[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/40648837 ตอนที่1
https://pantip.com/topic/40739984 ตอนที่2
ปรางค์ลืมตาตื่นขึ้นในตอนสายของอีกวันเธอพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ข้างกายติ๊กสามีสุดที่รักนั่งฟุบหลับกรนเบา ๆ มือเขายังกุมมือเธอไว้หลวม ๆ เธอบีบมือเขาเบา ๆ เพื่อเป็นการปลุกทางอ้อม ติ๊กผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าภรรยาตื้นแล้วเขาจึงรีบสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง
"ที่รัก คุณเป็นยังไงบ้าง"
"ไม่เป็นไรค่ะ แล้วลูกของเราล่ะคะ"
ปรางค์ถามเพราะความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เลือนลางที่สุดเธอรับรู้ได้ถึงความวุ่นวายเมื่อแพทย์และพยาบาลกำลังช่วยเหลือ และคำพูดที่หมอบอกกับพยาบาลว่าต้องเร่งช่วยชีวิตแม่และเด็กนั่นทำให้เธอมีจิตเป็นกังวลอย่างที่สุดก่อนจะหมดสติไป
"ปลอดภัยดีครับ ลูกของเราปลอดภัยดี" เขาบอกพลางลูบศีรษะภรรยาเบา ๆ
ปรางค์หลับตาลงอีกครั้งด้วยความโล่งใจ แม้ตอนนี้อาการปวดหนึบตรงหน้าท้องจะมีอยู่บ้างแต่เธอก็พอจะทนได้
"เดี๋ยวผมจะไปตามหมอก่อน คุณอยู่คนเดียวสักแป๊บนะที่รัก"
"ค่ะ" ปรางค์ตอบเบา ๆ
ภายในห้องพักผู้ป่วยบัดนี้เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงใด ๆ ปรางค์มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง แดดอ่อน ๆ ส่องแสงผ่านผ้าม่านสีขาวที่ปลิวไสวตามแรงลมที่พัดเข้ามา เงาของแจกันดอกไม้บนโต๊ะพาดผ่านกลางห้องมายังเตียงคนไข้ ปรางค์เลื่อนสายตาตามรูปร่างของเงานั้นมาเรื่อย ๆ แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
เงาที่มีจุดเริ่มต้นจากแจกันแต่ด้านปลายสุดของเงากลับมีรูปร่างคล้ายศีรษะมนุษย์ ด้วยการหักเหของแสง ลักษณะเงานั้นดูคล้ายกับว่ากำลังซบหน้าลงบนร่างกายของเธอ
ปรางค์พยายามยันกายลุกขึ้นหวังจะหนีออกไปให้ไกลที่สุดแต่ด้วยอาการปวดท้องที่เริ่มรุนแรงขึ้นทำให้มันบั่นทอนเรี่ยวแรงของเธออย่างมาก
จู่ ๆ เงานั้นก็ขยับน้อย ๆ ปรางค์จ้องตาเขม็งด้วยความหวาดกลัว เงานั้นค่อย ๆ ขยับเขยื้อนแล้วความจริงที่ทำให้หัวใจของปรางค์กระตุกวูบก็เปิดเผย
มันมีเงาสองเงา!
เงาหนึ่งเป็นของแจกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อีกเงาหนึ่งมันดำสนิท ดำจนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับสิ่งใด มันมีลักษณะเป็นคนดี ๆ นี่เอง มันยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงของปรางค์ แม้จะดำจนไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดใด ๆ แต่ความรู้สึกบอกเธอว่า มันจ้องเธออยู่
ปรางค์กรีดร้องสุดกำลังแต่เธอกลับต้องตกใจขนลุกวาบ
ไม่มีเสียง!
ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา ปรางค์ประหวั่นพรั่นพรึงถึงขีดสุดร่างกายสั่นเทิ้มเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
ร่างสีดำสนิทนั้นค่อย ๆ โน้มกายลงมาหาเธอช้า ๆ ปรางค์พยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นภัยอย่างสุดชีวิตแต่ร่างกายของเธอบัดนี้ราวกับเป็นอัมพาต มันไม่ตอบสนองใด ๆ กับการสั่งการของสมอง
"
มืงมันแพศยา มืงมันชั่ว"
แล้วร่างนั้นก็ใช้มือสองข้างกดไหล่ของปรางค์ไว้ มันขึ้นมานั่งคร่อมร่างของเธอค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาจนเกือบจะชิดกับใบหน้าเธอแล้วมันก็เบี่ยงหน้าไปด้านข้างราวกับกำลังซบหน้าลงกับหมอนข้างศีรษะเธอ
"
มืงมันแพศยา มืงมันชั่ว" มันกระซิบข้างหูเธอเบา ๆ
"ปรางค์ ปรางค์!!" ติ๊กเขย่าตัวเรียกภรรยา
"คุณเป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนร้องไห้ทำไมบอกผมสิ" ติ๊กถาม
ปรางค์กรอกตาไปมามองหาสิ่งน่ากลัวที่เธอเพิ่งเผชิญหน้าเมื่อสักครู่ ไร้วี่แววใด ๆ ทุกอย่างในห้องปกติดียกเว้นโต๊ะกับแจกัน
เมื่อครู่ปรางค์เห็นอย่างชัดเจนว่ามันตั้งรับแสงอาทิตย์อยู่ริมหน้าต่างแต่บัดนี้มันหายไป
"โต๊ะ! โต๊ะล่ะ? แจกันล่ะ?"
"หืม? อ๋อ! อยู่นั่นไง" ติ๊กตอบภรรยาพลางชี้มือไปที่สิ่งของต้องประสงค์ ปรางหันไปมองตามปลายนิ้วของสามี
"ทะ ทำไมมันไปตั้งอยู่ตรงนั้นล่ะ" ปรางค์ถามอย่างตื่นตระหนกเพราะโต๊ะและแจกันดอกไม้ที่เธอคุ้นตามันกลับไปตั้งชิดผนังอยู่ใต้ทีวีด้านปลายเท้าของเธอ
"มันก็ตั้งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้วนิ ที่รักคุณโอเครึเปล่า" ติ๊กมองไปที่แจกันแล้วหันกลับมาถามอาการของภรรยาด้วยความเป็นห่วง
"มะ ไม่! ไม่ใช่!! เมื่อกี้มันตั้งอยู่ตรงนั้น" ปรางค์ละล่ำละลักบอกพลางชี้มือไปตรงริมหน้าต่าง
"คุณพูดอะไร" ติ๊กถาม หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
"ปรางค์พูดจริง ๆ นะคะ" ปรางค์บอก
"มันอาจเป็นผลข้างเคียงของยาน่ะครับ อีกอย่างคนไข้เพิ่งฟื้นด้วยเลยอาจจะยังเบลอ ๆ อยู่ ยังไงขอหมอตรวจร่างกายหน่อยนะครับ"
"ครับ" ติ๊กตอบสั้น ๆ ก่อนจะเลี่ยงออกไปหลบทางให้หมอและพยาบาลสามารถทำงานได้อย่างสะดวก ปรางค์มองไปยังสามีด้วยสายตาวิงวอน
"อย่าไปไหนนะคะ อยู่กับปรางค์ก่อน ปรางค์กลัว"
ติ๊กยิ้มให้ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ ปรางค์ยิ้มตอบก่อนที่เธอจะลืมตาโพลงอีกครั้ง
ร่างนั้น ร่างสีดำสนิทนั้นยืนโอบร่างของติ๊กไว้จากทางด้านหลัง มันซบหน้าลงบนไหล่ของเขา มือสองข้างลูบไล้ไปตามแผงอกและมัดกล้ามหน้าท้อง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปใกล้ลำคอของเขาทีละน้อย ทีละน้อย แล้วคว้าหมับทันที
"กรี๊ด!!!"
ปรางค์กรีดร้องอีกครั้ง คราวนี้เสียงของเธอถูกระเบิดจนดังก้อง ทั้งหมอและพยาบาลต่างตกใจถอยกรูดก่อนจะถลาเข้ามาจับตัวปรางค์ที่กำลังคลุ้มคลั่งไว้
"คนไข้ครับ! ใจเย็น ๆ นะครับ!!"
"กรี๊ด! ที่รักคะไม่นะ!! กรี๊ด!!!!" ปรางค์กรีดร้องอีกครั้งเส้นเลือดบริเวณข้างลำคอขาวเนียนปูดโปนจากการเปล่งเสียงอย่างสุดกำลัง
"ปรางค์! เป็นอะไรไปที่รัก ปรางค์!!"
แล้วปรางค์ก็สูญสิ้นสติสัมปชัญญะเพราะฤทธิ์ยาสลบที่ส่งผ่านจากปลายเข็มเข้าสู่เส้นเลือด
"ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะครับหมอ ภรรยาผมเป็นอะไรไป แล้วลูกผมจะปลอดภัยมั๊ย"
"ตอนนี้ให้คนไข้พักผ่อนไปก่อนนะครับ อาการเมื่อกี้อาจจะเกิดจากความตระหนกและวิตกกังวลของคนไข้ แต่ภรรยากับลูกคุณปลอดภัยดีครับ"
หมอตอบเพียงแค่นั้นก็ขอตัวจากไป ติ๊กมองร่างที่นอนสงบนิ่งเหยียดยาวของภรรยาสาวสวย เขากังวลอย่างหนักที่อาการของเธอเป็นแบบนี้
ติ๊กปล่อยให้ปรางค์นอนพักผ่อน เขาฝากพยาบาลที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ช่วยดูแลภรรยาสักพักเพราะเขาจะกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมข้าวของมาเฝ้าภรรยาในคืนนี้
"อ้าว! แล้วพี่สาวของคนไข้ล่ะคะ" พยาบาลสาวถามด้วยความสงสัย
"ครับ?"
"ก็เมื่อก่อนหน้าที่คุณจะออกมาจากห้อง มีผู้หญิงคนนึงบอกว่าเป็นพี่สาวของคนไข้น่ะค่ะ เค้าฝากบอกคุณว่าถ้าจะกลับก็กลับได้เลยเดี๋ยวเค้าจะดูแลคนไข้ให้เอง เสร็จแล้วก็เดินไปทางห้องน้ำน่ะค่ะ"
พยาบาลพูดยืดยาวแล้วก็ก้มลงจัดการกับเอกสารตรงหน้า
"พี่สาว? พี่สาวของปรางค์เอ่อ! ภรรยาผมเหรอครับ"
"ใช่ค่ะ" พยาบาลสาวตอบสั้น ๆ
ติ๊กยืนงงกับคำตอบของพยาบาล กำลังที่จะถามต่อโทรศัพท์บนโต๊ะก็ส่งเสียงเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้า ติ๊กจึงเลี่ยงออกมา เขาเดินกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย เขามองร่างภรรยาสาวที่นอนหลับผ่านช่องกระจกที่ติดอยู่บนบานประตู
"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วผู้หญิงคนนั้นใครกัน" ติ๊กพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟท์
ติ๊ง!! สัญญาณเตือนว่าลิฟต์เปิด ติ๊กก้าวเข้าไปยืนในตู้สี่เหลี่ยมแล้วหันมากดปุ่มระบุชั้นที่ต้องการจะลง เขาเหลือบไปเห็นพอดีว่าพยาบาลตรงเคาเตอร์หน้าลิฟท์มองมาทางเขาด้วยสีหน้าตกใจ ประตูลิฟต์ค่อย ๆ ปิดพร้อมกับความสงสัยของติ๊กที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
"เธอเห็นมั๊ย?"
"เห็นสิ นี่กลางวันแสก ๆ เลยนะ"
พยาบาลสองคนหน้าเคาน์เตอร์หันมาคุยกันหลังจากประตูลิฟต์ปิดลง
(มีต่อครับ)
เรือนรักอำมหิต 3. สงสัย
ปรางค์ลืมตาตื่นขึ้นในตอนสายของอีกวันเธอพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ข้างกายติ๊กสามีสุดที่รักนั่งฟุบหลับกรนเบา ๆ มือเขายังกุมมือเธอไว้หลวม ๆ เธอบีบมือเขาเบา ๆ เพื่อเป็นการปลุกทางอ้อม ติ๊กผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าภรรยาตื้นแล้วเขาจึงรีบสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง
"ที่รัก คุณเป็นยังไงบ้าง"
"ไม่เป็นไรค่ะ แล้วลูกของเราล่ะคะ"
ปรางค์ถามเพราะความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เลือนลางที่สุดเธอรับรู้ได้ถึงความวุ่นวายเมื่อแพทย์และพยาบาลกำลังช่วยเหลือ และคำพูดที่หมอบอกกับพยาบาลว่าต้องเร่งช่วยชีวิตแม่และเด็กนั่นทำให้เธอมีจิตเป็นกังวลอย่างที่สุดก่อนจะหมดสติไป
"ปลอดภัยดีครับ ลูกของเราปลอดภัยดี" เขาบอกพลางลูบศีรษะภรรยาเบา ๆ
ปรางค์หลับตาลงอีกครั้งด้วยความโล่งใจ แม้ตอนนี้อาการปวดหนึบตรงหน้าท้องจะมีอยู่บ้างแต่เธอก็พอจะทนได้
"เดี๋ยวผมจะไปตามหมอก่อน คุณอยู่คนเดียวสักแป๊บนะที่รัก"
"ค่ะ" ปรางค์ตอบเบา ๆ
ภายในห้องพักผู้ป่วยบัดนี้เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงใด ๆ ปรางค์มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง แดดอ่อน ๆ ส่องแสงผ่านผ้าม่านสีขาวที่ปลิวไสวตามแรงลมที่พัดเข้ามา เงาของแจกันดอกไม้บนโต๊ะพาดผ่านกลางห้องมายังเตียงคนไข้ ปรางค์เลื่อนสายตาตามรูปร่างของเงานั้นมาเรื่อย ๆ แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
เงาที่มีจุดเริ่มต้นจากแจกันแต่ด้านปลายสุดของเงากลับมีรูปร่างคล้ายศีรษะมนุษย์ ด้วยการหักเหของแสง ลักษณะเงานั้นดูคล้ายกับว่ากำลังซบหน้าลงบนร่างกายของเธอ
ปรางค์พยายามยันกายลุกขึ้นหวังจะหนีออกไปให้ไกลที่สุดแต่ด้วยอาการปวดท้องที่เริ่มรุนแรงขึ้นทำให้มันบั่นทอนเรี่ยวแรงของเธออย่างมาก
จู่ ๆ เงานั้นก็ขยับน้อย ๆ ปรางค์จ้องตาเขม็งด้วยความหวาดกลัว เงานั้นค่อย ๆ ขยับเขยื้อนแล้วความจริงที่ทำให้หัวใจของปรางค์กระตุกวูบก็เปิดเผย
มันมีเงาสองเงา!
เงาหนึ่งเป็นของแจกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อีกเงาหนึ่งมันดำสนิท ดำจนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับสิ่งใด มันมีลักษณะเป็นคนดี ๆ นี่เอง มันยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงของปรางค์ แม้จะดำจนไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดใด ๆ แต่ความรู้สึกบอกเธอว่า มันจ้องเธออยู่
ปรางค์กรีดร้องสุดกำลังแต่เธอกลับต้องตกใจขนลุกวาบ
ไม่มีเสียง!
ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา ปรางค์ประหวั่นพรั่นพรึงถึงขีดสุดร่างกายสั่นเทิ้มเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
ร่างสีดำสนิทนั้นค่อย ๆ โน้มกายลงมาหาเธอช้า ๆ ปรางค์พยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นภัยอย่างสุดชีวิตแต่ร่างกายของเธอบัดนี้ราวกับเป็นอัมพาต มันไม่ตอบสนองใด ๆ กับการสั่งการของสมอง
"มืงมันแพศยา มืงมันชั่ว"
แล้วร่างนั้นก็ใช้มือสองข้างกดไหล่ของปรางค์ไว้ มันขึ้นมานั่งคร่อมร่างของเธอค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาจนเกือบจะชิดกับใบหน้าเธอแล้วมันก็เบี่ยงหน้าไปด้านข้างราวกับกำลังซบหน้าลงกับหมอนข้างศีรษะเธอ
"มืงมันแพศยา มืงมันชั่ว" มันกระซิบข้างหูเธอเบา ๆ
"ปรางค์ ปรางค์!!" ติ๊กเขย่าตัวเรียกภรรยา
"คุณเป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนร้องไห้ทำไมบอกผมสิ" ติ๊กถาม
ปรางค์กรอกตาไปมามองหาสิ่งน่ากลัวที่เธอเพิ่งเผชิญหน้าเมื่อสักครู่ ไร้วี่แววใด ๆ ทุกอย่างในห้องปกติดียกเว้นโต๊ะกับแจกัน
เมื่อครู่ปรางค์เห็นอย่างชัดเจนว่ามันตั้งรับแสงอาทิตย์อยู่ริมหน้าต่างแต่บัดนี้มันหายไป
"โต๊ะ! โต๊ะล่ะ? แจกันล่ะ?"
"หืม? อ๋อ! อยู่นั่นไง" ติ๊กตอบภรรยาพลางชี้มือไปที่สิ่งของต้องประสงค์ ปรางหันไปมองตามปลายนิ้วของสามี
"ทะ ทำไมมันไปตั้งอยู่ตรงนั้นล่ะ" ปรางค์ถามอย่างตื่นตระหนกเพราะโต๊ะและแจกันดอกไม้ที่เธอคุ้นตามันกลับไปตั้งชิดผนังอยู่ใต้ทีวีด้านปลายเท้าของเธอ
"มันก็ตั้งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้วนิ ที่รักคุณโอเครึเปล่า" ติ๊กมองไปที่แจกันแล้วหันกลับมาถามอาการของภรรยาด้วยความเป็นห่วง
"มะ ไม่! ไม่ใช่!! เมื่อกี้มันตั้งอยู่ตรงนั้น" ปรางค์ละล่ำละลักบอกพลางชี้มือไปตรงริมหน้าต่าง
"คุณพูดอะไร" ติ๊กถาม หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
"ปรางค์พูดจริง ๆ นะคะ" ปรางค์บอก
"มันอาจเป็นผลข้างเคียงของยาน่ะครับ อีกอย่างคนไข้เพิ่งฟื้นด้วยเลยอาจจะยังเบลอ ๆ อยู่ ยังไงขอหมอตรวจร่างกายหน่อยนะครับ"
"ครับ" ติ๊กตอบสั้น ๆ ก่อนจะเลี่ยงออกไปหลบทางให้หมอและพยาบาลสามารถทำงานได้อย่างสะดวก ปรางค์มองไปยังสามีด้วยสายตาวิงวอน
"อย่าไปไหนนะคะ อยู่กับปรางค์ก่อน ปรางค์กลัว"
ติ๊กยิ้มให้ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ ปรางค์ยิ้มตอบก่อนที่เธอจะลืมตาโพลงอีกครั้ง
ร่างนั้น ร่างสีดำสนิทนั้นยืนโอบร่างของติ๊กไว้จากทางด้านหลัง มันซบหน้าลงบนไหล่ของเขา มือสองข้างลูบไล้ไปตามแผงอกและมัดกล้ามหน้าท้อง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปใกล้ลำคอของเขาทีละน้อย ทีละน้อย แล้วคว้าหมับทันที
"กรี๊ด!!!"
ปรางค์กรีดร้องอีกครั้ง คราวนี้เสียงของเธอถูกระเบิดจนดังก้อง ทั้งหมอและพยาบาลต่างตกใจถอยกรูดก่อนจะถลาเข้ามาจับตัวปรางค์ที่กำลังคลุ้มคลั่งไว้
"คนไข้ครับ! ใจเย็น ๆ นะครับ!!"
"กรี๊ด! ที่รักคะไม่นะ!! กรี๊ด!!!!" ปรางค์กรีดร้องอีกครั้งเส้นเลือดบริเวณข้างลำคอขาวเนียนปูดโปนจากการเปล่งเสียงอย่างสุดกำลัง
"ปรางค์! เป็นอะไรไปที่รัก ปรางค์!!"
แล้วปรางค์ก็สูญสิ้นสติสัมปชัญญะเพราะฤทธิ์ยาสลบที่ส่งผ่านจากปลายเข็มเข้าสู่เส้นเลือด
"ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะครับหมอ ภรรยาผมเป็นอะไรไป แล้วลูกผมจะปลอดภัยมั๊ย"
"ตอนนี้ให้คนไข้พักผ่อนไปก่อนนะครับ อาการเมื่อกี้อาจจะเกิดจากความตระหนกและวิตกกังวลของคนไข้ แต่ภรรยากับลูกคุณปลอดภัยดีครับ"
หมอตอบเพียงแค่นั้นก็ขอตัวจากไป ติ๊กมองร่างที่นอนสงบนิ่งเหยียดยาวของภรรยาสาวสวย เขากังวลอย่างหนักที่อาการของเธอเป็นแบบนี้
ติ๊กปล่อยให้ปรางค์นอนพักผ่อน เขาฝากพยาบาลที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ช่วยดูแลภรรยาสักพักเพราะเขาจะกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมข้าวของมาเฝ้าภรรยาในคืนนี้
"อ้าว! แล้วพี่สาวของคนไข้ล่ะคะ" พยาบาลสาวถามด้วยความสงสัย
"ครับ?"
"ก็เมื่อก่อนหน้าที่คุณจะออกมาจากห้อง มีผู้หญิงคนนึงบอกว่าเป็นพี่สาวของคนไข้น่ะค่ะ เค้าฝากบอกคุณว่าถ้าจะกลับก็กลับได้เลยเดี๋ยวเค้าจะดูแลคนไข้ให้เอง เสร็จแล้วก็เดินไปทางห้องน้ำน่ะค่ะ"
พยาบาลพูดยืดยาวแล้วก็ก้มลงจัดการกับเอกสารตรงหน้า
"พี่สาว? พี่สาวของปรางค์เอ่อ! ภรรยาผมเหรอครับ"
"ใช่ค่ะ" พยาบาลสาวตอบสั้น ๆ
ติ๊กยืนงงกับคำตอบของพยาบาล กำลังที่จะถามต่อโทรศัพท์บนโต๊ะก็ส่งเสียงเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้า ติ๊กจึงเลี่ยงออกมา เขาเดินกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย เขามองร่างภรรยาสาวที่นอนหลับผ่านช่องกระจกที่ติดอยู่บนบานประตู
"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วผู้หญิงคนนั้นใครกัน" ติ๊กพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟท์
ติ๊ง!! สัญญาณเตือนว่าลิฟต์เปิด ติ๊กก้าวเข้าไปยืนในตู้สี่เหลี่ยมแล้วหันมากดปุ่มระบุชั้นที่ต้องการจะลง เขาเหลือบไปเห็นพอดีว่าพยาบาลตรงเคาเตอร์หน้าลิฟท์มองมาทางเขาด้วยสีหน้าตกใจ ประตูลิฟต์ค่อย ๆ ปิดพร้อมกับความสงสัยของติ๊กที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
"เธอเห็นมั๊ย?"
"เห็นสิ นี่กลางวันแสก ๆ เลยนะ"
พยาบาลสองคนหน้าเคาน์เตอร์หันมาคุยกันหลังจากประตูลิฟต์ปิดลง
(มีต่อครับ)