
หลังจากค้างคาจนลืม ก็มานึกได้
ว่า ต้องวางตอนจบเสียที
บทที่ 1
https://pantip.com/topic/39962162
บทที่ 2
https://pantip.com/topic/39975682
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณใด ๆ ไม่ต้องหาเหตุผลใด ๆ
............................
ความเดิมที่ผ่านมา
กระบี่หรรษา บุกขึ้นเกาะเซี่ยงชุน เพื่อสังหารแม่เฒ่าเซี่ยงซุน แต่ดรุณีน้อยบุตรีเลี้ยงของแม่เฒ่า มาขัดขวาง กระบี่หรรษาชวนนางหนีออกจากเกาะ โดยไม่มีเหตุผลแบบขำ ๆ เพราะทั้งคู่หลงรักกันทันที
ขณะที่นางกำลังสงสัยลังเล กระบี่รันทด คู่ปรับตลอดกาลของกระบี่หรรษาก็ปรากฏตัวขึ้น โดยไม่มีเหตุผลแบบเศร้า ๆ
กระบี่รันทดเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เพราะดรุณีน้อยคอยช่วยเหลือกระบี่หรรษา ดรุณีน้อยที่เพิ่งรู้ตัวว่านางกำลังอยู่ในชุดนอนบางเบาราวปีกจักจั่น จึงรีบกลับไปเปลี่ยนชุด
เวลานั้นเอง นักฆ่าร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นนักฆ่าที่แม่เฒ่าเซี่ยงชุนส่งมา เขาคือ ‘จอบจำพราก’ ผู้มี ‘จอบบักจก’(อาวุธชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายจอบขุดดิน) เป็นอาวุธ คำสั่งของแม่เฒ่าคือ สังหารทุกคนที่บุกขึ้นมาบนเกาะ แล้วขุดกลบฝังด้วยจอบบักจก แต่แทนที่จะลงมือต่อกระบี่หรรษา เขากลับลงมือใส่กระบี่รันทดที่นอนสลบไสล แบบไม่มีใครคาดคิด
.......................
จอบบักจก คล้ายอสนีบาตฟาดลง เพียงแต่จอบนี้ ไม่ได้จู่โจมใส่กระบี่หรรษา เป้าหมายคือกระบี่รันทด ที่นอนสลบอยู่บนพื้น
นี่เป็นเรื่องราวผีสางใดกัน...ทั้งสองต่างเป็นคนขอเกาะแห่งนี้
ทันใดนั้นเอง ร่างที่นอนแน่นิ่งของกระบี่รันทด พลันพลิกตัววูบ หลบจอบบักจกได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นกระโดดตัวลอยขึ้น กระบี่ในมือแทงเฉียงออกรวดเร็วปานประกายไฟ ท่วงท่าของจอบจำพรากชะงักค้างทันที กระบี่รันทดพลิกพลิ้วกายลงเหยียบพื้นทรายอย่างงดงาม กระบี่สอดเข้าฝัก คนยืนนิ่ง สีหน้าเซื่องซึม
คนทั้งสามยืนสงบ ต่างคนต่างมุม สายพัดสะบัดไหว ชายเสื้อเล่นล้อลม คลื่นซัดชายหาดครวญคราง กระบี่หรรษาและดรุณีน้อยยืนตะลึง ไม่อาจเข้าใจ
ร่างของจอบจำพรากค่อยล้มฟาดลง จอบบักจกร่วงหล่นลง พ่ายแพ้ในกระบี่เดียว กระบี่หรรษาพอมองเห็น ส่งเสียงหัวร่อ พูดเสียงดังขึ้นทันที
“ฮา ฮา และ ฮา จอบจำพรากเอย ไม่นึกว่าจะพ่ายแพ้ง่ายดาย ง่ายดายจนขำ ฮา ฮา ล้มลงแบบขำ ๆ ฮา ขำแบบง่ายดาย ฮา...”
กระบี่รันทดจ้องมอง ทว่ามันมิอาจขำ เนื่องเพราะมันคือกระบี่รันทด จำเป็นจะต้องนึกหาแต่เรื่องโศกเศร้าใส่ตัว เพื่อเพิ่มพูนพลังฝีมือ ภาพบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง กำลังหัวร่อ ช่างเป็นภาพแสนเศร้าเหลือเกิน คนอะไร....ช่างร้ายเหลือทน หัวร่อจนแสนเศร้า น้ำตาแทบหลั่งไหล คนเรามีรอยยิ้ม ไม่แน่ว่ามีรอยยิ้มในหัวใจ เพียงคนเรายึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก สามารถฉีกยิ้มค้างคา กระบี่รันทดคิดพลางฝืนใจ ค่อยก้าวเดินเดินขึ้นไปยังแนวไม้ทีละก้าว ภารกิจยังไม่สิ้นสุด
กระบี่หรรษามองตามทีละก้าว แล้วหัวร่ออย่างไม่เข้าใจ ความจริงอีกฝ่ายต้องบุกเข้ามาฟาดฟัน แต่เหตุใดจึงเดินขึ้นไปบนเกาะแบบไม่สนใจใยดี
ดังนั้นกระบี่หรรษาหัวเราะแบบไม่เข้าใจทันที ไม่เข้าใจก็สามารถขำได้ หัวร่อจนสาแก่ใจ บุรุษหนุ่มจอมหรรษา จึงได้แต่เดินติดตามไปโดยเดินในท่า ‘มูนวอล์ก’ แบบขำ ๆ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เดินอย่างไรก็ไม่คืบหน้า มีแต่ถอยหลังลงทะเล กว่าจะรู้ตัวว่าการมูนวอล์คความจริงคือถึงจะก้าวเดินไปข้างหน้า ตัวจะถอยหลัง ภาพของคู่ปรับตลอดกาลหายเข้าไปในแนวไม้เสียแล้ว กระบี่หรรษาได้แต่นึกขำในความเป็นผีบ้าของตัวเอง เดินธรรมดาก็สิ้นเรื่อง นี่เกือบถอยหลังลงทะเลตายแบบขำ ๆ
“โอย สนุกจัง ดกกนี้ไม่แน่นอน ใช่คือไม่ใช่ ไม่ใช่คือใช่ เดินข้างหน้า แต่ทะลึ่งไปข้างหลัง ฮา ใครบ้ากันแน่ ฮา” เสียงหัวร่อดังสะท้านกังวาน
“แกนะสิบ้า...ไอเว่น” จอบจำพรากผงกหัวขึ้นมาร้องด่า ก่อนฟุบลงไปอีกครั้ง นับว่ามิอาจตายตาหลับ เพราะพลังหรรษาแผ่ซ่านมารบกวน กระทั่งคนจะตายยังมิอาจละเว้น
“อะไรของแกฟะ...อยู่ดี ๆ ก็ทะลึ่งเงยหน้าขึ้นมาให้ขำ ขำก็ได้ ฮา” ว่าพลางส่งเสียงหัวร่อสำหรับมันแล้ว ทุกเรื่องให้โลกคล้ายดลบันดาลให้หัวเราะได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มและเสียงหัวร่อคือพลัง นี่คือหลักวิชาแห่งสายวิชาหรรษา ซึ่งฝึกปรือลำบากยากเย็น เพราะผู้คนเกิดมาล้วนแล้วแต่มีพื้นฐาน คือความทุกข์ความเศร้า ทารกเกิดมาคล้ายรับรู้ จึงส่งเสียงร้องไห้เมื่อแรกเกิด ไม่มีทารกใดแหกปากหัวเราะก๊าก-ก๊าก ออกมาจากครรภ์มารดา
ความจริงมันก็เป็นยอดฝีมือ แต่ไม่สามารถมองเห็นการประมือของจอบจำพรากและกระบี่รันทดชัดเจน ทุกอย่างรวดเร็วเกินไป
“ฤาเราหรรษาพาเพลิน จนปฏิกิริยาเขื่องช้าไปแล้ว เชื่องช้าขำอีกแล้วเรา ฮา”
“ไอ้บ้า” จอบจำพรากผงกหัวมาร้องด่า แล้วฟุบลงไปอีกครั้ง ตายยากตายเย็นจริงนะ บุรุษหนุ่มหน้าเป็นนึกพลางมองดูร่างไร้วิญญาณอย่างไม่ไว้ใจ ขืนทะลึ่งลุกขึ้นมากล่าววาจาอีกครั้ง ข้าพเจ้าต้องเผ่นหนีเกาะราบแน่ มันจะเฮี้ยนตั้งแต่เริ่มเสียชีวิตกระนั้นฤา
ดีว่าจอบจำพราก ไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก...
มารดาเฒ่าเซี่ยงชุน นั่งจิบ ‘สุราขาวสองซาว’ อยู่ในคฤหาสน์ บนเก้าอี้ห้องเต้ นางสวมกิโมโนชุดขาว เพราะเชื่อว่า สีขาวคือคุณความดีชั้นสูง คือความสะอาดเอี่ยมอ่องแห่งจิตใจไร้มลทิน มือของนางลูบคลำเงินในมืออย่างปลาบปลื้มดีใจ
หลังจากมุ่งมั่น นอนกลางวัน มายี่สิบปี นางถึงกับมีเงินเก็บสะสมในตู้เซฟหนึ่งร้อยสามสิบบาทยี่สิบห้าสตางค์ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี กับเงินจำนวนมากมายมหาศาล ต้องคอยนำออกมานับดูทุกวัน โดยหวังว่าเงินจะแบ่งตัวแบบอะมีบา และเจริญเติบโตเป็นเงินใบใหม่
นางเคยเอาเงินไปปลูกใส่กระถางวางบนหลังคารับแสงแดดหวังว่าเงินจะเกิดปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสง รดน้ำพรวนดินอย่างดี โดยคิดว่าเงินจะงอกงามเจริญเติบโตออกดอกออกผล เป็นต้นเงินต้นทอง
มิใช่ว่านางเลื่อนลอย นางเคยเห็นต้นเงินมาแล้วในชีวิต อย่าว่าแต่ต้นเงิน กระทั่งตัวเงินตัวทอง ยังเคยเห็น นับประสาอะไรกับต้นเงิน
หลายสิบปีก่อน นางเคยเห็น ต้นกฐิน (ต้นเสียบเงิน) ต้นผ้าป่า ใบโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง ตามงานกฐินหรืองานบุญผ้าป่า สร้างความประหลาดใจสุดแสน ไม่เคยนึกว่าเงินจะเจริญเติบโต กลายเป็นต้นเงินได้ หนีบด้วยไม้ไผ่เรียงกันสลอนสวยงาม จึงพากเพียรปลูกต้นเงิน รดน้ำพรวนดินมานาน แต่ไร้ผล บางทีอาจเพราะทำผลบุญน้อยเกินไป นางจึงเพิ่มดอกเบี้ยปล่อยเงินกู้ของนางขึ้นอีก หวังว่าบุญบารมีจะช่วยส่งเสริม ให้ฝันเป็นจริง
ความจริงนางยังมีทองคำเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว แต่ไม่กล้าเอาไปเพาะปลูก เกรงว่า ทองจะเจริญงอกงามเติบโต เป็นต้นทองคำ แตกกิ่งก้านสาขา แล้วออกดอกออกช่อ เป็น ‘บุปผาทอง’ ฟังแล้วแม้จะงดงาม แต่ความหมายของคำว่า ‘บุปผาทอง’ ส่อเค้าไปในทางไม่ค่อยดี จึงเลิกล้มความตั้งใจไป แม้ว่าจะเสียดายก็ตาม ไว้ลุ้นต้นเงินอย่างเดียวคงพอเพียง
เงิน อาจไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ แต่ก็ซื้ออะไรได้มากมายก่ายกอง มีเงินย่อมประเสริฐกว่าไม่มีเงิน เงินทำให้มีชื่อเสียงและอำนาจตามมา อำนาจชื่อเสียงมา ความลุ่มหลงมัวเมาหลงตัวเองย่อมตามมา ยากยิ่งจะปล่อยวาง คนมีเงินทองมีอำนาจ จึงยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้เงินและอำนาจมากทวีขึ้น
คฤหาสน์ของมารดาเฒ่า อยู่จุดสูงสุดของเกาะ จากหน้าต่างสี่ด้านมองเห็นชายหาดอยู่ไกลลิบ นางชอบตำแหน่งสูงสุด จนลืมไปว่า ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาวอ้างว้างเดียวดาย ไม้สูงกว่าไม้อาจแพ้ลมบน แต่นี่คือเกาะของนาง เกาะที่ผลิตสุราเซี่ยงชุนส่งนอก การค้าขายเคยเจริญรุ่งเรือง แต่พักหลังการค้าขายเริ่มฝืดเคือง เพราะสุราขาวสองซาว มาตีตลาดท้ายครัว จนต้องหันมาดื่มสุราขาวสองซาวในที่สุด
กับแกล้มราคาแพง ของนางวันนี้คือ ‘ไข่ราชบุตรเขยพันปี’ สามฟอง ‘เนื้อหนึ่งทิวาราตรี’ อีกหนึ่งจาน สั่งตรงมาจากแผ่นดินใหญ่ทางอากาศ ด้วยเครือข่ายโดรนฟู้ด
ส้อมตักไข่ราชบุตรเขยพันปีขึ้นมาลูกหนึ่ง จ้องมองเคลิบเคลิ้มซึมเซาซึมซับผิวราบลื่นเป็นประกายของไข่ ส่งเข้าปากละเลียดแช่มช้า ให้สมกับราคาแพง ตามด้วยสุราสองซาวหนึ่งอึก
อา...แม่เฒ่าระบายลมหายใจออกมา อารมณ์เริ่มคักคักแจ่มใส แม้ว่าจะมีอายุแปดสิบกว่าขวบ ท่าทางนางยังปราดเปรียวว่องไว เอวยังบิดอ่อนไหว ข้อเท้ายังแข็งแรง เพราะอาหารเสริมพันปีหนึ่งทิวาราตรี
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องของนางก็กระแทกเปิดออก
แม่เฒ่าเซี่ยงชุนหันไปมองอย่างแปลกใจ ปกติคนที่สามารถขึ้นมาคงห้องชั้นบนสุดของคฤหาสน์ได้ จะต้องเป็นพนักงานส่งของส่งของ หรือผู้ติดต่อธุรกิจเท่านั้น เท่านั้น ทว่าบุรุษหนุ่มในชุดคล้ายชาวประมงสีเทา สวมรองเท้าฟางที่เดินเข้ามาไม่ใช่พนักงานส่งของ หรือผู้ติดต่อการค้า เป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง เพียงสีหน้าแววตาเศร้าหม่นสุดประมาณ ผู้มาเยือนพอปรากฏตัว บรรยากาศคล้ายหม่นเศร้าทันที ประหนึ่งกำลังอยู่ในงานศพ หรือหัวใจกำลังแหลกสลาย
“กระบี่รันทด เจ้า...” แม่เฒ่าหลุดปากออกมา ไม่คาดว่ามือสังหารที่ว่าจ้าง จะขึ้นมายังพื้นที่ส่วนตัวได้เพราะเคยออกคำสั่งห้ามเด็ดขาด ทุกคนต้องรอคำสั่งอยู่เบื้องล่างเท่านั้น
“ข้าเอง” บุรุษหนุ่มตอบรับ น้ำเสียงฟังแล้วอาจทำให้คนธรรมสามัญถึงกับวิ่งไปกระโดดหน้าต่างตาย ด้วยความตรอมตรมใจ แต่มิใช่แม่เฒ่าเซี่ยงชุนเด็ดขาด ความโศกเศร้าใดนางไม่เคยพานพบ ไม่สยบต่อพลังเศร้าใดในโลกล้วน สายตาของนางกวาดมองขึ้นลง ส่งเสียงเย็นชาถาม
“ผู้บุกรุกเล่า” นางย่อมหมายถึงกระบี่หรรษา
“มันกำลังขึ้นมา”
“เจ้าไฉนไม่สังหารมัน” สีหน้าแววตามารดาเฒ่าเกรี้ยวกราด
“เสียใจด้วย ข้าขอลาออกจากงานกะทันหัน และมาเอาค่าจ้างด้วย ที่ท่านค้างอยู่สองหมื่นอีกต่างหาก”
แม่เฒ่าซวนเซไปด้านหลังสองก้าว หัวใจเต้นแรงแทบระเบิดจากอก นอกจากจะถูกทรยศกลางอากาศ คนอย่างแม่เฒ่าถึงกับติดเงินผู้อื่น จนต้องมีการออกปากทวง ความรู้สึกไม่ผิดกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ
“เจ้าไฉนลาออกกลางคัน แล้วยังมีหน้าด้านทวง เงินที่ข้ายืมอีก หน้ามิอาย คนอะไรกล้าทวงหนี้” แม่เฒ่าแค่นเสียงถาม กำหมัดแน่น สายตาวาวโรจน์ นางนึกเหตุผลไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าทำไมแค่ขอยืมเงิน และไม่จ่ายเงินเดือนหกเดือนเท่านั้น ยังจะมีคนกล้าลาออก ผู้คนยุคนี้นับว่าไร้น้ำใจ
“ท่านผ่านหน่วยพิทักษ์เซี่ยงชุน ขึ้นมาได้อย่างไร” แววตาของนางเริ่มทอประกายอำมหิตขึ้นมาทีละน้อย สายตาของผู้มาเยือนยิ่งหดหู่ลงอีก เพียงน้ำเสียงที่ตอบกลับเป็นสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง
“ไม่มีกองกำลังใดของท่าน ไม่มีแม้แต่คนเดียว”
แก้วตาของแม่เฒ่าหดวูบลงทันที ร่างกายไหวสั่นเล็กน้อย ท่วงท่าคล้ายลุกหนังปล่อยลม แม้จะสะกดความพลุ่งพล่านดาลเดือดปานใดก็ตาม ไม่เข้าใจว่า กองกำลังที่นางดูแลเป็นอย่างดี กลับสะบัดก้นหนีออกจากเกาะไปได้
“พวกมันไปที่ใด”
“พวกมันไม่ได้รับเงินเดือนค่าจ้าง พากันหนีไปหมดสิ้นแล้ว”
คนกล่าววาจาตอบ กลับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เดินออกมาจากประตูด้านข้าง กระบี่รันทดมองปราดเดียวก็รู้ว่า เป็นกรุณีอาภรณ์เบายางที่เจอกันบริเวณชายหาดนั่นเอง เพียงแต่เวลานี้นางอยู่ในชุดรัดกุมมิดชิดอย่างยิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดนอนเบาบางเป็นปีกจักจั่น ไม่มีให้ชมอีกต่อไป
.
.
กระบี่รันทดภาคพิเศษ..........3 (จบ)
หลังจากค้างคาจนลืม ก็มานึกได้
ว่า ต้องวางตอนจบเสียที
บทที่ 1
https://pantip.com/topic/39962162
บทที่ 2
https://pantip.com/topic/39975682
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณใด ๆ ไม่ต้องหาเหตุผลใด ๆ
............................
ความเดิมที่ผ่านมา
กระบี่หรรษา บุกขึ้นเกาะเซี่ยงชุน เพื่อสังหารแม่เฒ่าเซี่ยงซุน แต่ดรุณีน้อยบุตรีเลี้ยงของแม่เฒ่า มาขัดขวาง กระบี่หรรษาชวนนางหนีออกจากเกาะ โดยไม่มีเหตุผลแบบขำ ๆ เพราะทั้งคู่หลงรักกันทันที
ขณะที่นางกำลังสงสัยลังเล กระบี่รันทด คู่ปรับตลอดกาลของกระบี่หรรษาก็ปรากฏตัวขึ้น โดยไม่มีเหตุผลแบบเศร้า ๆ
กระบี่รันทดเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เพราะดรุณีน้อยคอยช่วยเหลือกระบี่หรรษา ดรุณีน้อยที่เพิ่งรู้ตัวว่านางกำลังอยู่ในชุดนอนบางเบาราวปีกจักจั่น จึงรีบกลับไปเปลี่ยนชุด
เวลานั้นเอง นักฆ่าร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นนักฆ่าที่แม่เฒ่าเซี่ยงชุนส่งมา เขาคือ ‘จอบจำพราก’ ผู้มี ‘จอบบักจก’(อาวุธชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายจอบขุดดิน) เป็นอาวุธ คำสั่งของแม่เฒ่าคือ สังหารทุกคนที่บุกขึ้นมาบนเกาะ แล้วขุดกลบฝังด้วยจอบบักจก แต่แทนที่จะลงมือต่อกระบี่หรรษา เขากลับลงมือใส่กระบี่รันทดที่นอนสลบไสล แบบไม่มีใครคาดคิด
.......................
จอบบักจก คล้ายอสนีบาตฟาดลง เพียงแต่จอบนี้ ไม่ได้จู่โจมใส่กระบี่หรรษา เป้าหมายคือกระบี่รันทด ที่นอนสลบอยู่บนพื้น
นี่เป็นเรื่องราวผีสางใดกัน...ทั้งสองต่างเป็นคนขอเกาะแห่งนี้
ทันใดนั้นเอง ร่างที่นอนแน่นิ่งของกระบี่รันทด พลันพลิกตัววูบ หลบจอบบักจกได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นกระโดดตัวลอยขึ้น กระบี่ในมือแทงเฉียงออกรวดเร็วปานประกายไฟ ท่วงท่าของจอบจำพรากชะงักค้างทันที กระบี่รันทดพลิกพลิ้วกายลงเหยียบพื้นทรายอย่างงดงาม กระบี่สอดเข้าฝัก คนยืนนิ่ง สีหน้าเซื่องซึม
คนทั้งสามยืนสงบ ต่างคนต่างมุม สายพัดสะบัดไหว ชายเสื้อเล่นล้อลม คลื่นซัดชายหาดครวญคราง กระบี่หรรษาและดรุณีน้อยยืนตะลึง ไม่อาจเข้าใจ
ร่างของจอบจำพรากค่อยล้มฟาดลง จอบบักจกร่วงหล่นลง พ่ายแพ้ในกระบี่เดียว กระบี่หรรษาพอมองเห็น ส่งเสียงหัวร่อ พูดเสียงดังขึ้นทันที
“ฮา ฮา และ ฮา จอบจำพรากเอย ไม่นึกว่าจะพ่ายแพ้ง่ายดาย ง่ายดายจนขำ ฮา ฮา ล้มลงแบบขำ ๆ ฮา ขำแบบง่ายดาย ฮา...”
กระบี่รันทดจ้องมอง ทว่ามันมิอาจขำ เนื่องเพราะมันคือกระบี่รันทด จำเป็นจะต้องนึกหาแต่เรื่องโศกเศร้าใส่ตัว เพื่อเพิ่มพูนพลังฝีมือ ภาพบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง กำลังหัวร่อ ช่างเป็นภาพแสนเศร้าเหลือเกิน คนอะไร....ช่างร้ายเหลือทน หัวร่อจนแสนเศร้า น้ำตาแทบหลั่งไหล คนเรามีรอยยิ้ม ไม่แน่ว่ามีรอยยิ้มในหัวใจ เพียงคนเรายึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก สามารถฉีกยิ้มค้างคา กระบี่รันทดคิดพลางฝืนใจ ค่อยก้าวเดินเดินขึ้นไปยังแนวไม้ทีละก้าว ภารกิจยังไม่สิ้นสุด
กระบี่หรรษามองตามทีละก้าว แล้วหัวร่ออย่างไม่เข้าใจ ความจริงอีกฝ่ายต้องบุกเข้ามาฟาดฟัน แต่เหตุใดจึงเดินขึ้นไปบนเกาะแบบไม่สนใจใยดี
ดังนั้นกระบี่หรรษาหัวเราะแบบไม่เข้าใจทันที ไม่เข้าใจก็สามารถขำได้ หัวร่อจนสาแก่ใจ บุรุษหนุ่มจอมหรรษา จึงได้แต่เดินติดตามไปโดยเดินในท่า ‘มูนวอล์ก’ แบบขำ ๆ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เดินอย่างไรก็ไม่คืบหน้า มีแต่ถอยหลังลงทะเล กว่าจะรู้ตัวว่าการมูนวอล์คความจริงคือถึงจะก้าวเดินไปข้างหน้า ตัวจะถอยหลัง ภาพของคู่ปรับตลอดกาลหายเข้าไปในแนวไม้เสียแล้ว กระบี่หรรษาได้แต่นึกขำในความเป็นผีบ้าของตัวเอง เดินธรรมดาก็สิ้นเรื่อง นี่เกือบถอยหลังลงทะเลตายแบบขำ ๆ
“โอย สนุกจัง ดกกนี้ไม่แน่นอน ใช่คือไม่ใช่ ไม่ใช่คือใช่ เดินข้างหน้า แต่ทะลึ่งไปข้างหลัง ฮา ใครบ้ากันแน่ ฮา” เสียงหัวร่อดังสะท้านกังวาน
“แกนะสิบ้า...ไอเว่น” จอบจำพรากผงกหัวขึ้นมาร้องด่า ก่อนฟุบลงไปอีกครั้ง นับว่ามิอาจตายตาหลับ เพราะพลังหรรษาแผ่ซ่านมารบกวน กระทั่งคนจะตายยังมิอาจละเว้น
“อะไรของแกฟะ...อยู่ดี ๆ ก็ทะลึ่งเงยหน้าขึ้นมาให้ขำ ขำก็ได้ ฮา” ว่าพลางส่งเสียงหัวร่อสำหรับมันแล้ว ทุกเรื่องให้โลกคล้ายดลบันดาลให้หัวเราะได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มและเสียงหัวร่อคือพลัง นี่คือหลักวิชาแห่งสายวิชาหรรษา ซึ่งฝึกปรือลำบากยากเย็น เพราะผู้คนเกิดมาล้วนแล้วแต่มีพื้นฐาน คือความทุกข์ความเศร้า ทารกเกิดมาคล้ายรับรู้ จึงส่งเสียงร้องไห้เมื่อแรกเกิด ไม่มีทารกใดแหกปากหัวเราะก๊าก-ก๊าก ออกมาจากครรภ์มารดา
ความจริงมันก็เป็นยอดฝีมือ แต่ไม่สามารถมองเห็นการประมือของจอบจำพรากและกระบี่รันทดชัดเจน ทุกอย่างรวดเร็วเกินไป
“ฤาเราหรรษาพาเพลิน จนปฏิกิริยาเขื่องช้าไปแล้ว เชื่องช้าขำอีกแล้วเรา ฮา”
“ไอ้บ้า” จอบจำพรากผงกหัวมาร้องด่า แล้วฟุบลงไปอีกครั้ง ตายยากตายเย็นจริงนะ บุรุษหนุ่มหน้าเป็นนึกพลางมองดูร่างไร้วิญญาณอย่างไม่ไว้ใจ ขืนทะลึ่งลุกขึ้นมากล่าววาจาอีกครั้ง ข้าพเจ้าต้องเผ่นหนีเกาะราบแน่ มันจะเฮี้ยนตั้งแต่เริ่มเสียชีวิตกระนั้นฤา
ดีว่าจอบจำพราก ไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก...
มารดาเฒ่าเซี่ยงชุน นั่งจิบ ‘สุราขาวสองซาว’ อยู่ในคฤหาสน์ บนเก้าอี้ห้องเต้ นางสวมกิโมโนชุดขาว เพราะเชื่อว่า สีขาวคือคุณความดีชั้นสูง คือความสะอาดเอี่ยมอ่องแห่งจิตใจไร้มลทิน มือของนางลูบคลำเงินในมืออย่างปลาบปลื้มดีใจ
หลังจากมุ่งมั่น นอนกลางวัน มายี่สิบปี นางถึงกับมีเงินเก็บสะสมในตู้เซฟหนึ่งร้อยสามสิบบาทยี่สิบห้าสตางค์ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี กับเงินจำนวนมากมายมหาศาล ต้องคอยนำออกมานับดูทุกวัน โดยหวังว่าเงินจะแบ่งตัวแบบอะมีบา และเจริญเติบโตเป็นเงินใบใหม่
นางเคยเอาเงินไปปลูกใส่กระถางวางบนหลังคารับแสงแดดหวังว่าเงินจะเกิดปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสง รดน้ำพรวนดินอย่างดี โดยคิดว่าเงินจะงอกงามเจริญเติบโตออกดอกออกผล เป็นต้นเงินต้นทอง
มิใช่ว่านางเลื่อนลอย นางเคยเห็นต้นเงินมาแล้วในชีวิต อย่าว่าแต่ต้นเงิน กระทั่งตัวเงินตัวทอง ยังเคยเห็น นับประสาอะไรกับต้นเงิน
หลายสิบปีก่อน นางเคยเห็น ต้นกฐิน (ต้นเสียบเงิน) ต้นผ้าป่า ใบโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง ตามงานกฐินหรืองานบุญผ้าป่า สร้างความประหลาดใจสุดแสน ไม่เคยนึกว่าเงินจะเจริญเติบโต กลายเป็นต้นเงินได้ หนีบด้วยไม้ไผ่เรียงกันสลอนสวยงาม จึงพากเพียรปลูกต้นเงิน รดน้ำพรวนดินมานาน แต่ไร้ผล บางทีอาจเพราะทำผลบุญน้อยเกินไป นางจึงเพิ่มดอกเบี้ยปล่อยเงินกู้ของนางขึ้นอีก หวังว่าบุญบารมีจะช่วยส่งเสริม ให้ฝันเป็นจริง
ความจริงนางยังมีทองคำเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว แต่ไม่กล้าเอาไปเพาะปลูก เกรงว่า ทองจะเจริญงอกงามเติบโต เป็นต้นทองคำ แตกกิ่งก้านสาขา แล้วออกดอกออกช่อ เป็น ‘บุปผาทอง’ ฟังแล้วแม้จะงดงาม แต่ความหมายของคำว่า ‘บุปผาทอง’ ส่อเค้าไปในทางไม่ค่อยดี จึงเลิกล้มความตั้งใจไป แม้ว่าจะเสียดายก็ตาม ไว้ลุ้นต้นเงินอย่างเดียวคงพอเพียง
เงิน อาจไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ แต่ก็ซื้ออะไรได้มากมายก่ายกอง มีเงินย่อมประเสริฐกว่าไม่มีเงิน เงินทำให้มีชื่อเสียงและอำนาจตามมา อำนาจชื่อเสียงมา ความลุ่มหลงมัวเมาหลงตัวเองย่อมตามมา ยากยิ่งจะปล่อยวาง คนมีเงินทองมีอำนาจ จึงยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้เงินและอำนาจมากทวีขึ้น
คฤหาสน์ของมารดาเฒ่า อยู่จุดสูงสุดของเกาะ จากหน้าต่างสี่ด้านมองเห็นชายหาดอยู่ไกลลิบ นางชอบตำแหน่งสูงสุด จนลืมไปว่า ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาวอ้างว้างเดียวดาย ไม้สูงกว่าไม้อาจแพ้ลมบน แต่นี่คือเกาะของนาง เกาะที่ผลิตสุราเซี่ยงชุนส่งนอก การค้าขายเคยเจริญรุ่งเรือง แต่พักหลังการค้าขายเริ่มฝืดเคือง เพราะสุราขาวสองซาว มาตีตลาดท้ายครัว จนต้องหันมาดื่มสุราขาวสองซาวในที่สุด
กับแกล้มราคาแพง ของนางวันนี้คือ ‘ไข่ราชบุตรเขยพันปี’ สามฟอง ‘เนื้อหนึ่งทิวาราตรี’ อีกหนึ่งจาน สั่งตรงมาจากแผ่นดินใหญ่ทางอากาศ ด้วยเครือข่ายโดรนฟู้ด
ส้อมตักไข่ราชบุตรเขยพันปีขึ้นมาลูกหนึ่ง จ้องมองเคลิบเคลิ้มซึมเซาซึมซับผิวราบลื่นเป็นประกายของไข่ ส่งเข้าปากละเลียดแช่มช้า ให้สมกับราคาแพง ตามด้วยสุราสองซาวหนึ่งอึก
อา...แม่เฒ่าระบายลมหายใจออกมา อารมณ์เริ่มคักคักแจ่มใส แม้ว่าจะมีอายุแปดสิบกว่าขวบ ท่าทางนางยังปราดเปรียวว่องไว เอวยังบิดอ่อนไหว ข้อเท้ายังแข็งแรง เพราะอาหารเสริมพันปีหนึ่งทิวาราตรี
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องของนางก็กระแทกเปิดออก
แม่เฒ่าเซี่ยงชุนหันไปมองอย่างแปลกใจ ปกติคนที่สามารถขึ้นมาคงห้องชั้นบนสุดของคฤหาสน์ได้ จะต้องเป็นพนักงานส่งของส่งของ หรือผู้ติดต่อธุรกิจเท่านั้น เท่านั้น ทว่าบุรุษหนุ่มในชุดคล้ายชาวประมงสีเทา สวมรองเท้าฟางที่เดินเข้ามาไม่ใช่พนักงานส่งของ หรือผู้ติดต่อการค้า เป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง เพียงสีหน้าแววตาเศร้าหม่นสุดประมาณ ผู้มาเยือนพอปรากฏตัว บรรยากาศคล้ายหม่นเศร้าทันที ประหนึ่งกำลังอยู่ในงานศพ หรือหัวใจกำลังแหลกสลาย
“กระบี่รันทด เจ้า...” แม่เฒ่าหลุดปากออกมา ไม่คาดว่ามือสังหารที่ว่าจ้าง จะขึ้นมายังพื้นที่ส่วนตัวได้เพราะเคยออกคำสั่งห้ามเด็ดขาด ทุกคนต้องรอคำสั่งอยู่เบื้องล่างเท่านั้น
“ข้าเอง” บุรุษหนุ่มตอบรับ น้ำเสียงฟังแล้วอาจทำให้คนธรรมสามัญถึงกับวิ่งไปกระโดดหน้าต่างตาย ด้วยความตรอมตรมใจ แต่มิใช่แม่เฒ่าเซี่ยงชุนเด็ดขาด ความโศกเศร้าใดนางไม่เคยพานพบ ไม่สยบต่อพลังเศร้าใดในโลกล้วน สายตาของนางกวาดมองขึ้นลง ส่งเสียงเย็นชาถาม
“ผู้บุกรุกเล่า” นางย่อมหมายถึงกระบี่หรรษา
“มันกำลังขึ้นมา”
“เจ้าไฉนไม่สังหารมัน” สีหน้าแววตามารดาเฒ่าเกรี้ยวกราด
“เสียใจด้วย ข้าขอลาออกจากงานกะทันหัน และมาเอาค่าจ้างด้วย ที่ท่านค้างอยู่สองหมื่นอีกต่างหาก”
แม่เฒ่าซวนเซไปด้านหลังสองก้าว หัวใจเต้นแรงแทบระเบิดจากอก นอกจากจะถูกทรยศกลางอากาศ คนอย่างแม่เฒ่าถึงกับติดเงินผู้อื่น จนต้องมีการออกปากทวง ความรู้สึกไม่ผิดกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ
“เจ้าไฉนลาออกกลางคัน แล้วยังมีหน้าด้านทวง เงินที่ข้ายืมอีก หน้ามิอาย คนอะไรกล้าทวงหนี้” แม่เฒ่าแค่นเสียงถาม กำหมัดแน่น สายตาวาวโรจน์ นางนึกเหตุผลไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าทำไมแค่ขอยืมเงิน และไม่จ่ายเงินเดือนหกเดือนเท่านั้น ยังจะมีคนกล้าลาออก ผู้คนยุคนี้นับว่าไร้น้ำใจ
“ท่านผ่านหน่วยพิทักษ์เซี่ยงชุน ขึ้นมาได้อย่างไร” แววตาของนางเริ่มทอประกายอำมหิตขึ้นมาทีละน้อย สายตาของผู้มาเยือนยิ่งหดหู่ลงอีก เพียงน้ำเสียงที่ตอบกลับเป็นสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง
“ไม่มีกองกำลังใดของท่าน ไม่มีแม้แต่คนเดียว”
แก้วตาของแม่เฒ่าหดวูบลงทันที ร่างกายไหวสั่นเล็กน้อย ท่วงท่าคล้ายลุกหนังปล่อยลม แม้จะสะกดความพลุ่งพล่านดาลเดือดปานใดก็ตาม ไม่เข้าใจว่า กองกำลังที่นางดูแลเป็นอย่างดี กลับสะบัดก้นหนีออกจากเกาะไปได้
“พวกมันไปที่ใด”
“พวกมันไม่ได้รับเงินเดือนค่าจ้าง พากันหนีไปหมดสิ้นแล้ว”
คนกล่าววาจาตอบ กลับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เดินออกมาจากประตูด้านข้าง กระบี่รันทดมองปราดเดียวก็รู้ว่า เป็นกรุณีอาภรณ์เบายางที่เจอกันบริเวณชายหาดนั่นเอง เพียงแต่เวลานี้นางอยู่ในชุดรัดกุมมิดชิดอย่างยิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดนอนเบาบางเป็นปีกจักจั่น ไม่มีให้ชมอีกต่อไป
.
.