ทำไมคนโบราณถึงได้คิดเรื่องที่สอดคล้องกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า ตัวเองไม่ได้เรียนมาทางสายวิทย์ แต่เรียนมาทางสายพาณิชย์ แต่ก็ชอบเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เคยซื้อหนังสือมาอ่าน และชอบดูหนัง Sci-fi 

          เลยรู้จักทฤษฎีๆ หนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องของเวลา เป็นทฤษฎีพี่น้องฝาแฝด ที่บอกว่าฝาแฝดคู่หนึ่งมีอายุเท่ากันเกิดพร้อมกัน แต่ฝาแฝดคนหนึ่งนั่งไปกับยานอวกาศที่เดินทางด้วยความเร็วแสง ส่วนฝาแฝดอีกคนอยู่บนโลก เมื่อฝาแฝดที่นั่งยานอวกาศกลับมาถึงโลก จะพบว่าฝาแฝดที่อยู่บนโลกอายุมากกว่าฝาแฝดที่นั่งยานอวกาศที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง ทั้งๆ ที่ก่อนออกไปนั่งยานอวกาศ ฝาแฝดทั้งสองมีอายุเท่ากัน โดยอธิบายว่าเวลาในยานของฝาแฝดที่นั่งยานอวกาศออกไปด้วยความเร็วแสง จะไหลช้ากว่าเวลาของฝาแฝดที่อยู่บนโลก เวลาบนโลกจะไหลไปเร็วกว่าเวลาของยานอวกาศที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง ส่งผลให้เมื่อฝาแฝดที่นั่งยานอวกาศด้วยความเร็วแสงกลับมาถึงโลก ฝาแฝดคนที่อยู่บนยานอวกาศจะมีอายุน้อยกว่าฝาแฝดที่อยู่บนโลก ส่วนฝาแฝดบนโลกจะแก่กว่า

          และก็มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่บอกว่ามันเกี่ยวข้องกับแรงโน้มถ่วงด้วย โดยทฤษฎีนี้กล่าวว่า ถ้าเรานั่งยานอวกาศไปลงจอดอยู่บนดาวที่มีแรงโน้มถ่วงมาก เมื่อเรากลับออกมาจากดาวนั้น จะพบว่าเวลาของเราตอนที่อยู่บนดาวนั้นจะไหลไปช้ากว่าเวลาของโลก

          ซึ่งที่จริงแล้ว เรื่องทำนองนี้มีการกล่าวถึงในอดีตมานานแล้ว ก่อนหน้าที่ไอน์สไตล์ หรือนักวิทยาศาสตร์จะกล่าวถึงทฤษฎีนี้มาเป็นร้อยหรือเป็นพันปี โดยมันปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าหรือตำนานพื้นบ้านโบราณตามที่ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องเวลาในสถานที่หรือพื้นที่หนึ่งไหลไปช้ากว่าเวลาของโลกปกติ 

          เรื่องที่กล่าวถึงในเรื่องนี้เก่าแก่ที่สุดคือ มหากาพย์โอดิสซี ซึ่งแต่งโดยกวีเอกโฮเมอร์ ซึ่งแต่อิเลียดหรือสงครามกรุงทรอย โดยเรื่องในโอดิสซีจะเป็นเรื่องที่ต่อจากสงครามกรุงทรอย โดยเป็นเรื่องของกษัตริย์โอดิสซีอุส ผู้ซึ่งคิดค้นกลศึกม้าไม้กรุงทรอย ส่งผลให้ชาวกรีกชนะกรุงทรอยได้ โดยหลังจากที่กรีกชนะกรุงทรอย โอดิสซีอุสก็แล่นเรือกลับบ้าน โดยต้องผจญภัยนานัปการในขณะที่เดินทางกลับบ้านทางทะเล 

          โดยจะมีอยู่ตอนหนึ่งที่โอดิสซีอุสแล่นเรือไปเจอเกาะๆ หนึ่ง และโอดิสซีอุสกับพรรคพวกก็ขึ้นไปบนเกาะนั้น และปีนหน้าผาขึ้นไปพบคฤหาสของแม่มดสาวสวยนางหนึ่ง โอดิสซีอุสกับพรรคพวกพักผ่อนอยู่ที่นั่นซักระยะหนึ่ง เมื่อกลับลงมาพบว่าเรือที่จอดไว้ที่ชายหาดได้ผุกร่อนไปหมดแล้ว และเวลาได้ผ่านไป 10 ปีแล้ว เนื่องจากเวลาในคฤหาสของแม่มดสาวไหลไปช้ากว่าเวลาปกตินั่นเอง

          หรือเรื่องเล่าพื้นบ้านอีกเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่นเรื่องอุราชิม่า ทาโร่ ซึ่งเป็นเรื่องของชาวประมงญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ชื่ออุราชิม่า ทาโร่ ได้ดำลงไปใต้ทะเลไปเที่ยววังมังกรเป็นเวลา 3 วัน เมื่อกลับขึ้นมาบนพื้นโลกปรากฏว่าเวลาผ่านไปแล้ว 300 ปี และครอบครัวญาติพี่น้องของเขาได้ตายไปหมดแล้ว

          จะเห็นได้ว่าเรื่องเล่าในลักษณะนี้มีปรากฏอยู่ในตำนานพื้นบ้านตามที่ต่างๆ มาเป็นเวลานานนับร้อยนับพันปี ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะคิดค้นทฤษฎีนี้ขึ้นมาซักอีก ผมเลยสงสัยว่าทำไมคนโบราณถึงได้คิดเรื่องที่สอดคล้องกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้

          หรืออาจเป็นไปได้ว่า คนโบราณอาจจะเจอเรื่องในลักษณะนี้เข้าจริงๆ อย่างเช่นในยุคโบราณอาจจะมีสถานที่บางแห่งบนโลกที่กาลเวลาเคลื่องที่ไปช้ากว่าเวลาของโลกปกติ และคนโบราณบางคนอาจเผลอเดินเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นหรือพื้นที่นั้น และเมื่อกลับออกมาก็ปรากฏว่าเวลาผ่านไปนานแล้วจริงๆ เหมือนกับสถานที่ๆ เป็นเมืองลับแลต่างๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่