สวัสดีค่ะ
หากใครมีประสบการณ์สามารถให้คำแนะนำได้ ยินดีรับฟังแล้วจะนำไปลองทำดูนะคะ ..
ย้อนไป 9 ปี เราแต่งงานกับสามีที่มีลูกติดอยู่ 2 คน ชาย1 หญิง1 คนโตเป็นผู้ชาย อายุน้องตอนนั้น 15 ปี แต่คนเล็ก 5 ปี แม่น้องเสียเพราะเชื้อไวรัสกินแกนกลางสมองจนเสียชีวิต เลยได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ กับคนโตไม่ต้องพูดถึงไม่มีปัญหาอะไร ด้วยความที่เค้าโตแล้วเข้าใจ และมีเพื่อนฝูงเยอะตามประสาวัยรุ่นชาย แต่กับน้องสาวเราเหมือนได้ดูแลเค้าตั้งแต่ตอนน้ัน แต่แม่สามีก็เข้ามาอยู่ด้วย และช่วยดูแลหลานทั้งสอง เพราะเรากับสามีต่างก็ต้องทำงาน อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ ไม่มีปัญหาอะไร กับแม่สามีก็สปรอยหลานทั้งสองตามประสา แต่ก็เกรงใจ และไว้ใจเราอยู่ ผ่านมาได้สักระยะแม่สามีเริ่มอายุมากขึ้น เริ่มบ่นกับเราเสมอว่าหลานสาวเริ่มเถียง เริ่มไม่ฟัง กลางคืนต้องคุยโทรศัพท์กับเพื่อนทำให้แม่นอนได้ไม่ดี พอแม่มาบอกให้เราคุย หลานก็จะว่าย่าชอบฟ้อง เพราะเค้ากลัวเรา แล้วก็ไม่พูดกับย่า แต่เดี๋ยวก็ดีกันเป็นแบบนี้ได้อีกระยะหนึ่ง จนหลานสาวขึ้น ม.2 อายุ 13 ปี แม่สามีก็กลับไปอยู่บ้านตัวเอง เพราะเห็นว่าหลานโตแล้วดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ส่วนคนโตก็แยกไปมีครอบครัวของตัวเอง
ปัญหาวัยรุ่นก็เริ่มมา เพราะเค้าติดเพื่อนมาก สามีกับเราก็อยู่ด้วยเฉพาะช่วงเย็นค่ำ เสาร์อาทิตย์เค้าจะอ้างว่าต้องทำงานกลุ่มออกไปกับทำงานบ้านเพื่อนมั่ง ที่โรงเรียนมั่ง เราก็จะพาไปส่งเสมอกำหนดเวลากลับบ้าน โทรตามเป็นระยะ เพราะห่วง และกลัวใจวัยรุ่น แต่น้องเป็นคนติดเพื่อนมากจริงๆ เราก็พยายามคุยกับเพื่อนน้องทุกคนที่สนิท หรือไม่เวลาไปเที่ยวไหนก็จะอนุญาตให้น้องพาเพื่อนไปด้วยเพราะเค้าจะได้สนุกกันตามประสาวัยรุ่น หรือไม่น้องขอพาเพื่อนมาบ้านแบบเช้าไปเย็นกลับ หรือไม่ก็ค้างคืน เราก็อนุญาตแบบไป-กลับมากกว่า ไม่ค่อยอนุญาตให้ค้างคืนเท่าไหร่ เพราะเห็นว่ามันเกินไป เค้าก็มีงอนบ้างแต่ก็ไม่กล้ากับใส่อารมณ์กับเรา
ตอนนี้สถานการณ์โควิดเรียนแบบออนไลน์มากขึ้นห่างเพื่อน ห่างโรงเรียน น้องก็เริ่มไม่ปกติ คือ กลางคืนเริ่มไม่นอน กว่าจะนอนได้ ตีหนึ่งตีสอง หรือไม่ก็เกือบเช้าเลย น้องก็บอกกับเราว่าอยากให้พาไปหาหมอ เค้าอยากนอนแต่เค้านอนไม่ได้ ประกอบกับเค้าอยากเรียนหมอ แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นเด็กสายศิลป์ เค้าเลยขอเรียนพิเศษตามสถาบันกวดวิชา เราอนุญาตนะ แต่ติดตรงที่สถาบันกวดวิชายังไม่เปิดให้บริการ น้องเลยนั่งเรียนเองตามยูทูป แล้วก็ติดต่อผู้สอนด้วยตัวเอง พอไม่เข้าใจเค้าก็คุยกับผู้สอนในคลิปนั้นๆ แต่ด้วยความที่ไม่มีพื้นฐาน เลยเข้าใจยาก อาการเริ่มจะหนักขึ้นเพราะกลัวตัวเองจะสอบ ม.ปลายตามโรงเรียนที่คาดหวังไม่ได้ เราก็ได้แต่บอกว่าไม่ต้องซีเรียสได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เค้าก็จะปรึกษากับเพื่อน คุยกับเพื่อน แต่เริ่มใช้ชีวิตแบบค้างคาว เรากับสามีเลยพาไปหาหมอ จิตเวชเด็ก เพราะเห็นว่าเค้าเริ่มมีการกรีดข้อมือตัวเอง เป็นแบบรอยแมวข่วน
หมอบอกว่าน้องมีอาการเป็นโรคซึมเศร้า ที่เกิดจากการกดดันตัวเองเกินไป อยากอยู่กับเพื่อนมาก เลยต้องให้กินยาต้านเศร้าตัวที่ออกฤทธิ์ไม่มากเท่าไหร่ และยานอนกลับอ่อนๆ (หมอเค้าเรียกเด็กไปคุยส่วนตัว แล้วก็เรียกพ่อเด็กไปคุยส่วนตัว หมอบอกว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์ที่แม่น้องมีอาการซึมเศร้าตอนท้องน้อง และหลังคลอดน้องด้วย) หมอแนะนำให้หากิจกรรมให้น้อง พาน้องไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เค้ามีที่ระบาย ทีนี้น้องก็เอาอาการที่ตัวเองเป็นไปคุยกับเพื่อนสนิทที่มาบ้านเราบ่อยๆ แล้วจู่ๆ ก็บอกเราว่าไม่เรียนหมอแล้วเข้าใจยาก อยากเรียนนิเทศอย่างเป็นตากล้อง (มึนแป๊บ) อ่าว อยากเป็นไรเป็น ก็บอกเค้าว่าแล้วแต่เลย เอาที่เค้าอยากทำอยากเรียนสนับสนุนทุกอย่าง เหมือนจะดีขึ้น ลดความกดดันลง แต่มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด น้องเริ่มขอให้เพื่อนคนเดิมมาบ้านบ่อยขึ้นเราก็อนุญาตนะ แต่ขออย่าค้างคืนเพราะเรายังคิดอยู่ว่ามันเกิดขอบเขตไป พอเพื่อนกลับเท่านั้นแระ น้องจะซึมๆ คุยกับเราแบบลอยๆ ต่างกับเพื่อนอยู่บ้านจะได้ยินแต่เสียงหัวเราะตลอด แม่สามีก็จะโทรมาคุยบ้างว่าหลานร้องไห้ เครียด พอเราถามน้องว่ามีอะไรไหม เค้าก็ว่าไม่มีอะไร คิดถึงแม่เค้า แต่ไม่ยอมรับว่าโทรไปบอกย่าว่าเครียด หรือร้องไห้
วันนี้เราเริ่มจะไม่ไหว เพราะน้องกินยาที่หมอให้เยอะเกินที่หมอสั่ง กินแล้วก็เริ่มตาลอยๆ อึนๆ จะออกไปเดินเล่นนอกบ้านตอนห้าทุ่มเที่ยงคืน เราต้องลงมาเรียกไว้ ให้เหตุผลว่ามันอันตราย รีบเอากุญแจบ้านไปซ่อน ชวนให้นอนด้วยกัน เค้าก็ไม่เอาด้วย แต่ดูอาการไม่ดีอย่างที่บอก เราเลยเริ่มเครียดมากขึ้นกลัวเค้าทำร้ายตัวเอง เห็นเค้ากรีดข้อมืออีก เราบอกตรงๆ เราเจ็บในใจแบบจี๊ดๆ อารมณ์เหมือนโดนกรีดเอง แต่เราก็ต้องเข้มแข็ง ทั้งที่ใจอยากจะร้องไห้ เราควบคุมน้ำเสียงเวลาคุยกับเค้าไม่แรงใส่ หรือเสียงดังใส่เพราะกลัวว่าเค้าจะทำร้ายตัวเองมากขึ้น ตกดึก เช้ามือ ต้องคอยแอบมาเปิดห้องดูว่าเค้าเป็นไง ตอนนี้น้องเรียนออนไลน์อยู่บ้าน เราเองก็ทำงานที่บ้านเลยมีโอกาสอยู่ใกล้เค้า แต่เค้าก็ไม่เอาเราแล้ว คอยแต่จะขอให้เพื่อนมาบ้านแทน ..
ถ้าถามว่าทำไมพ่อน้องไม่มีบทบาท เพราะพ่อน้องทำงานต่างจังหวัด น้องจะอยู่กับเราซะส่วนใหญ่ แต่เราก็รายงานกับพ่อเค้าตลอดว่าน้องเป็นอย่างไง พ่อเค้าก็ให้เราตัดสินใจเกือบทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของลูกเค้า บางทีเราก็ถามน้องนะว่าทำให้เค้าเครียดไหม เค้าบอกนิดหน่อย เรื่องเพื่อนนั่นแระ ที่ไม่อนุญาตให้เพื่อนเค้านอนบ้าน .. จุกอ่ะ
เอาจริงๆนะ งานบ้านเราก็ไม่ได้ให้น้องทำอะไรเลย ยกเว้นห้องนอน เสื้อผ้า เค้าที่เค้าต้องรับผิดชอบเอง แต่น้องเค้าก็จะช่วยงานบ้านบ้างไม่ช่วยบ้าง เราก็ปล่อย เพราะบอกแล้ว เตือนแล้วแต่ก็เจอแต่คำว่า "เดี๋ยว" กลับ แต่ไม่ทำตลอด ถ้าใครถามว่าเรานิสัยเป็นไงตอบเลยว่าเป็นคนระเบียบ พูดคำไหนคำนั้น ดุ น้องรู้ เพราะถ้าเราสั่งอะไรเค้าจะทำ เพราะเราไม่ชอบให้ผลัดวันประกันพรุ่ง แต่กับพ่อหรือย่าเค้าจะเดี๋ยว แล้วก็ไม่ทำ จนพ่อหรือย่าต้องมาบอกเราให้เราจัดการให้ เอาจริงๆ ตอนนี้ไม่รู้จะไปต่อไงแล้วนะ อ่อ ช่วงที่โควิดไม่แรง เราจะให้เค้าเลือกเลยว่าวันเสาร์จะให้พาไปไหนไหม เค้าก้จะขอเอาเพื่อนไป เราก็อนุญาตนะ แต่ช่วงนี้มันจะพาไปไหนก็ไม่ได้ระแวงไปหมด น้องก็ว่าเบื่อ ให้ไปอยู่บ้านย่าก็ไม่อยากไป ให้อยู่บ้านเรียนออนไลน์เฉยๆก็เบื่ออีก เหนื่อยแล้วนะ
เลี้ยงลูกเลี้ยงอย่างไงให้เค้ากล้าคุยกับเราทุกเรื่อง
หากใครมีประสบการณ์สามารถให้คำแนะนำได้ ยินดีรับฟังแล้วจะนำไปลองทำดูนะคะ ..
ย้อนไป 9 ปี เราแต่งงานกับสามีที่มีลูกติดอยู่ 2 คน ชาย1 หญิง1 คนโตเป็นผู้ชาย อายุน้องตอนนั้น 15 ปี แต่คนเล็ก 5 ปี แม่น้องเสียเพราะเชื้อไวรัสกินแกนกลางสมองจนเสียชีวิต เลยได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ กับคนโตไม่ต้องพูดถึงไม่มีปัญหาอะไร ด้วยความที่เค้าโตแล้วเข้าใจ และมีเพื่อนฝูงเยอะตามประสาวัยรุ่นชาย แต่กับน้องสาวเราเหมือนได้ดูแลเค้าตั้งแต่ตอนน้ัน แต่แม่สามีก็เข้ามาอยู่ด้วย และช่วยดูแลหลานทั้งสอง เพราะเรากับสามีต่างก็ต้องทำงาน อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ ไม่มีปัญหาอะไร กับแม่สามีก็สปรอยหลานทั้งสองตามประสา แต่ก็เกรงใจ และไว้ใจเราอยู่ ผ่านมาได้สักระยะแม่สามีเริ่มอายุมากขึ้น เริ่มบ่นกับเราเสมอว่าหลานสาวเริ่มเถียง เริ่มไม่ฟัง กลางคืนต้องคุยโทรศัพท์กับเพื่อนทำให้แม่นอนได้ไม่ดี พอแม่มาบอกให้เราคุย หลานก็จะว่าย่าชอบฟ้อง เพราะเค้ากลัวเรา แล้วก็ไม่พูดกับย่า แต่เดี๋ยวก็ดีกันเป็นแบบนี้ได้อีกระยะหนึ่ง จนหลานสาวขึ้น ม.2 อายุ 13 ปี แม่สามีก็กลับไปอยู่บ้านตัวเอง เพราะเห็นว่าหลานโตแล้วดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ส่วนคนโตก็แยกไปมีครอบครัวของตัวเอง
ปัญหาวัยรุ่นก็เริ่มมา เพราะเค้าติดเพื่อนมาก สามีกับเราก็อยู่ด้วยเฉพาะช่วงเย็นค่ำ เสาร์อาทิตย์เค้าจะอ้างว่าต้องทำงานกลุ่มออกไปกับทำงานบ้านเพื่อนมั่ง ที่โรงเรียนมั่ง เราก็จะพาไปส่งเสมอกำหนดเวลากลับบ้าน โทรตามเป็นระยะ เพราะห่วง และกลัวใจวัยรุ่น แต่น้องเป็นคนติดเพื่อนมากจริงๆ เราก็พยายามคุยกับเพื่อนน้องทุกคนที่สนิท หรือไม่เวลาไปเที่ยวไหนก็จะอนุญาตให้น้องพาเพื่อนไปด้วยเพราะเค้าจะได้สนุกกันตามประสาวัยรุ่น หรือไม่น้องขอพาเพื่อนมาบ้านแบบเช้าไปเย็นกลับ หรือไม่ก็ค้างคืน เราก็อนุญาตแบบไป-กลับมากกว่า ไม่ค่อยอนุญาตให้ค้างคืนเท่าไหร่ เพราะเห็นว่ามันเกินไป เค้าก็มีงอนบ้างแต่ก็ไม่กล้ากับใส่อารมณ์กับเรา
ตอนนี้สถานการณ์โควิดเรียนแบบออนไลน์มากขึ้นห่างเพื่อน ห่างโรงเรียน น้องก็เริ่มไม่ปกติ คือ กลางคืนเริ่มไม่นอน กว่าจะนอนได้ ตีหนึ่งตีสอง หรือไม่ก็เกือบเช้าเลย น้องก็บอกกับเราว่าอยากให้พาไปหาหมอ เค้าอยากนอนแต่เค้านอนไม่ได้ ประกอบกับเค้าอยากเรียนหมอ แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นเด็กสายศิลป์ เค้าเลยขอเรียนพิเศษตามสถาบันกวดวิชา เราอนุญาตนะ แต่ติดตรงที่สถาบันกวดวิชายังไม่เปิดให้บริการ น้องเลยนั่งเรียนเองตามยูทูป แล้วก็ติดต่อผู้สอนด้วยตัวเอง พอไม่เข้าใจเค้าก็คุยกับผู้สอนในคลิปนั้นๆ แต่ด้วยความที่ไม่มีพื้นฐาน เลยเข้าใจยาก อาการเริ่มจะหนักขึ้นเพราะกลัวตัวเองจะสอบ ม.ปลายตามโรงเรียนที่คาดหวังไม่ได้ เราก็ได้แต่บอกว่าไม่ต้องซีเรียสได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เค้าก็จะปรึกษากับเพื่อน คุยกับเพื่อน แต่เริ่มใช้ชีวิตแบบค้างคาว เรากับสามีเลยพาไปหาหมอ จิตเวชเด็ก เพราะเห็นว่าเค้าเริ่มมีการกรีดข้อมือตัวเอง เป็นแบบรอยแมวข่วน
หมอบอกว่าน้องมีอาการเป็นโรคซึมเศร้า ที่เกิดจากการกดดันตัวเองเกินไป อยากอยู่กับเพื่อนมาก เลยต้องให้กินยาต้านเศร้าตัวที่ออกฤทธิ์ไม่มากเท่าไหร่ และยานอนกลับอ่อนๆ (หมอเค้าเรียกเด็กไปคุยส่วนตัว แล้วก็เรียกพ่อเด็กไปคุยส่วนตัว หมอบอกว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์ที่แม่น้องมีอาการซึมเศร้าตอนท้องน้อง และหลังคลอดน้องด้วย) หมอแนะนำให้หากิจกรรมให้น้อง พาน้องไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เค้ามีที่ระบาย ทีนี้น้องก็เอาอาการที่ตัวเองเป็นไปคุยกับเพื่อนสนิทที่มาบ้านเราบ่อยๆ แล้วจู่ๆ ก็บอกเราว่าไม่เรียนหมอแล้วเข้าใจยาก อยากเรียนนิเทศอย่างเป็นตากล้อง (มึนแป๊บ) อ่าว อยากเป็นไรเป็น ก็บอกเค้าว่าแล้วแต่เลย เอาที่เค้าอยากทำอยากเรียนสนับสนุนทุกอย่าง เหมือนจะดีขึ้น ลดความกดดันลง แต่มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด น้องเริ่มขอให้เพื่อนคนเดิมมาบ้านบ่อยขึ้นเราก็อนุญาตนะ แต่ขออย่าค้างคืนเพราะเรายังคิดอยู่ว่ามันเกิดขอบเขตไป พอเพื่อนกลับเท่านั้นแระ น้องจะซึมๆ คุยกับเราแบบลอยๆ ต่างกับเพื่อนอยู่บ้านจะได้ยินแต่เสียงหัวเราะตลอด แม่สามีก็จะโทรมาคุยบ้างว่าหลานร้องไห้ เครียด พอเราถามน้องว่ามีอะไรไหม เค้าก็ว่าไม่มีอะไร คิดถึงแม่เค้า แต่ไม่ยอมรับว่าโทรไปบอกย่าว่าเครียด หรือร้องไห้
วันนี้เราเริ่มจะไม่ไหว เพราะน้องกินยาที่หมอให้เยอะเกินที่หมอสั่ง กินแล้วก็เริ่มตาลอยๆ อึนๆ จะออกไปเดินเล่นนอกบ้านตอนห้าทุ่มเที่ยงคืน เราต้องลงมาเรียกไว้ ให้เหตุผลว่ามันอันตราย รีบเอากุญแจบ้านไปซ่อน ชวนให้นอนด้วยกัน เค้าก็ไม่เอาด้วย แต่ดูอาการไม่ดีอย่างที่บอก เราเลยเริ่มเครียดมากขึ้นกลัวเค้าทำร้ายตัวเอง เห็นเค้ากรีดข้อมืออีก เราบอกตรงๆ เราเจ็บในใจแบบจี๊ดๆ อารมณ์เหมือนโดนกรีดเอง แต่เราก็ต้องเข้มแข็ง ทั้งที่ใจอยากจะร้องไห้ เราควบคุมน้ำเสียงเวลาคุยกับเค้าไม่แรงใส่ หรือเสียงดังใส่เพราะกลัวว่าเค้าจะทำร้ายตัวเองมากขึ้น ตกดึก เช้ามือ ต้องคอยแอบมาเปิดห้องดูว่าเค้าเป็นไง ตอนนี้น้องเรียนออนไลน์อยู่บ้าน เราเองก็ทำงานที่บ้านเลยมีโอกาสอยู่ใกล้เค้า แต่เค้าก็ไม่เอาเราแล้ว คอยแต่จะขอให้เพื่อนมาบ้านแทน ..
ถ้าถามว่าทำไมพ่อน้องไม่มีบทบาท เพราะพ่อน้องทำงานต่างจังหวัด น้องจะอยู่กับเราซะส่วนใหญ่ แต่เราก็รายงานกับพ่อเค้าตลอดว่าน้องเป็นอย่างไง พ่อเค้าก็ให้เราตัดสินใจเกือบทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของลูกเค้า บางทีเราก็ถามน้องนะว่าทำให้เค้าเครียดไหม เค้าบอกนิดหน่อย เรื่องเพื่อนนั่นแระ ที่ไม่อนุญาตให้เพื่อนเค้านอนบ้าน .. จุกอ่ะ
เอาจริงๆนะ งานบ้านเราก็ไม่ได้ให้น้องทำอะไรเลย ยกเว้นห้องนอน เสื้อผ้า เค้าที่เค้าต้องรับผิดชอบเอง แต่น้องเค้าก็จะช่วยงานบ้านบ้างไม่ช่วยบ้าง เราก็ปล่อย เพราะบอกแล้ว เตือนแล้วแต่ก็เจอแต่คำว่า "เดี๋ยว" กลับ แต่ไม่ทำตลอด ถ้าใครถามว่าเรานิสัยเป็นไงตอบเลยว่าเป็นคนระเบียบ พูดคำไหนคำนั้น ดุ น้องรู้ เพราะถ้าเราสั่งอะไรเค้าจะทำ เพราะเราไม่ชอบให้ผลัดวันประกันพรุ่ง แต่กับพ่อหรือย่าเค้าจะเดี๋ยว แล้วก็ไม่ทำ จนพ่อหรือย่าต้องมาบอกเราให้เราจัดการให้ เอาจริงๆ ตอนนี้ไม่รู้จะไปต่อไงแล้วนะ อ่อ ช่วงที่โควิดไม่แรง เราจะให้เค้าเลือกเลยว่าวันเสาร์จะให้พาไปไหนไหม เค้าก้จะขอเอาเพื่อนไป เราก็อนุญาตนะ แต่ช่วงนี้มันจะพาไปไหนก็ไม่ได้ระแวงไปหมด น้องก็ว่าเบื่อ ให้ไปอยู่บ้านย่าก็ไม่อยากไป ให้อยู่บ้านเรียนออนไลน์เฉยๆก็เบื่ออีก เหนื่อยแล้วนะ