ย้อนไปในวันแรกๆ ที่หนังเพิ่งออกฉาย โรแลนด์ เอ็มเมอริก ผู้กำกับของเรื่อง และ ดีน เดฟลิน คู่หูมือเขียนบท มีโอกาสได้พบกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก พวกเขาได้ฟังคำนายทายทักประหลาดๆ จากชายอาวุโสขณะกำลังลุ้นใจจดใจจ่อถึงผลตอบรับซึ่งยังไม่อาจคาดเดา สปีลเบิร์กกล่าวมาสั้นๆ “ทุกคนจะทำตามสิ่งที่พวกคุณทำไว้กับหนังเรื่องนี้” ไม่จำเป็นต้องเห็นตัวเลขรายได้ แค่ได้ฟังประโยคนี้ก็รู้สึกยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ทุกอย่างเริ่มต้นจากความคลั่งไคล้หนังเอเลี่ยนของชายหนุ่มสองคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีบวกกับโชคเล็กๆ ที่ผลงานไซไฟผจญภัยก่อนนั้นของเอ็มเมอริกชื่อ Stargate (1994) พอมีกระแสตอบรับที่ดี ส่งผลให้สตูดิโอเสนองานใหม่ให้เขาด้วยงบกว่า 70 ล้านดอลลาร์ เอ็มเมอริกจึงฉวยโอกาสเสนอไอเดียหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกที่ตนอยากทำ
“ผมต้องโน้มน้าวให้ดีนมาช่วยกันคิดเสียก่อน” เอ็มเมอริกกล่าว “เขาลังเลแหละ แต่ผมบอกว่า ‘มาที่หน้าต่างนี่สิ มองออกไปยังท้องฟ้ากว้างนั่นนะ แล้วจินตนาการว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกบดบังด้วยยานบินมหึมา’ เขาได้แต่พูดว่า ‘โห’ ”
สืบเนื่องจากความคาใจที่พวกเขาสังเกตว่าการเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาวในหนังเก่าๆ มักไปเริ่มที่ชนบทห่างไกลและแทบไม่เกิดในเมืองใหญ่ แบบที่ผู้คนจะแตกตื่นฮือฮาถ้วนหน้า เหตุนี้จึงได้เป็นเรื่องราวที่มนุษยชาติต้องเผชิญกับยูเอฟโอขนาดยักษ์ซึ่งเปิดตัวแบบอลังการพร้อมแสนยานุภาพทำลายล้างทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง นำไปสู่สงครามแห่งการดับสูญ
“แต่ผมถูกเอเย่นต์ตัวเองเบรคกลางคันเพราะข่าวที่ว่า ทิม เบอร์ตัน กำลังทำเรื่อง Mars Attacks!” เอ็มเมอริกบรรยาย “และเราจะทำตามหลังหนังเอเลี่ยนเสียดสีของเขาไม่ได้ ทางเดียวคือต้องชิงส่งหนังฉายก่อนเขาในสุดสัปดาห์วันชาติ นั่นแหละเราถึงตั้งชื่อมันไว้ก่อนว่า ‘Independence Day’ แล้วค่อยคิดชื่อที่ดีกว่านี้ทีหลัง”
ซึ่งแน่นอนว่าจนแล้วจนรอด พวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนชื่อหนัง ต่อให้ผู้บริหารจะเสนอตัวเลือกอย่าง “Invasion Earth” หรือ “Doomsday” เอ็มเมอริกก็จะตอกกลับไปว่า “พวกคุณดูหนังเกรดบีมากไปรึเปล่า” ยังไงเสียพวกเขาก็เดินหน้าเขียนบทโดยยึดจากชื่อเรื่องที่ฟังแล้วดูขลัง จนนำไปสู่ฉากสุนทรพจน์ปลุกเร้าในองก์สุดท้าย
ขณะเดียวกัน สองหนุ่มยังร่างสคริปต์โดยนึกถึงนักแสดงที่ตนหมายตาในแต่ละบทไปพร้อมกัน โดยเฉพาะสองบทตัวเด่นอย่าง เดวิด เลวินสัน กับ กัปตันฮิลเลอร์ ที่เขียนเพื่อ เจฟฟ์ โกลด์บลุม กับ วิลล์ สมิธ ตั้งแต่แรก ซึ่งในรายของโกลด์บลุมได้รับความเห็นชอบ แต่รายหลังกลับถูกค่ายคัดค้าน เพราะช่วงเวลานั้นหนังเรื่อง Bad Boy (1995) ยังไม่ออกฉาย สมิธจึงเป็นเพียงนักแสดงตลกในสายตาคนใหญ่คนโต และยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาไม่เชื่อว่าคนดำจะช่วยให้หนังทำเงิน
“เราไม่ได้ระบุเชื้อชาติไว้ในสคริปต์ พวกเขาถึงคิดไปว่าบทนี้ต้องเป็นคนขาว” เอ็มเมอริกอธิบาย “แต่เราเล็งวิลล์มาตั้งแต่แรก เพราะไม่มีใครจะมีความเป็นอเมริกาจ๋าไปมากกว่า วิลล์ สมิธ อีกแล้ว”
เหตุนี้พวกเขาจึงยืนกรานหัวเด็ดตีนขาดจนได้ว่าที่ซูเปอร์สตาร์มารอเฉิดฉายสมใจ ที่เหลือก็ตามเกณฑ์นักแสดงในบทรองๆ อย่าง บิลล์ พูลแมน, แมรี่ แม็คดอนเนลล์, วิวีก้า เอ. ฟ็อกซ์, อดัม บัลด์วิน, จัดด์ เฮิร์ช และ แรนดี้ เควด แล้วค่อยไปหนักใจกับขั้นตอนต่อไป
สเปเชียลเอฟเฟกต์คือสิ่งที่พวกเขาทุ่มเม็ดเงินจริงๆ ในงานนี้ ในเมื่อจะทำหนังกองทัพเอเลี่ยนถล่มโลกทั้งที ภาพที่ออกมาต้องยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม เต็มไปด้วยความวายวอด ฉะนั้นจึงจัดเต็มสารพัดเทคนิค โดยลำพังคอมพิวเตอร์กราฟฟิคว่าแน่นแล้ว วัสดุจริงก็ไม่น้อยหน้า มีทีมหัวกะทิที่เชี่ยวชาญขนาดทำฉากไล่ล่าสุดมันระหว่างเครื่องบินรบของฮิลเลอร์กับยูเอฟโอเล็กจากโมเดลย่อส่วน
และในความเป็นจริงนี่คือกองโปรดักชั่นที่สร้างสถิติใช้โมเดลจำลองในการถ่ายมากที่สุด ผลงานที่เป็นดั่งจุดตัดระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่
อย่างไรก็ตาม ต่อให้หนังเรื่องนี้มีจุดขายที่เอฟเฟกต์สุดตื่นตา แต่สิ่งที่ทำให้มันดูมีชีวิตชีวาก็คือบรรดาตัวละคร เอ็มเมอริกและเดฟลินเลือกลงทุนสกรีนไทม์ไปกับความสัมพันธ์และพัฒนาการ ไม่ว่าพ่อกับลูกชาย ความห่วงใยของคู่รัก จึงได้เห็นเคมีระหว่างสองหนุ่มหัวหอก โกลด์บลุมกับสมิธ ทั้งที่ถูกจับลงสนามด้วยกันเอาช่วงท้ายแต่ก็เข้าขากันแบบทันใด หรือจะเป็นบทประธานาธิบดีวิทมอร์ซึ่งเริ่มจากผิดพลาด ไม่มั่นใจ กลายไปเป็นผู้นำที่แน่วแน่ สามารถปลุกใจผู้คนและนำทัพอย่างห้าวหาญ
แท้จริง นี่คือหนังที่ว่าด้วยสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เมื่อคนธรรมดาๆ ต้องลุกขึ้นทำบางสิ่งบางอย่าง เลือกจะไม่ยอมพ่ายแพ้หรือนิ่งเฉยในภาวะคับขัน หัวใจสำคัญของการได้อยู่อย่างมีเสรีภาพ โดยเฉพาะการขโมยซีนของนักบินพ่อลูกสามที่สื่อสารว่า ไม่เสียสละ ชัยชนะไม่เกิด
Independence Day (1996) ทะยานเป็นแชมป์ทำเงินสูงสุดแห่งปีหลังกวาดรายรับท่วมท้นทั้งอเมริกาที่ 306 ล้านดอลลาร์ และรวมทั่วโลกที่ 817 ล้านชนิดทิ้งเรื่องอื่นไม่เห็นฝุ่น ความมันแอ็คชั่นอลังการคือสิ่งที่หนังมอบให้ ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของยูเอฟโอในแบบที่ไม่เคยเห็น เป็นบรรยากาศที่ดูสิ้นหวัง ชวนให้ยิ่งลุ้นหนักเมื่อฝ่ายมนุษย์จวนจะแพ้ราบคาบ
แต่ขณะเดียวกัน หนังก็เสิร์ฟอารมณ์ขันช่วยให้ผ่อนคลายเป็นระยะ จนมีโมเมนต์ที่ทั้งฮาทั้งสะใจแบบที่ วิลล์ สมิธ ต่อยเอเลี่ยน ตลอดจนความฮึกเหิมหรือซาบซึ้ง ทำเอามองข้ามความโอเวอร์ ความไม่สมจริงต่างๆ เมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าช่างบันเทิงดีแท้ จนนับจากนั้น โรแลนด์ เอ็มเมอริก ยังได้สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าพ่อหนังวินาศสันตะโร
และสุดท้าย สิ่งที่สปีลเบิร์กกล่าวไว้ได้กลายเป็นจริง เมื่อ ID4 ได้เปิดศักราชหนังต่างดาวบุกโลกยุคใหม่ นำไปสู่การแตกแขนง ต่อยอดไอเดียอีกมากมายจวบจนปัจจุบัน
ครบรอบ 25 ปี Independence Day สงครามวันดับโลก