สวัสดีค่ะ เรื่องยาวหน่อยแต่ทนอ่านหน่อยนะคะ เราอยากได้คำปรึกษาจริงๆʚ̴̶̷᷄_ʚ̴̷̷᷅ เราอายุ 18 ปี อยู่กับพ่อแม่และพี่ชายอายุ 21 ทางพ่อแม่เราเป็นคนจีน-เวียดนามหัวโบราณ พ่อเราเรียนจบม.3 แต่ทุกวันนี้เป็นเจ้าของโครงการบ้านและเจ้าของร้านทอง 2 ห้องในต่างจังหวัด อาจจะฟังดูเหมือนรวยมากใช่มั้ยคะ แต่จริงๆแค่รวยเฉยๆค่ะ พ่อเราต้องจ่ายดอกธนาคารเดือนละครึ่งล้าน เพราะกู้เงินมาทำธุรกิจ แต่เราก็เคารพนับถือพ่อมากเพราะการจ่ายดอกแต่ละเดือนได้โดยไม่เคยขาดเลย เรารู้สึกว่าพ่อเป็นคนเก่งมากๆ ส่วนแม่เราอยู่บ้านเฝ้าร้านทองค่ะ เรากับพี่ชายโตมาแบบสบายค่ะ กิน เล่น เรียน ไปแบบเด็กปกติเลยค่ะ แต่พ่อเราไม่ได้ปล่อยอิสระขนาดนั้น พ่อเป็นคนเข้มงวด และกดดันอะไรหลายๆอย่าง ตอนเด็กๆถ้าทำผิดหรือดื้อจะโดนไม้เรียวฟาดค่ะ แล้วพอฟาดเสร็จพ่อจะกอดแล้วขอโทดทันทีเป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยค่ะ บางครั้งฟาดเสร็จสั่งให้นั่งหันหน้าเข้าบันไดมืดๆ ส่วนพี่เราก็พอกันค่ะ สมัยพี่ชายจบม.6 มีงานเลี้ยงส่งท้ายก้บเพื่อน แต่พ่อมารับกลับตั้งแต่ 21.30 เพื่อนเขายังไปต่ออีก แต่พ่อไม่ให้ไปค่ะ
เรากับพี่ชินกับคำปฏิเสธของพ่อแล้ว เวลาขอไปไหนถ้าไม่ได้ไปก็จะไม่งอแงขออีกค่ะ พอโตขึ้นมาอยู่ม.ปลาย พ่อก็ปล่อยเยอะขึ้นนะคะ ให้ไปนั่นไปนี่แต่กำหนดเวลากลับค่อนข้างเร็ว ส่วนพี่เราตัดสินใจไม่เรียนมหาลัยแล้วมาช่วยพ่อคุมคนงานก่อสร้างในโครงการแทนค่ะ ด้วยความที่พี่เราใช้ชีวิตเป็นวัยทำงานตั้งแต่อายุ 19 จึงได้ขาดเวลาของวัยรุ่นไปและไม่มีเพื่อนมหาลัยทำให้เหงาและมีความเครียดสะสม พ่อตั้งความหวังไว้ที่พี่ชายมากกว่าเราค่ะเพราะเป็นลูกชาย คนจีน-เวียดนามส่วนใหญ่จะคิดว่าลูกสาวแต่งออกไป ไม่เหมือนลูกชายที่ยังใช้เอาไว้ดูแลตอนแก่ได้ แต่เรารู้สึกถึงความรักที่พ่อกับแม่มีให้อยากท่วมท้นจริงๆค่ะ แต่ไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่พ่อแม่มีความคิดไว้ให้เรากับพี่เลี้ยงตอนแก่ตัว สมัยตั้งแต่เป็นเด็กเราจะได้ยินพ่อพูดกับหลายๆคนว่า “ รีบมีลูก เดี๋ยวไม่ทันใช้/ลูกมีไว้ใช้ “ เป็นคำที่เราได้ยินจนความคิดแบบนี้ฝังอยู่ในหัวเราว่าเป็นเรื่องปกติ จนวันนึงในทวิตมีการเอดูในหลายๆเรื่องและมีเรื่องที่ต้องดูแลพ่อแม่ตอนแก่ด้วย เราก็เริ่มรู้สึกว่าเราอยากมีชีวิตของตัวเอง ทำให้เราคิดสงสัยว่าทำไมพ่อถึงเลี้ยงเรามาแล้วกะใช้ มันเกิดคำถามขึ้นในหัวมากมาย เราก็ยังหาคำตอบไม่ได้ในเรื่องนี้ แล้วต่อมาก็มีกระแสย้ายประเทศมากขึ้น เราเองมีความคิดอยากอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กๆแล้ว พอมีกระแสมายิ่งทำให้เราอยากย้ายมากขึ้น จึงเกิดแพลนในหัวเราที่อยากจะไปต่อโทที่อเมริกา เคยพูดกับแม่ไว้ว่าอยากไป แม่ก็สนับสนุนเราให้ไปเรียนโทค่ะ แต่ไม่ให้อยู่ต่อ ให้เรียนแล้วกลับ ส่วนพ่อคงไม่ให้เราไปต่อโทแน่ๆ คงมองว่าเรียนทำไม บวกกับไม่อยากให้เราห่างครอบครัว เราจึงยังไม่ได้พูดเกริ่นกับพ่อเรื่องนี้ แล้วการมีปากเสียงของพ่อกับเราก็เกิดขึ้นค่ะ วันนนึงอยู่ดีๆพ่อก็พุดขึ้นมาว่า “เห้อ ถ้าลูกสาวไปเรียนกทม พ่อจะทำยังไง” เราแค่รู้สึกว่าพ่อกับแท่จะติดเราอะไรขนาดนั้น เราเลยพูดกลับไปว่า “ถ้าหนูได้แต่งงานกับคนกรุงเทพล่ะ แล้วค้องย้ายไปอยู่กทมล่ะ พ่อจะห้ามหนูแต่งหรอ?” แค่นั้นแหละค่ะ พ่อพูดกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงประชดประชันและตัดพ้อ “อะถ้างั้นอยากไปก็ไป ไปเลยก็ได้ เดี๋ยวแก่มาพ่อกับแม่จะเอาเงินไปจ้างคนดูแลซักคน ไม่ต้องพึ่งให้ลูกเลี้ยงหรอก เอาเงินไปใช้เองดีกว่าเนอะแม่” ได้ยินแบบนั้นมันทำให้เราทั้งอึ้งทั้งโมโหจริงๆค่ะ เหมือนพ่อบังคับให้เราเป็นแบบที่ตัวเองต้องการ แล้วพ่อก็พูดอีกว่า “ถ้าหนูมีลูกแล้วลูกถามกลับหนูแบบนี้ หนูจะจุกเอง ลองนึกถึงหนูที่ทำงานหนักแทบตายแต่อยู่ๆลูกก็มาพูดกับหนูว่า พ่อกับแม่ดูแลตัวเองไปนะ หนูจะออกไปใช้ชีวิตของหนู “ และพ่อหันไปพูดกับแม่ว่า “คงต้องคิดเรื่องส่งเรียรกรุงเทพใหม่ละเนอะแม่ แพงก็แพงต้องส่งเงินให้ใช้อีก “ ซึ่งมันทำให้เรางงมากจริงๆค่ะ ถ้าตอนเรียนจบมาแล้วเราไม่อยู่กับพ่อ พ่อก็จะไม่ส่งเรียน? อย่างงั้นรึป่าวคะ? แล้วในใจพ่อกะไม่ปล่อยให้เราเลือกทางเดินชีวิตเองเลยหรอ จนพูดกันไปมาพ่อไม่ยอมจบซักที จนเรารู้ว่าพูดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จบบทสนทนาที่เราบอกว่า “โอเคพ่ออยากให้หนูทำอะไร อยู่ที่ไหนหนูก็อยู่ตามที่พ่อต้องการนั่นแหละ “ แค่นั้นแหละค่ะ เพราะเราก็ยอมหยุดพูด มันยิ่งตอกย้ำความกลัวในใจเราเลยว่าพอถึงเวลาที่เราอยากจะเลือกทางเดินชีวิตเอง เราต้องทะเลาะกันพ่อแน่ๆ อันนี้เราแค่พูดถึงย้ายไปกรุงเทพ ถ้าพ่อรู้ความจริงว่าในใจเราคืออเมริกาคงจะตัดหางปล่อยวัดเรา ขอบอกก่อนนะคะเราตัดสินใจเรียนวิศวะโยธา เพื่อมาช่วยที่บ้าน ทั้งๆที่ตัวเราไม่ได้เก่งคณิตหรือวิทย์เลยซักนิดแค่เห็นคำนวณก็อยากอ้วกแล้ว เราจึงขอเรียนม.เอกชนที่กรุงเทพ แต่แน่นอนว่าค่าเรียนค่าหอและค่าใช้จ่ายตั่งๆเราคิดคร่าวๆแล้วประมาน 500,000 ซึ่งเป็นเงินที่เยอะ จนเรามาคิดอีกที ถ้าเรียนมหาลัยใกล้บ้านคงจะลดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย ที่เรามาคิดอีกทีเพราะทุกครั้งที่แม่กับพ่อด่าเรา จะเป็นการด่าที่ไม่มีคำว่าบุญคุณ แต่ทั้งหมดที่ด่ามันหมายถึงให้เราตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงมา ส่วนแม่เราด่าเราเป็นประจำจนเรามีความรุ้สึกว่าแม่ปสดมากๆจริงๆค่ะ เวลาแม่ด่า แม่ไม่ได้ด่าเฉยๆแต่เปนการด่าที่จะไม่ยอมหยุดด่าถ้าเราไม่มีทีท่าสำนึกผิด ซึ่งแน่นอนค่ะว่าเราไม่มีทีท่าสำนึกจริงๆเพราะเรารู้สึกว่าแม่จะเอาอะไรอีก จะด่าอะไรอีก ด่าแค่นี้ไม่พอหรอ แม่เราด่าแบบจะเอาชนะให้ได้ถ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองชนะก็จะด่าเยอะแยะไม่หยุดเลย หลายครั้งแม่จะชอบมีคำด่าประมานว่า ใช้อะไรก็ทำท่าหงุดหงิดไม่พอใจ ไม่ปรับปรุงตัว ไม่พัฒนา อยู่บ้านเล่นแต่ทรสไม่ทำอะไร ด่าในแต่ละครั้งจะมีคำพูดทวงบุญคุณมาเรื่อยๆเลยค่ะ ด่าจนเรารู้สึกเป็นหนี้ ทั้งๆที่เราก็เป็นลูก ซึ่งในส่วนนี้เราเข้าใจว่าเราเป็นคนเดียวในบ้านที่แทบไม่ได้ทำงานเลยถ้าเทียบกับพ่อและพี่ชายคืองานหนักกว่าเรามาก แต่เราคิดว่าเราพยามทำเท่าที่เราจะทำได้แล้วจริงๆ แม้ตอนแม่ใช้เรานั่นนี่ถึงเราจะมีสีหน้าหงุดหงิดแต่สุดท้ายเราก็ทำให้อยู่ดี เราโดนแม่ด่าสะสมหลายเรื่องจนวันนึงเคยคิดจะหนีออกจากบ้าน จนความคิดที่ว่าเกลียดการอยู่บ้านหลังนี้ อยากจะหนีพ่อแม่ไปให้ไกลมันเกิดขึ้นตอนไหนเราก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็อยากหนีไปให้ไกลจากบ้านหลังนี้ เราควรทำยังไงดีคะ กับทุกๆเรื่องเลย
เรื่องมหาลัย แล้วไหนจะเรื่องไปตปท ถ้าเราจะไปจริงๆพ่อก็คงห้ามเราไม่ได้ แต่คงไม่ส่งเงินให้ใช้ซึ่งเราก็ได้หาทางไปแบบไม่พึ่งเงินพ่อแม่ไว้แล้ว แต่เราอยากไปแบบไม่ได้ทะเลาะกับพ่อ เพราะจริงๆแล้วเราก็รักพ่อกับแม่มาก แล้วชีวิตมันเป็นของเราจริงๆมั้ยคะหรือเป็นของพ่อแม่
คำว่าชีวิตของเรา มันเป็นของเราจริงๆรึป่าวคะ
เรากับพี่ชินกับคำปฏิเสธของพ่อแล้ว เวลาขอไปไหนถ้าไม่ได้ไปก็จะไม่งอแงขออีกค่ะ พอโตขึ้นมาอยู่ม.ปลาย พ่อก็ปล่อยเยอะขึ้นนะคะ ให้ไปนั่นไปนี่แต่กำหนดเวลากลับค่อนข้างเร็ว ส่วนพี่เราตัดสินใจไม่เรียนมหาลัยแล้วมาช่วยพ่อคุมคนงานก่อสร้างในโครงการแทนค่ะ ด้วยความที่พี่เราใช้ชีวิตเป็นวัยทำงานตั้งแต่อายุ 19 จึงได้ขาดเวลาของวัยรุ่นไปและไม่มีเพื่อนมหาลัยทำให้เหงาและมีความเครียดสะสม พ่อตั้งความหวังไว้ที่พี่ชายมากกว่าเราค่ะเพราะเป็นลูกชาย คนจีน-เวียดนามส่วนใหญ่จะคิดว่าลูกสาวแต่งออกไป ไม่เหมือนลูกชายที่ยังใช้เอาไว้ดูแลตอนแก่ได้ แต่เรารู้สึกถึงความรักที่พ่อกับแม่มีให้อยากท่วมท้นจริงๆค่ะ แต่ไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่พ่อแม่มีความคิดไว้ให้เรากับพี่เลี้ยงตอนแก่ตัว สมัยตั้งแต่เป็นเด็กเราจะได้ยินพ่อพูดกับหลายๆคนว่า “ รีบมีลูก เดี๋ยวไม่ทันใช้/ลูกมีไว้ใช้ “ เป็นคำที่เราได้ยินจนความคิดแบบนี้ฝังอยู่ในหัวเราว่าเป็นเรื่องปกติ จนวันนึงในทวิตมีการเอดูในหลายๆเรื่องและมีเรื่องที่ต้องดูแลพ่อแม่ตอนแก่ด้วย เราก็เริ่มรู้สึกว่าเราอยากมีชีวิตของตัวเอง ทำให้เราคิดสงสัยว่าทำไมพ่อถึงเลี้ยงเรามาแล้วกะใช้ มันเกิดคำถามขึ้นในหัวมากมาย เราก็ยังหาคำตอบไม่ได้ในเรื่องนี้ แล้วต่อมาก็มีกระแสย้ายประเทศมากขึ้น เราเองมีความคิดอยากอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กๆแล้ว พอมีกระแสมายิ่งทำให้เราอยากย้ายมากขึ้น จึงเกิดแพลนในหัวเราที่อยากจะไปต่อโทที่อเมริกา เคยพูดกับแม่ไว้ว่าอยากไป แม่ก็สนับสนุนเราให้ไปเรียนโทค่ะ แต่ไม่ให้อยู่ต่อ ให้เรียนแล้วกลับ ส่วนพ่อคงไม่ให้เราไปต่อโทแน่ๆ คงมองว่าเรียนทำไม บวกกับไม่อยากให้เราห่างครอบครัว เราจึงยังไม่ได้พูดเกริ่นกับพ่อเรื่องนี้ แล้วการมีปากเสียงของพ่อกับเราก็เกิดขึ้นค่ะ วันนนึงอยู่ดีๆพ่อก็พุดขึ้นมาว่า “เห้อ ถ้าลูกสาวไปเรียนกทม พ่อจะทำยังไง” เราแค่รู้สึกว่าพ่อกับแท่จะติดเราอะไรขนาดนั้น เราเลยพูดกลับไปว่า “ถ้าหนูได้แต่งงานกับคนกรุงเทพล่ะ แล้วค้องย้ายไปอยู่กทมล่ะ พ่อจะห้ามหนูแต่งหรอ?” แค่นั้นแหละค่ะ พ่อพูดกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงประชดประชันและตัดพ้อ “อะถ้างั้นอยากไปก็ไป ไปเลยก็ได้ เดี๋ยวแก่มาพ่อกับแม่จะเอาเงินไปจ้างคนดูแลซักคน ไม่ต้องพึ่งให้ลูกเลี้ยงหรอก เอาเงินไปใช้เองดีกว่าเนอะแม่” ได้ยินแบบนั้นมันทำให้เราทั้งอึ้งทั้งโมโหจริงๆค่ะ เหมือนพ่อบังคับให้เราเป็นแบบที่ตัวเองต้องการ แล้วพ่อก็พูดอีกว่า “ถ้าหนูมีลูกแล้วลูกถามกลับหนูแบบนี้ หนูจะจุกเอง ลองนึกถึงหนูที่ทำงานหนักแทบตายแต่อยู่ๆลูกก็มาพูดกับหนูว่า พ่อกับแม่ดูแลตัวเองไปนะ หนูจะออกไปใช้ชีวิตของหนู “ และพ่อหันไปพูดกับแม่ว่า “คงต้องคิดเรื่องส่งเรียรกรุงเทพใหม่ละเนอะแม่ แพงก็แพงต้องส่งเงินให้ใช้อีก “ ซึ่งมันทำให้เรางงมากจริงๆค่ะ ถ้าตอนเรียนจบมาแล้วเราไม่อยู่กับพ่อ พ่อก็จะไม่ส่งเรียน? อย่างงั้นรึป่าวคะ? แล้วในใจพ่อกะไม่ปล่อยให้เราเลือกทางเดินชีวิตเองเลยหรอ จนพูดกันไปมาพ่อไม่ยอมจบซักที จนเรารู้ว่าพูดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จบบทสนทนาที่เราบอกว่า “โอเคพ่ออยากให้หนูทำอะไร อยู่ที่ไหนหนูก็อยู่ตามที่พ่อต้องการนั่นแหละ “ แค่นั้นแหละค่ะ เพราะเราก็ยอมหยุดพูด มันยิ่งตอกย้ำความกลัวในใจเราเลยว่าพอถึงเวลาที่เราอยากจะเลือกทางเดินชีวิตเอง เราต้องทะเลาะกันพ่อแน่ๆ อันนี้เราแค่พูดถึงย้ายไปกรุงเทพ ถ้าพ่อรู้ความจริงว่าในใจเราคืออเมริกาคงจะตัดหางปล่อยวัดเรา ขอบอกก่อนนะคะเราตัดสินใจเรียนวิศวะโยธา เพื่อมาช่วยที่บ้าน ทั้งๆที่ตัวเราไม่ได้เก่งคณิตหรือวิทย์เลยซักนิดแค่เห็นคำนวณก็อยากอ้วกแล้ว เราจึงขอเรียนม.เอกชนที่กรุงเทพ แต่แน่นอนว่าค่าเรียนค่าหอและค่าใช้จ่ายตั่งๆเราคิดคร่าวๆแล้วประมาน 500,000 ซึ่งเป็นเงินที่เยอะ จนเรามาคิดอีกที ถ้าเรียนมหาลัยใกล้บ้านคงจะลดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย ที่เรามาคิดอีกทีเพราะทุกครั้งที่แม่กับพ่อด่าเรา จะเป็นการด่าที่ไม่มีคำว่าบุญคุณ แต่ทั้งหมดที่ด่ามันหมายถึงให้เราตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงมา ส่วนแม่เราด่าเราเป็นประจำจนเรามีความรุ้สึกว่าแม่ปสดมากๆจริงๆค่ะ เวลาแม่ด่า แม่ไม่ได้ด่าเฉยๆแต่เปนการด่าที่จะไม่ยอมหยุดด่าถ้าเราไม่มีทีท่าสำนึกผิด ซึ่งแน่นอนค่ะว่าเราไม่มีทีท่าสำนึกจริงๆเพราะเรารู้สึกว่าแม่จะเอาอะไรอีก จะด่าอะไรอีก ด่าแค่นี้ไม่พอหรอ แม่เราด่าแบบจะเอาชนะให้ได้ถ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองชนะก็จะด่าเยอะแยะไม่หยุดเลย หลายครั้งแม่จะชอบมีคำด่าประมานว่า ใช้อะไรก็ทำท่าหงุดหงิดไม่พอใจ ไม่ปรับปรุงตัว ไม่พัฒนา อยู่บ้านเล่นแต่ทรสไม่ทำอะไร ด่าในแต่ละครั้งจะมีคำพูดทวงบุญคุณมาเรื่อยๆเลยค่ะ ด่าจนเรารู้สึกเป็นหนี้ ทั้งๆที่เราก็เป็นลูก ซึ่งในส่วนนี้เราเข้าใจว่าเราเป็นคนเดียวในบ้านที่แทบไม่ได้ทำงานเลยถ้าเทียบกับพ่อและพี่ชายคืองานหนักกว่าเรามาก แต่เราคิดว่าเราพยามทำเท่าที่เราจะทำได้แล้วจริงๆ แม้ตอนแม่ใช้เรานั่นนี่ถึงเราจะมีสีหน้าหงุดหงิดแต่สุดท้ายเราก็ทำให้อยู่ดี เราโดนแม่ด่าสะสมหลายเรื่องจนวันนึงเคยคิดจะหนีออกจากบ้าน จนความคิดที่ว่าเกลียดการอยู่บ้านหลังนี้ อยากจะหนีพ่อแม่ไปให้ไกลมันเกิดขึ้นตอนไหนเราก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็อยากหนีไปให้ไกลจากบ้านหลังนี้ เราควรทำยังไงดีคะ กับทุกๆเรื่องเลย
เรื่องมหาลัย แล้วไหนจะเรื่องไปตปท ถ้าเราจะไปจริงๆพ่อก็คงห้ามเราไม่ได้ แต่คงไม่ส่งเงินให้ใช้ซึ่งเราก็ได้หาทางไปแบบไม่พึ่งเงินพ่อแม่ไว้แล้ว แต่เราอยากไปแบบไม่ได้ทะเลาะกับพ่อ เพราะจริงๆแล้วเราก็รักพ่อกับแม่มาก แล้วชีวิตมันเป็นของเราจริงๆมั้ยคะหรือเป็นของพ่อแม่