปตัดยางนะคะ เราก็ว่ากลับไปก็ได้นะ ไม่ได้อะไรมาก แต่ขอไม่ตัดยางนะ เพราะเราทำไม่ไหวบวกตัดไม่เป็นด้วย แฟนเราเขาโอเคเพราะเราคุยกันแล้วก่อนขึ้นไปว่าไปอยู่หลบสถานะการณ์ตอนนั่นก่อนถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย พวกค่าห้องค่าไฟ พอสถานะการณ์ดีขึ้นเราค่อยลงมาทำงานต่อ ถ้าหากตอนนั้นโรงแรมเปิด
ตอนแรกๆ ที่ขึ้นไปอยู่ก็เรื่อยๆ ค่ะไม่ดีไม่แย่เรายังกินเงินของประกันสังคมอยู่เลยยังอยู่ได้บวกกับแฟนเราตัดยางได้ครั้งละ 2-3000 กว่า หักไป1000 ไห้เจ้าของสวน คือแฟนเรา เห็นเขาบอกนะว่าเขามีส่วนยางแต่แม่เขาตัด เขาเลยต้องมาตัดอีกสวน ซึ่งพอมาตัดอีกสวนคนที่เป็นเจ้าของสวนคือป้าหรือน้านี้แหล่ะ เขาก็ต้องไห้ค่าเจ้าของสวนด้วย ส่วนสวนที่เป็นของเขาแม่เขาไม่ได้ไห้นะ เพราะถือว่าเป็นแม่ลูกกัน เราก็ไม่เข้าใจหรอก
พออยู่ไปสักพักค่อนข้างอึดอัดมากกก ต้องปรับตัวเยอะเลย ทำกับข้าวไม่เป็นต้องหัด ต่างๆ นาๆ เราก็โอเคทนได้ไม่ถือว่าหนักมาก (เหตุผลที่ทำไม่เป็นเพราะแต่ก่อนกินข้าวที่โรงแรมไม่ก็ซื้อข้าวกินค่ะ) ก่อนที่เราขึ้นไปก็คิดว่าตัดยางคงไม่หนักมาก เพราะแฟนเขาเคยตัดมาก่อน ก่อนที่จะลงไปหางานที่ภูเก็ตคงชินแล้ว คงเลี้ยงเราได้ เราไม่ได้หวังเยอะใช่ไหมเราแค่ต้องการคนที่จะเลี้ยงเราได้ แฟนเขาขอไห้เราไปช่วยเก็บขี้ยางกับแบกขี้ยางค่ะ ช่วงแรกๆ ที่ไปอยู่ไม่ได้ทำนะ แต่พอสักพักเขาก็บอกลองเก็บขี้ยางไหม ไม่หนักนะ อย่าคิดว่ามันเแค่เก็บๆ ก็จบนะ มันต้องลากต้องแบก ซึ่งสวนยางนี้ คือมันไม่ติดถนนนะต้องขี้มอไซต์เข้าไปและที่สำคัญมันต้องลากขึ้นเนินเขา คิดดูนะกระสอบถุงปุ๋ยใส่ขี้ยางประมาณ 25-30 โลอ่ะ คุณแบกไว้ไหม ผู้ชายคงไหวแหล่ะ เราผู้หญิงยกทีแขนจะหลุดเราไม่ได้เหยียดงานนี้นะแต่ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว แล้วนี้นะเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย แบกเสร็จก็ราวไปทั้งตัว ก็ช่วยนะสงสารแต่ถ้าไม่ไหวก็จะขนขึ้นไปน้อยๆ แฟนเขาก็ไม่พอใจอีกจะขนไห้เสร้จเร็วๆ เราเข้าใจนะเหนื่อยที่เดี้ยวจบ แต่บ้างทีเราไม่ไหวไง พอเขาเห็นเราทำได้ก็เริ่มขอเพิ่ม ขอไห้เราหัดตัดยาง เราก็บอกนะ เรามาอยู่ชั่วคราวคงไม่ต้องถึงขนาดหัดตัดมั้งเราไม่ไหวหรอก เขาก็ไม่พอใจแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก หลังๆ มีบอกไห้หัดบ้างเราก็ทำเป็นไม่สนใจไป
พอมีช่วงต้นเดือนเมษา ทางโรงแรมเรียกไห้ลงมาที่ภูเก็ตกลับไปฉีดวัคซีน เราก็จะลงไป แรกๆ แฟนเราไม่ยอมนะ เพราะอยากไห้เราลาออกจากงานนั้นมาช่วยงานตัดยางของเขาและตอนที่เราอยู่ที่นครก็ทำทุกอย่างที่แม่บ้านคนหนึ่งสมควรต้องทำอ่ะ ทำทุกอย่างยกเว้นตัดยางนะ นี้แค่แฟนนะยังไม่แต่งงานกันที พอเราลงมาที่ภูเก็ตระหว่างรอฉีดเข็ม2 ก็หางานพาสไทม์ทำ ก็ได้งานนะเป็นงานออฟฟิศขายทัวร์ออนไลน์ งานไม่หนัก เพราะเป็นสายงานที่เราเรียนมา ถือว่าโอเค ดีเยี่ยมเลย จนโควิดรอบ3 เข้าทางที่ทำงานเขาก็เลิกจ้าง เราก็กลับมาว่างงาน ช่วงรองานใหม่ก็รับจ๊อบช่วยงานแม่นิดๆ หน่อยได้วันล่ะ 200-300 บาท พอค่ากับข้าว
เรื่องมันเริ่มหนักขึ้นตรงที่แฟนเราเขาเริ่มจับผิด หึงทุกอย่างเพื่อนโพสแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ก็จับผิด แบบเชิงประชดประชันว่าเราไปภูเก็ตมีแอบคุยกับใครใช่ไหมถึงไม่ยอมกลับไปหาเขาสักที บอกก่อนนะคบกับเขามา 4-5ปี ไม่เคยนอกใจ เพื่อนผู้ชายที่คบก็มีแต่เกย์ล่าสุดก็ไม่ค่อยได้คุยแล้วเพราะชีวิตต้องวนเวียนรอบตัวแฟนอย่างเดียว คือเขาอารมณ์ร้ายอ่ะ เรารักเราก็ยอมนะ เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนก็ไม่ค่อยคุยเลย เราก็อธิบายกับเขานะ เราไม่มีใคร ไม่ได้คุยกับใครเราอยู่แต่ที่บ้านพ่อกับแม่ เขาก็บ่นนูนนี้นั่น มันพีคตรงที่เขาบีบไห้เราเลือกค่ะ ว่าจะกลับไปหาเขาที่นครไปอยู่กับเขาที่นูนหรือจะเลือกทำงานที่นี้ เป็นคุณ คุณจะเลือกแบบไหนค่ะ? เป็นเราเลือกที่จะทำงานที่นี้ค่ะ เราเคยบอกแล้วว่าไม่เลือกได้ไหม แต่เขาไม่ยอมต้องเลือกเท่านั่น ตอนนั้นใช้คำว่าบีบบังคับได้มั้ง ถ้ากลับไปช่วยเขาทำงานตัดยางคงไม่ไหว หนี้เราก็มี เขาก็ไม่ยอมโกรธมาก ช่วนทะเลาะตลอด
หลังๆ มาเราเริ่มไม่ตอบโต้ค่ะ ปล่อยไห้เขาพูดไป แล้วเขาพูดทำนองว่าแต่ก่อนเราพูดว่าจะไม่ทิ้งเขา บอกไปแค่เดือนสองเดือนก็กลับ แต่ตอนนี้เราก็เลือกจะทิ้งเขาแล้ว คือเราไม่เข้าใจเลยทำไมเขาถึงพูดแบบนั่นเวลามีปัญหา มีอะไรเราช่วยตลอดเลย พอมาถึงเรื่องนี้กลับพูดแบบนี้ พอเราถามกลับว่าทำไมเขาถึงไม่เลือกลงมาทำงานที่นี้บ้างล่ะ เขาก็บอกเขาเบื่อแล้ว เขาไม่อยากทำงานแบบนี้แล้ว เขาโตมากับการตัดยางก็อยากเป็นแบบนั่น แต่ทำไมเขาไม่คิดถึงใจเราบ้างเลยล่ะ เราเหนื่อยนะทำงานแบกหามแบบนั่น คำพูดที่ทำไห้พูดไม่ออกเลยคือเขาบอก เขาตัดยางตั้ง 6 วันนะเราไปเก็บแค่วันเดี้ยวเองทำไมทำไม่ได้ โห้วววว เราร้องเลยย เขาต้องการไห้เรากลับไปอย่างเดี้ยว แต่ไม่ยอมมองกลับมามองเราบ้าง ว่าเราเหมาะกับงานแบบนั้นไหม? เราไหวไหม? ค่าใช้จ่ายมันคุ้มไหม? เราแค่อยากได้คนที่จะมาดูแลเราบ้าง ไม่ใช่เราต้องดูแลเขาตลอด ชีวิตต้องหมุนเวียนอยู่รอบตัวเขาตลอดแบบนั่นเราไม่คิดว่ามันเป็นชีวิตคู่ ตอนนี้คำๆ เดียวคือเหนื่อยใจค่ะ จุกจนพูดไม่ออกเลย เราเข้าใจเขานะ แต่เราก็อยากไห้เขาเข้าใจเราเหมือนกัน เราไม่ไหวจริง ถ้าที่ทำงานเก่าที่เขาเคยทำหัวหน้าไม่ดี ทำไมไม่เปลี่ยนงาน
ไม่เข้าใจแฟนเราเลยค่ะ.. ตอนนี้อาจเริ่มกลายเป็นอดีตล่ะว่าทำไมต้องเลือก ทำไมถึงไม่ปรับตัวเข้าหากัน?
ถือว่าเป็นบทเรียนชีวิต
เรากับแฟนรู้จักกันตอนทำงานโรงแรมค่ะ เราเป็นพนักงานต้อนรับ แฟนเราเป็นผู้ช่วยกุ๊ก ช่วงหลังๆ พอคบกันมาได้สักพักเขาก็ได้อัพตำแหน่งเป็นกุ๊กครัวไทยค่ะ
เราคบกันมาได้ 4-5 ปี ชีวิตคู่ของเราก็ดีนะคะ ไม่ทะเลาะกันเท่าไหร่ส่วนมากเราจะคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่า น้อยมากที่จะทะเลาะกันแบบบ้านแตก
มันคงเริ่มตอนที่โควิดระบาดหนัก โรงแรมปิดตัว ไม่มีรายได้เพิ่ม มีแต่รายจ่าย ก่อนอื่นเราเป็นคนภูเก็ตค่ะเติบโตที่นี้เลย ส่วนแฟนเป็นคนนครค่ะ แฟนเราเขาตัดสินใจที่จะกลับบ้านของเขาคือจังหวัดนคร จะกลับไปตัดยางนะคะ เราก็ว่ากลับไปก็ได้นะ ไม่ได้อะไรมาก แต่ขอไม่ตัดยางนะ เพราะเราทำไม่ไหวบวกตัดไม่เป็นด้วย แฟนเราเขาโอเคเพราะเราคุยกันแล้วก่อนขึ้นไปว่าไปอยู่หลบสถานะการณ์ตอนนั่นก่อนถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย พวกค่าห้องค่าไฟ พอสถานะการณ์ดีขึ้นเราค่อยลงมาทำงานต่อ ถ้าหากตอนนั้นโรงแรมเปิด
ตอนแรกๆ ที่ขึ้นไปอยู่ก็เรื่อยๆ ค่ะไม่ดีไม่แย่เรายังกินเงินของประกันสังคมอยู่เลยยังอยู่ได้บวกกับแฟนเราตัดยางได้ครั้งละ 2-3000 กว่า หักไป1000 ไห้เจ้าของสวน คือแฟนเรา เห็นเขาบอกนะว่าเขามีส่วนยางแต่แม่เขาตัด เขาเลยต้องมาตัดอีกสวน ซึ่งพอมาตัดอีกสวนคนที่เป็นเจ้าของสวนคือป้าหรือน้านี้แหล่ะ เขาก็ต้องไห้ค่าเจ้าของสวนด้วย ส่วนสวนที่เป็นของเขาแม่เขาไม่ได้ไห้นะ เพราะถือว่าเป็นแม่ลูกกัน เราก็ไม่เข้าใจหรอก
พออยู่ไปสักพักค่อนข้างอึดอัดมากกก ต้องปรับตัวเยอะเลย ทำกับข้าวไม่เป็นต้องหัด ต่างๆ นาๆ เราก็โอเคทนได้ไม่ถือว่าหนักมาก (เหตุผลที่ทำไม่เป็นเพราะแต่ก่อนกินข้าวที่โรงแรมไม่ก็ซื้อข้าวกินค่ะ) ก่อนที่เราขึ้นไปก็คิดว่าตัดยางคงไม่หนักมาก เพราะแฟนเขาเคยตัดมาก่อน ก่อนที่จะลงไปหางานที่ภูเก็ตคงชินแล้ว คงเลี้ยงเราได้ เราไม่ได้หวังเยอะใช่ไหมเราแค่ต้องการคนที่จะเลี้ยงเราได้ แฟนเขาขอไห้เราไปช่วยเก็บขี้ยางกับแบกขี้ยางค่ะ ช่วงแรกๆ ที่ไปอยู่ไม่ได้ทำนะ แต่พอสักพักเขาก็บอกลองเก็บขี้ยางไหม ไม่หนักนะ อย่าคิดว่ามันเแค่เก็บๆ ก็จบนะ มันต้องลากต้องแบก ซึ่งสวนยางนี้ คือมันไม่ติดถนนนะต้องขี้มอไซต์เข้าไปและที่สำคัญมันต้องลากขึ้นเนินเขา คิดดูนะกระสอบถุงปุ๋ยใส่ขี้ยางประมาณ 25-30 โลอ่ะ คุณแบกไว้ไหม ผู้ชายคงไหวแหล่ะ เราผู้หญิงยกทีแขนจะหลุดเราไม่ได้เหยียดงานนี้นะแต่ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว แล้วนี้นะเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย แบกเสร็จก็ราวไปทั้งตัว ก็ช่วยนะสงสารแต่ถ้าไม่ไหวก็จะขนขึ้นไปน้อยๆ แฟนเขาก็ไม่พอใจอีกจะขนไห้เสร้จเร็วๆ เราเข้าใจนะเหนื่อยที่เดี้ยวจบ แต่บ้างทีเราไม่ไหวไง พอเขาเห็นเราทำได้ก็เริ่มขอเพิ่ม ขอไห้เราหัดตัดยาง เราก็บอกนะ เรามาอยู่ชั่วคราวคงไม่ต้องถึงขนาดหัดตัดมั้งเราไม่ไหวหรอก เขาก็ไม่พอใจแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก หลังๆ มีบอกไห้หัดบ้างเราก็ทำเป็นไม่สนใจไป
พอมีช่วงต้นเดือนเมษา ทางโรงแรมเรียกไห้ลงมาที่ภูเก็ตกลับไปฉีดวัคซีน เราก็จะลงไป แรกๆ แฟนเราไม่ยอมนะ เพราะอยากไห้เราลาออกจากงานนั้นมาช่วยงานตัดยางของเขาและตอนที่เราอยู่ที่นครก็ทำทุกอย่างที่แม่บ้านคนหนึ่งสมควรต้องทำอ่ะ ทำทุกอย่างยกเว้นตัดยางนะ นี้แค่แฟนนะยังไม่แต่งงานกันที พอเราลงมาที่ภูเก็ตระหว่างรอฉีดเข็ม2 ก็หางานพาสไทม์ทำ ก็ได้งานนะเป็นงานออฟฟิศขายทัวร์ออนไลน์ งานไม่หนัก เพราะเป็นสายงานที่เราเรียนมา ถือว่าโอเค ดีเยี่ยมเลย จนโควิดรอบ3 เข้าทางที่ทำงานเขาก็เลิกจ้าง เราก็กลับมาว่างงาน ช่วงรองานใหม่ก็รับจ๊อบช่วยงานแม่นิดๆ หน่อยได้วันล่ะ 200-300 บาท พอค่ากับข้าว
เรื่องมันเริ่มหนักขึ้นตรงที่แฟนเราเขาเริ่มจับผิด หึงทุกอย่างเพื่อนโพสแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ก็จับผิด แบบเชิงประชดประชันว่าเราไปภูเก็ตมีแอบคุยกับใครใช่ไหมถึงไม่ยอมกลับไปหาเขาสักที บอกก่อนนะคบกับเขามา 4-5ปี ไม่เคยนอกใจ เพื่อนผู้ชายที่คบก็มีแต่เกย์ล่าสุดก็ไม่ค่อยได้คุยแล้วเพราะชีวิตต้องวนเวียนรอบตัวแฟนอย่างเดียว คือเขาอารมณ์ร้ายอ่ะ เรารักเราก็ยอมนะ เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนก็ไม่ค่อยคุยเลย เราก็อธิบายกับเขานะ เราไม่มีใคร ไม่ได้คุยกับใครเราอยู่แต่ที่บ้านพ่อกับแม่ เขาก็บ่นนูนนี้นั่น มันพีคตรงที่เขาบีบไห้เราเลือกค่ะ ว่าจะกลับไปหาเขาที่นครไปอยู่กับเขาที่นูนหรือจะเลือกทำงานที่นี้ เป็นคุณ คุณจะเลือกแบบไหนค่ะ? เป็นเราเลือกที่จะทำงานที่นี้ค่ะ เราเคยบอกแล้วว่าไม่เลือกได้ไหม แต่เขาไม่ยอมต้องเลือกเท่านั่น ตอนนั้นใช้คำว่าบีบบังคับได้มั้ง ถ้ากลับไปช่วยเขาทำงานตัดยางคงไม่ไหว หนี้เราก็มี เขาก็ไม่ยอมโกรธมาก ช่วนทะเลาะตลอด
หลังๆ มาเราเริ่มไม่ตอบโต้ค่ะ ปล่อยไห้เขาพูดไป แล้วเขาพูดทำนองว่าแต่ก่อนเราพูดว่าจะไม่ทิ้งเขา บอกไปแค่เดือนสองเดือนก็กลับ แต่ตอนนี้เราก็เลือกจะทิ้งเขาแล้ว คือเราไม่เข้าใจเลยทำไมเขาถึงพูดแบบนั่นเวลามีปัญหา มีอะไรเราช่วยตลอดเลย พอมาถึงเรื่องนี้กลับพูดแบบนี้ พอเราถามกลับว่าทำไมเขาถึงไม่เลือกลงมาทำงานที่นี้บ้างล่ะ เขาก็บอกเขาเบื่อแล้ว เขาไม่อยากทำงานแบบนี้แล้ว เขาโตมากับการตัดยางก็อยากเป็นแบบนั่น แต่ทำไมเขาไม่คิดถึงใจเราบ้างเลยล่ะ เราเหนื่อยนะทำงานแบกหามแบบนั่น คำพูดที่ทำไห้พูดไม่ออกเลยคือเขาบอก เขาตัดยางตั้ง 6 วันนะเราไปเก็บแค่วันเดี้ยวเองทำไมทำไม่ได้ โห้วววว เราร้องเลยย เขาต้องการไห้เรากลับไปอย่างเดี้ยว แต่ไม่ยอมมองกลับมามองเราบ้าง ว่าเราเหมาะกับงานแบบนั้นไหม? เราไหวไหม? ค่าใช้จ่ายมันคุ้มไหม? เราแค่อยากได้คนที่จะมาดูแลเราบ้าง ไม่ใช่เราต้องดูแลเขาตลอด ชีวิตต้องหมุนเวียนอยู่รอบตัวเขาตลอดแบบนั่นเราไม่คิดว่ามันเป็นชีวิตคู่ ตอนนี้คำๆ เดียวคือเหนื่อยใจค่ะ จุกจนพูดไม่ออกเลย เราเข้าใจเขานะ แต่เราก็อยากไห้เขาเข้าใจเราเหมือนกัน เราไม่ไหวจริง ถ้าที่ทำงานเก่าที่เขาเคยทำหัวหน้าไม่ดี ทำไมไม่เปลี่ยนงาน