ในสมัยที่พระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงภายในดินแดนแหลมทองของไทย ในตอนที่รับเข้ามาเหล่ากษัตริย์นั้นตระหนักถึงหลักรรมคำสอนรวมถึงเรื่องของกฎแห่งกรรมหรือไม่
คือในประวัติศาสตร์ทั้งในไทยและแทบอุษาคเนย์นี้จะมีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่ชนชั้นกษัตริย์ ขุนนาง ไพร่ ทาส ผมเลยสงสัยว่าทำไมต้องแบ่งชนชั้นกันในเมื่อพระพุทธศาสนานั้นมีหลักธรรมคำสอนไม่ให้มีการแบ่งวรรณะหรือชนชั้นกัน แต่ทำไมในประวัติศาสตร์แทบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงมีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน(แต่ไม่หนักเท่าอินเดีย)
แล้วอีกอย่างผู้ปกครองในตอนนั้นเขาตระหนักถึงหลักธรรมคำสอนในเรื่องกฏแห่งกรรมหรือไม่ (เอาง่ายถ้าผู้ปกครองกดขี่ข่มเหงรังแกไพร่ทาส ในชาติหน้าผู้ปกครองคนนั้นจะต้องไปเกิดเป็นไพร่ทาสให้เจ้ากรรมนายเวรกดขี่ต่อ พูดง่ายๆต่อให้สูงสุดดุจเทพ ถ้าทำสิ่งไม่ดีหรือเหยียบย่ำผู้คน กรรมจะนำพาชาติหน้าให้ตกต่ำเป็นไพร่ให้ผู้คนถ่มน้ำลายใส่ได้) และรู้หรือเปร่าว่าต่อให้ทำบุญใหญ่แค่ไหนถ้าใจยังมืดบอดอยู่บุญก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก
และอีดอย่างในสมัยนั้นผูปกครองมักเปรียบตนเป็นสมมุติเทพ(รับอิทธิพลฮินดูเข้ามา) ตอนรับพระพุทธศาสนาเข้ามานั้นพวกเขาไม่ตระหนักเลยหรือว่าไม่มีอะไรยังยืน สูงสุดคืนสู่สามัญ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ย่อมล่มสลาย ราชวงศผัดเปลี่ยนดังฤดูกาล(เหมือนดั่ง 5 ราชวงศ์ในสมัยอยุธยา) ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน แม้แต่ชีวิต ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าแต่เมื่อวันสุดท้ายมาถึง. ก็พกไปได้เพีงบุญและบาปเท่านั้น
คือตลอดที่ผมดูละครย้อนยุคหรือเรื่องนางทาสจะพบว่า ทาสนั้นมักเป็นที่ระบายอารมณ์ของนายตลอด ซึ่งในจุดๆนี้ในสังคมสมัยโบราณที่รับพระพุทธศาสนาเข้ามานั้น เหล่านายทาสเขาไม่ตระหนักในหลักคำสอน พระพุทธศาสนาเลยหรือตรงที่ว่าถ้าคุณเบียดเบียนหรือข่มเหงรังแกผู้คน ในชาตินี้หรือชาติหน้าคุณจะต้องได้รับผลกรรมที่สาสมกับที่ทำเอาไว้ แล้วพวกนายทาสรู้หรือเปร่าว่าการกระทำแบบนี้จะเป็นการสร้างกรรมที่ไม่จบไม่สิ้น คุณทำเขาในชาตินี้ชาติหน้าเขาก็จะเอาคืน มันจะเป็นแบบนี้ไม่จบไม่สิ่นเป็นดังวงเวียนแห่งกรรม
ในสมัยโบราณตอนที่ผู้ปกครองในแถบอุษาคเนย์รับพระพุทธศาสนาเข้ามา พวกตระหนักถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาหรือไม่
คือในประวัติศาสตร์ทั้งในไทยและแทบอุษาคเนย์นี้จะมีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่ชนชั้นกษัตริย์ ขุนนาง ไพร่ ทาส ผมเลยสงสัยว่าทำไมต้องแบ่งชนชั้นกันในเมื่อพระพุทธศาสนานั้นมีหลักธรรมคำสอนไม่ให้มีการแบ่งวรรณะหรือชนชั้นกัน แต่ทำไมในประวัติศาสตร์แทบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงมีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน(แต่ไม่หนักเท่าอินเดีย)
แล้วอีกอย่างผู้ปกครองในตอนนั้นเขาตระหนักถึงหลักธรรมคำสอนในเรื่องกฏแห่งกรรมหรือไม่ (เอาง่ายถ้าผู้ปกครองกดขี่ข่มเหงรังแกไพร่ทาส ในชาติหน้าผู้ปกครองคนนั้นจะต้องไปเกิดเป็นไพร่ทาสให้เจ้ากรรมนายเวรกดขี่ต่อ พูดง่ายๆต่อให้สูงสุดดุจเทพ ถ้าทำสิ่งไม่ดีหรือเหยียบย่ำผู้คน กรรมจะนำพาชาติหน้าให้ตกต่ำเป็นไพร่ให้ผู้คนถ่มน้ำลายใส่ได้) และรู้หรือเปร่าว่าต่อให้ทำบุญใหญ่แค่ไหนถ้าใจยังมืดบอดอยู่บุญก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก
และอีดอย่างในสมัยนั้นผูปกครองมักเปรียบตนเป็นสมมุติเทพ(รับอิทธิพลฮินดูเข้ามา) ตอนรับพระพุทธศาสนาเข้ามานั้นพวกเขาไม่ตระหนักเลยหรือว่าไม่มีอะไรยังยืน สูงสุดคืนสู่สามัญ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ย่อมล่มสลาย ราชวงศผัดเปลี่ยนดังฤดูกาล(เหมือนดั่ง 5 ราชวงศ์ในสมัยอยุธยา) ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน แม้แต่ชีวิต ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าแต่เมื่อวันสุดท้ายมาถึง. ก็พกไปได้เพีงบุญและบาปเท่านั้น
คือตลอดที่ผมดูละครย้อนยุคหรือเรื่องนางทาสจะพบว่า ทาสนั้นมักเป็นที่ระบายอารมณ์ของนายตลอด ซึ่งในจุดๆนี้ในสังคมสมัยโบราณที่รับพระพุทธศาสนาเข้ามานั้น เหล่านายทาสเขาไม่ตระหนักในหลักคำสอน พระพุทธศาสนาเลยหรือตรงที่ว่าถ้าคุณเบียดเบียนหรือข่มเหงรังแกผู้คน ในชาตินี้หรือชาติหน้าคุณจะต้องได้รับผลกรรมที่สาสมกับที่ทำเอาไว้ แล้วพวกนายทาสรู้หรือเปร่าว่าการกระทำแบบนี้จะเป็นการสร้างกรรมที่ไม่จบไม่สิ้น คุณทำเขาในชาตินี้ชาติหน้าเขาก็จะเอาคืน มันจะเป็นแบบนี้ไม่จบไม่สิ่นเป็นดังวงเวียนแห่งกรรม