ซีเอ็นเอ็น ตีข่าวเอกสารหลุดสธ.ไทย ทำคนกังวลประสิทธิภาพ 'ซิโนแวค'
https://www.matichon.co.th/foreign/news_2814719
ซีเอ็นเอ็น ตีข่าวเอกสารหลุดสธ.ไทย ทำคนกังวลประสิทธิภาพ ‘ซิโนแวค’
จากกรณีรายงานข่าวเปิดเผยเอกสารบันทึกการประชุมของคณะกรรมการ 3 ฝ่าย อันประกอบไปด้วย คณะกรรมการวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558, คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคและคณะทำงานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยวาระในประชุมคือ พิจารณาการแนวทางการให้วัคซีน mRNA อย่างไฟเซอร์ในไทย โดยมีมติปัดตกข้อเสนอการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคคลากรทางการแพทย์ โดยมีหนึ่งในความเห็นของผู้ร่วมประชุมที่ระบุว่า ในขณะนี้ ถ้าเอามาฉีดกลุ่ม 3 แสดงยอมรับว่า Sinovac (วัคซีนหลักที่ไทยใช้อยู่) ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากนั้น
ล่าสุด
ซีเอ็นเอ็น สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้รายงานถึงกรณีดังกล่าว โดยพาดหัวระบุว่า
“บันทึกหลุดของไทยส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค”
โดยเนื้อหาในรายงานข่าวระบุว่า เอกสารหลุดจากกระทรวงสาธารณสุข ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้มีการฉีดวัคซีน mRNA ให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ด่านหน้า หลังจากเอกสารดังกล่าวมีความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมระบุว่า การฉีดให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะกระทบกับความมั่นใจของสังคมที่มีต่อวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีน
โดยเอกสารภายใน ซึ่งมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป มีรายงานผ่านสื่อท้องถิ่นและเผยแพร่อย่างกว้างขวางผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และได้รับการยืนยันจากอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีสาธารณสุขว่าเป็นเอกสารที่ใช้เป็นการภายในจริง
ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เอกสารดังกล่าวมีบันทึกความเห็นของเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้ระบุชื่อที่แนะนำให้ภาครัฐไม่เลือกฉีดวัคซีนไฟเซอร์-บิยอนเทค ให้กับกลุ่มเจ้าหน้าที่แพทย์ด่านหน้า เพราะการกระทำดังกล่าวจะเป็นการยอมรับว่าวัคซีนซิโนแวค ไม่มีประสิทธิภาพ
รายงานระบุต่อว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนซิโนแวคให้กับเจ้าหน้าที่การแพทย์ส่วนใหญ่ และผลการทดสอบประสิทธิภาพของทาการไทยก็พบว่าการฉีดซิโนแวค 2 โดสสามารถป้องกันการเสียชีวิตและอาการรุนแรงได้ 95 เปอร์เซ้นต์ และมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่าได้ 71-91 เปอร์เซ็นต์
ซีเอ็นเอ็น รายงานด้วยว่า บริษัทซิโนแวค ไม่ตอบสนองกับการขอความเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนในทันที
ทั้งนี้เอกสารหลุดดังกล่าวส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้นำวัคซีนไฟเซอร์ฉีดให้กับเจ้าหน้าที่แพทย์ด่านหน้าก่อน ส่งผลให้มีแฮชแท็กติดเทรนด์ทวิตเตอร์.
อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าว นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า เอกสารที่มีการเผยแพร่ดังกล่าวไม่ใช่ของจริง โดยระบุว่ายังไม่มีมติที่ประชุม
มาเลย์เตือนภัยเชื้อ "แลมบ์ด้า" ชี้แพร่ระบาดเร็วกว่า "เดลต้า" พบแล้วใน 30 ประเทศ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2814584
สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาของหลายประเทศ แสดงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่
“แลมบ์ด้า” (Lambda variant) หรือเชื้อ ซี.37 (C.37) หลังจากพบว่าจุดที่เกิดการกลายพันธุ์ของ แลมบ์ด้า นั้นเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดความสามารถในการต้านทานวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งหมด
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย เผยแพร่ข้อความผ่านทวิตเตอร์ เตือนว่า แลมบ์ด้า เป็นอันตรายมากกว่าเชื้อเดลต้า ซึ่งสร้างปัญหาด้านสาธารณสุขให้กับหลายประเทศในเอเชียอยู่ในเวลานี้ โดยระบุว่า มีการตรวจพบเชื้อแลมบ์ด้าแล้วในกว่า 30 ประเทศในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
“
สายพันธุ์แลมบ์ด้า นั้นตามรายงานระบุว่า เริ่มต้นตรวจพบครั้งแรกในประเทศเปรู ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิต(คิดเป็นสัดส่วนต่อจำนวนประชากร)สูงที่สุดในโลก” ทวิตเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียตั้งข้อสังเกต พร้อมกับโพสต์ลิงค์ เชื่อโยงไปยังรายงานในออสเตรเลียที่ระบุว่า พบการระบาดของเชื้อแลมบ์ด้าในสหราชอาณาจักรแล้ว 6 ราย พร้อมทั้งระบุด้วยว่า นักวิจัยกำลังเป็นกังวลว่า เชื้อกลายพันธุ์แลมบ์ด้า อาจแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเชื้อ
เดลต้าด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ระบุว่า จนถึงขณะนี้ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่า แลมบ์ด้า สามารถแพร่ได้เร็วกว่าเชื้อกลายพันธุ์อื่นๆ หรือไม่ โดยนาย
ไฮโร เมนเดซ-ริโก นักระบาดวิทยาของดับเบิลยูเอชโอ ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่ แลมบ์ด้า จะสามารถแพร่ระบาดได้เร็วขึ้นกว่าเดิม หรือ เป็นไปได้ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้าน “
แอนติบอดีเพื่อการยับยั้ง” การขยายตัวของเชื้อได้มากกว่าเดิม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้ที่ยืนยันว่า แลมบ์ด้า แพร่ได้เร็วกว่าเดิม เมื่อเทียบกับ เดลต้า หรือ แกมมา
ทางด้านนาย
เจฟฟ์ บาร์เรตต์ ผู้อำนวยการแผนกริเริ่มด้านพันธุกรรมของสถาบัน เวลคัมแซงเงอร์ ในอังกฤษ เปิดเผยกับไฟแนนเชียล ไทม์ส ความกังวลต่อภัยคุกคามจากเชื้อ แลมบ์ด้า นั้นมีเหตุผลอยู่ในตัว เพราะจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการทดลอง พบว่า แลมบ์ด้า มีชุดของการกลายพันธุ์ที่ผิดแปลกไปจากปกติธรรมดา เมื่อเทียบกับสายพันธุ์กลายพันธุ์อื่นๆ
หญิงวัย 51 ปี ป่วยโควิด เครียดรอเตียง กระโดดอพาร์ตเมนต์กลางกรุง
https://www.thairath.co.th/news/crime/2133491
หญิงวัย 51 ปี ป่วยติดเชื้อโควิด โทรแจ้ง 1669 ให้ส่งเจ้าหน้าที่มารับ กลับได้รับคำตอบว่า "ให้รอเตียง" ตัดสินใจเปิดหน้าต่างห้องชั้น 2 กระโดดลงมาได้รับบาดเจ็บสาหัส
เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 พ.ต.ต.
ธีระวัฒน์ เกิดจงรักษ์ สว.(สอบสวน) สน.สำเหร่ รับแจ้งเหตุหญิงกระโดดจากที่สูงลงมาได้รับบาดเจ็บ บริเวณหน้าอพาร์ตเมนต์ไม่มีชื่อกลางซอยเจริญนคร 46 แขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพฯ จึงไปตรวจสอบพร้อมหน่วยกู้ชีพจากศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร
ที่เกิดเหตุเป็นอพาร์ตเมนต์สูง 3 ชั้น บริเวณกลางถนน พบร่างของ น.ส.
สุจิตรา แซ่เฮ้ง อายุ 51 ปี นอนตะแคง ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด มีบาดแผลแตกที่หน้าผาก และขาด้านซ้ายหัก เจ้าหน้าที่ต้องใส่ชุดป้องกันอย่างแน่นหนา เพราะทราบข้อมูลเบื้องต้นว่าคนเจ็บป่วยเป็นโรคโควิด-19 ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง
จากการสอบสวน นาย
ภูวิสิษฐ ภูวสวัสดิ์ อายุ 54 ปี เลขานุการชุมชนวัดสุทธาราม ได้ความว่า น.ส.
สุจิตรา ไม่มีครอบครัว มีอาชีพขายของเบ็ดเตล็ดอยู่ที่ตลาดนัดวัดสุทธาราม พักอยู่กับญาติ พี่น้อง และหลานรวม 4 คน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาลมิตรประชา หมอให้กลับมากักตัวที่บ้าน แล้วแจ้ง 1669 ให้ส่งเจ้าหน้าที่มารับ ก็ได้รับคำตอบว่าให้รอเตียง ตนเป็นคนส่งข้าวส่งน้ำให้กับคนเจ็บ และคนที่ถูกกักตัวในชุมชนวัดสุทธารามทุกคน คาดว่าช่วงเช้าคงเกิดความเครียดเรื่องรอเตียง อาศัยช่วงที่คนในบ้านยังไม่ตื่น เปิดหน้าต่างห้องชั้น 2 กระโดดลงมาได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว
JJNY : 5in1 CNNตีข่าวเอกสารหลุด│เตือนภัยแลมบ์ด้า│หญิงเครียดรอเตียงโดดอพาร์ตเมนต์│พท.โหมซักฟอก│รายได้รัฐวิสาหกิจหลุดเป้า
https://www.matichon.co.th/foreign/news_2814719
จากกรณีรายงานข่าวเปิดเผยเอกสารบันทึกการประชุมของคณะกรรมการ 3 ฝ่าย อันประกอบไปด้วย คณะกรรมการวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558, คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคและคณะทำงานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยวาระในประชุมคือ พิจารณาการแนวทางการให้วัคซีน mRNA อย่างไฟเซอร์ในไทย โดยมีมติปัดตกข้อเสนอการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคคลากรทางการแพทย์ โดยมีหนึ่งในความเห็นของผู้ร่วมประชุมที่ระบุว่า ในขณะนี้ ถ้าเอามาฉีดกลุ่ม 3 แสดงยอมรับว่า Sinovac (วัคซีนหลักที่ไทยใช้อยู่) ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากนั้น
ล่าสุดซีเอ็นเอ็น สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้รายงานถึงกรณีดังกล่าว โดยพาดหัวระบุว่า “บันทึกหลุดของไทยส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค”
โดยเนื้อหาในรายงานข่าวระบุว่า เอกสารหลุดจากกระทรวงสาธารณสุข ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้มีการฉีดวัคซีน mRNA ให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ด่านหน้า หลังจากเอกสารดังกล่าวมีความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมระบุว่า การฉีดให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะกระทบกับความมั่นใจของสังคมที่มีต่อวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีน
โดยเอกสารภายใน ซึ่งมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป มีรายงานผ่านสื่อท้องถิ่นและเผยแพร่อย่างกว้างขวางผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และได้รับการยืนยันจากอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีสาธารณสุขว่าเป็นเอกสารที่ใช้เป็นการภายในจริง
ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เอกสารดังกล่าวมีบันทึกความเห็นของเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้ระบุชื่อที่แนะนำให้ภาครัฐไม่เลือกฉีดวัคซีนไฟเซอร์-บิยอนเทค ให้กับกลุ่มเจ้าหน้าที่แพทย์ด่านหน้า เพราะการกระทำดังกล่าวจะเป็นการยอมรับว่าวัคซีนซิโนแวค ไม่มีประสิทธิภาพ
รายงานระบุต่อว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนซิโนแวคให้กับเจ้าหน้าที่การแพทย์ส่วนใหญ่ และผลการทดสอบประสิทธิภาพของทาการไทยก็พบว่าการฉีดซิโนแวค 2 โดสสามารถป้องกันการเสียชีวิตและอาการรุนแรงได้ 95 เปอร์เซ้นต์ และมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่าได้ 71-91 เปอร์เซ็นต์
ซีเอ็นเอ็น รายงานด้วยว่า บริษัทซิโนแวค ไม่ตอบสนองกับการขอความเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนในทันที
ทั้งนี้เอกสารหลุดดังกล่าวส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้นำวัคซีนไฟเซอร์ฉีดให้กับเจ้าหน้าที่แพทย์ด่านหน้าก่อน ส่งผลให้มีแฮชแท็กติดเทรนด์ทวิตเตอร์.
อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าว นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า เอกสารที่มีการเผยแพร่ดังกล่าวไม่ใช่ของจริง โดยระบุว่ายังไม่มีมติที่ประชุม
มาเลย์เตือนภัยเชื้อ "แลมบ์ด้า" ชี้แพร่ระบาดเร็วกว่า "เดลต้า" พบแล้วใน 30 ประเทศ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2814584
สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาของหลายประเทศ แสดงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ “แลมบ์ด้า” (Lambda variant) หรือเชื้อ ซี.37 (C.37) หลังจากพบว่าจุดที่เกิดการกลายพันธุ์ของ แลมบ์ด้า นั้นเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดความสามารถในการต้านทานวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งหมด
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย เผยแพร่ข้อความผ่านทวิตเตอร์ เตือนว่า แลมบ์ด้า เป็นอันตรายมากกว่าเชื้อเดลต้า ซึ่งสร้างปัญหาด้านสาธารณสุขให้กับหลายประเทศในเอเชียอยู่ในเวลานี้ โดยระบุว่า มีการตรวจพบเชื้อแลมบ์ด้าแล้วในกว่า 30 ประเทศในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
“สายพันธุ์แลมบ์ด้า นั้นตามรายงานระบุว่า เริ่มต้นตรวจพบครั้งแรกในประเทศเปรู ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิต(คิดเป็นสัดส่วนต่อจำนวนประชากร)สูงที่สุดในโลก” ทวิตเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียตั้งข้อสังเกต พร้อมกับโพสต์ลิงค์ เชื่อโยงไปยังรายงานในออสเตรเลียที่ระบุว่า พบการระบาดของเชื้อแลมบ์ด้าในสหราชอาณาจักรแล้ว 6 ราย พร้อมทั้งระบุด้วยว่า นักวิจัยกำลังเป็นกังวลว่า เชื้อกลายพันธุ์แลมบ์ด้า อาจแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเชื้อ
เดลต้าด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ระบุว่า จนถึงขณะนี้ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่า แลมบ์ด้า สามารถแพร่ได้เร็วกว่าเชื้อกลายพันธุ์อื่นๆ หรือไม่ โดยนายไฮโร เมนเดซ-ริโก นักระบาดวิทยาของดับเบิลยูเอชโอ ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่ แลมบ์ด้า จะสามารถแพร่ระบาดได้เร็วขึ้นกว่าเดิม หรือ เป็นไปได้ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้าน “แอนติบอดีเพื่อการยับยั้ง” การขยายตัวของเชื้อได้มากกว่าเดิม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้ที่ยืนยันว่า แลมบ์ด้า แพร่ได้เร็วกว่าเดิม เมื่อเทียบกับ เดลต้า หรือ แกมมา
ทางด้านนายเจฟฟ์ บาร์เรตต์ ผู้อำนวยการแผนกริเริ่มด้านพันธุกรรมของสถาบัน เวลคัมแซงเงอร์ ในอังกฤษ เปิดเผยกับไฟแนนเชียล ไทม์ส ความกังวลต่อภัยคุกคามจากเชื้อ แลมบ์ด้า นั้นมีเหตุผลอยู่ในตัว เพราะจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการทดลอง พบว่า แลมบ์ด้า มีชุดของการกลายพันธุ์ที่ผิดแปลกไปจากปกติธรรมดา เมื่อเทียบกับสายพันธุ์กลายพันธุ์อื่นๆ
หญิงวัย 51 ปี ป่วยโควิด เครียดรอเตียง กระโดดอพาร์ตเมนต์กลางกรุง
https://www.thairath.co.th/news/crime/2133491
หญิงวัย 51 ปี ป่วยติดเชื้อโควิด โทรแจ้ง 1669 ให้ส่งเจ้าหน้าที่มารับ กลับได้รับคำตอบว่า "ให้รอเตียง" ตัดสินใจเปิดหน้าต่างห้องชั้น 2 กระโดดลงมาได้รับบาดเจ็บสาหัส
เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ เกิดจงรักษ์ สว.(สอบสวน) สน.สำเหร่ รับแจ้งเหตุหญิงกระโดดจากที่สูงลงมาได้รับบาดเจ็บ บริเวณหน้าอพาร์ตเมนต์ไม่มีชื่อกลางซอยเจริญนคร 46 แขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพฯ จึงไปตรวจสอบพร้อมหน่วยกู้ชีพจากศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร
ที่เกิดเหตุเป็นอพาร์ตเมนต์สูง 3 ชั้น บริเวณกลางถนน พบร่างของ น.ส.สุจิตรา แซ่เฮ้ง อายุ 51 ปี นอนตะแคง ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด มีบาดแผลแตกที่หน้าผาก และขาด้านซ้ายหัก เจ้าหน้าที่ต้องใส่ชุดป้องกันอย่างแน่นหนา เพราะทราบข้อมูลเบื้องต้นว่าคนเจ็บป่วยเป็นโรคโควิด-19 ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง
จากการสอบสวน นายภูวิสิษฐ ภูวสวัสดิ์ อายุ 54 ปี เลขานุการชุมชนวัดสุทธาราม ได้ความว่า น.ส.สุจิตรา ไม่มีครอบครัว มีอาชีพขายของเบ็ดเตล็ดอยู่ที่ตลาดนัดวัดสุทธาราม พักอยู่กับญาติ พี่น้อง และหลานรวม 4 คน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาลมิตรประชา หมอให้กลับมากักตัวที่บ้าน แล้วแจ้ง 1669 ให้ส่งเจ้าหน้าที่มารับ ก็ได้รับคำตอบว่าให้รอเตียง ตนเป็นคนส่งข้าวส่งน้ำให้กับคนเจ็บ และคนที่ถูกกักตัวในชุมชนวัดสุทธารามทุกคน คาดว่าช่วงเช้าคงเกิดความเครียดเรื่องรอเตียง อาศัยช่วงที่คนในบ้านยังไม่ตื่น เปิดหน้าต่างห้องชั้น 2 กระโดดลงมาได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว