สวัสดีครับผม วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์การไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ที่จะมาแชร์ก็เพราะว่าตอนที่ไปนั้นผมอายุ
40 พอดี ที่หลายคนในวัยใกล้เคียงกับผมก็คงมีความกังวลอยู่ไม่มากก็น้อยถ้าจะต้องไปเรียนตอนที่อายุขึ้นเลขสี่แบบนี้ ก่อนตัดสินใจไปเรียนผมก็ลองหากระทู้อ่านประสบการณ์ต่าง ๆจากเพื่อนในพันทิพธ์ ที่กำลังลังเลหรือตัดสินใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศและมาตั้งกระทู้สอบถามจากคนที่มีประสบการณ์อยู่บ้างพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการไปเรียนภาษา หรือ ไปเรียนต่อระดับปริญญา วันนี้ผมได้ไปเรียนและจบกลับมาเรียบร้อยแล้วเลยอยากจะมีแชร์เรื่องต่าง ๆ (เท่าที่จำได้) เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจ .... ตามมาครับวันนี้ผมจะเล่าให้ฟัง
ผมไปเรียนช่วงต้นปี 2018 และกลับมาช่วงปลายปี 2019 รวมๆเวลาประมาณ 1 ปี 6 เดือน ในความเป็นจริงตั้งใจจะเขียนรีวิวหลังจากกลับมาใหม่ๆ แต่ทำนั่นทำนี่ผลัดวันกันไปยาวๆ เลยยังไม่ได้เขียนสักที ช่วงนี้คิดว่าโอกาสกำลังเหมาะที่สถานการณ์ทั่วโลกน่าจะเริ่มดีขึ้นจากการมีวัคซีนและปรับตัวในการใช้ชีวิตจากผลกระทบของ Covid-19 เผื่อว่าใครหลายๆคน (โดยเฉพาะคนในวัยเดียวกับผม) จะหาช่วง Gap year พักผ่อน หรือได้ทำอะไรใหม่ๆ ที่เคยคิดเอาไว้แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ อาจจะด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับคนที่สนใจ เรื่องการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ยังติดที่ว่าอายุ40 แล้วจะไหวมั้ย จะเรียนสู้เด็กๆได้หรือเปล่า .... ผมกำลังจะบอกว่า ...
Keep pushing the limit, don’t settle in 40 years old!
สำหรับกระทู้นี้จะเป็น การรีวิวให้เห็นภาพรวมๆ อาจจะมีลงรายละเอียดบ้างบางส่วนเท่าที่พอจะจำได้ มหาวิทยาลัยที่ผมไปเรียนคือ University of Leeds, UK ( UOL) หากว่าใครที่ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถจับประเด็นและkeyword ค้นหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติม หรือถ้าใครจะช่วยเสริมหรือแก้ไขให้ถูกต้องยังไงสามารถแชร์กันในคอมเมนท์ได้เลยนะครับ บางอย่างผมก็หลงๆลืมๆ ตามวัยไปบ้าง5555 ทั้งนี้ในแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีข้อกำหนดหรือขั้นตอนที่แตกต่างกันบ้างนะครับ สำหรับรีวิวนี้ผมจะแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้
Part:1 - Background - สั้นๆครับ หรือจะข้ามไปก็ได้นะครับ 555555555
Part:2 - ช่วงเตรียมตัว - ช่วงที่หาข้อมูลมหาวิทยาลัย เตรียมสอบ IELTs การยื่นมหาวิทยาลัยและการยื่นขอวีซ่า
Part:3 - ชีวิตนักเรียน - ส่วนนี้จะเล่ารวมๆกัน ทั้งเรื่องบรรยากาศในการเรียนการสอน บรรยากาศในห้องเรียน ระบบของมหาวิทยาลัย การใช้ชีวิตทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ส่วนนี้ผมแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 4 ช่วงย่อย คือ
3.1 ช่วงเรียน Pre-sessional
3.2 ช่วงเข้าเรียนระดับปริญญา
3.3 ช่วงทำ Dissertation
3.4 ช่วงก่อนบินกลับ
เริ่มกันเลยครับ
Part: 1 - Background - ผมเป็นคนเรียนระดับกลางๆ ไม่ได้เก่งโดดเด่นอะไร ระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษ เอาเข้าจริงผมใช้ความรู้พื้นฐานจากที่เป็นเด็กตั้งใจเรียนด้านภาษาอังกฤษเฉพาะตอน ม.ต้น เกือบทั้งหมด (ยังถือว่าพอจะต่อยอดอะไรได้บ้าง) ที่บอกแบบนั้นเพราะ ระดับ ม.ปลาย - ป.ตรี เรียกว่าไม่ได้สนใจเรียนภาษาอังกฤษเลยครับ ช่วงตอนอายุ30 เรียน ป.โทใบแรกที่ไทย และใช้ระยะเวลาเรียน 4 ปี จบตอนอายุ 34 เรียนนานหน่อย ฮ่าๆ ระดับภาษาเรียกว่า TU get ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์หน่ะครับต้องลงเก็บวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มครับ ดังนั้นการไปเรียนที่อังกฤษนี้จึงถือว่าเป็น ป.โท ใบที่สองของผมครับ ดังนั้นหากกำลังกังวลเรื่องภาษา ถ้าผมเรียนได้ เพื่อนๆหรือคนที่ตั้งใจจะไปเรียนจริงจังแล้ว ยังไงก็เรียนได้ครับ!

Part: 2 - ช่วงเตรียมตัว - หลังจากที่ลงตัวและตัดสินใจจะไปเรียนต่อแล้ว ต้องเตรียมตัวอย่างไร? (ระดับ ป.โท และ Pre-sessional course) อย่างแรกเลยต้องเข้าใจ คือรอบปีการศึกษาของที่โน้นก่อนนะครับ ปกติแล้วที่นั้นจะแบ่งเป็น
1.1 ระดับ ป.โท (โดยทั่วไป) ใช้ระยะเวลาเรียน 1 ปี โดยเริ่มปีการศึกษาในเดือนกันยายน และจบการศึกษาในเดือนกันยายน ของปีถัดไป
1.2 Pre-sessional ปกติจะมีระยะเวลารวม 10 สัปดาห์ เริ่มประมาณเดือน กรกฎาคม ถึง ต้นเดือนกันยายน (จะได้ต่อเนื่องสำหรับเข้าเรียนในระดับป. โทช่วงกลางเดือนกันยายน)
พอรู้รอบปีการศึกษา ของมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษแล้ว จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลของแต่ละมหาวิทยาลัยเรื่องคอร์สและหลักสูตรที่สนใจ จะได้ทราบถึง requirement ของแต่ละหลักสูตรของมหาวิทยาลัย เผื่อจะใช้เปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจครับ ขั้นตอนนี้ผมแนะนำให้ปรึกษาเอเจนซี่ ที่เค้าให้บริการและอำนวยความสะดวกก็ได้นะครับ มีให้เราเลือกใช้บริการเยอะมากครับ (ปกติทางเอเจนซี่จะไม่เก็บค่าใช้จ่ายอะไรกับเราเลยแม้แต่บาทเดียวนะครับ) โดยผมจะหาข้อมูลเรื่องคอร์สเรียนและหลักสูตรที่สนใจรวมถึงมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง และเลือกไว้ในใจ 2-3 ที่ จากนั้นก็จะสอบถามเพิ่มเติมจาก เอเจนซี่เผื่อจะมีที่อื่น ๆ ที่เราตกหล่นและน่าสนใจเพิ่มเติมครับ หลักๆแล้วผมจะให้ทางเอเจนซี่ช่วยเหลือในเรื่องการเตรียมเอกสาร การยื่นใบสมัครต่าง ๆ ทั้งคอร์สภาษาและป.โท รวมถึงเตรียมเอกสารสำหรับการขอวีซ่าด้วยครับ (เจ้าหน้าที่ช่วยได้เยอะมากๆครับ) เพื่อให้เห็นภาพ ผมจะจำลองเป็นไทม์ไลน์ ณ ตอนนั้น เผื่อว่าจะเป็นโมเดลให้กับคนที่กำลังเตรียมตัวครับ เรามานั่ง Time Machine ไปกันครับ
ย้อนเวลาไปเมื่อปี
2560 (2017)
กรกฎาคม
· ตั้งต้นที่จะไปเรียนต่อ โดยเริ่มหาข้อมูลมหาวิทยาลัยทั้งหลักสูตร ป.โท และคอร์สเรียนภาษา และเริ่มเข้าใจรอบของการศึกษาที่อังกฤษ ที่เริ่มต้นเดือนกันยายน ดังนั้นปีนี้ (2560) ไม่ทันแน่นอน 5555
สิงหาคม
· เลือกมหาวิทยาลัยไว้ในใจได้แล้ว ตอนนั้นมีอยู่ 2 ที่คือ U of Leeds และ U of Nottingham เป็นสาขาที่เกี่ยวกับ Marketing ต้องการ IELTs 6.5
· เริ่มคุยกับทาง เอเจนซี่ ในเรื่องการเตรียมเอกสารต่างๆ สำหรับยื่นมหาวิทยาลัย สำหรับปีการศึกษาหน้า 2561 (2018)
กันยายน
· ติดต่อหัวหน้างาน และอาจารย์ที่รู้จักกันสมัยเรียน ป.โทใบแรก ให้ช่วยเขียน Reference ให้
· เขียน SOP (Statement of Purpose) คนรอบตัวเดือดร้อนกันหมดครับ ผมขอความช่วยเหลือกันหนักมาก 555555
· ถ้ามีเอกสารอะไรที่เป็นภาษาไทย แปลเป็นภาษาอังกฤษและให้สถานกงสุลที่แจ้งวัฒนะฯ ลงตราประทับให้เรียบร้อยนะครับ (ปกติทางร้านแปลจะดำเนินการให้เสร็จสรรพครับ)
ตุลาคม
· ยังคงรวบรวมเอกสารเตรียมยื่นมหาวิทยาลัย ช่วงเดือน พฤศจิกายน
· ระหว่างนี้ก็นั่งหาข้อมูลเรื่องการสอบ IELTS และลงวันที่จะสอบเตรียมไว้เลยครับ ตารางแน่นเหมือนกัน ผมสอบของ British Council และแน่นอนผมหาที่ติวต่างๆ เตรียมเผื่อไว้เลย 55555555
พฤศจิกายน
· ยื่นเอกสารกับทางมหาวิทยาลัย เราสามารถยื่นสมัคร พร้อมกับเอกสารต่างๆ กับทางมหาวิทยาลัยได้ก่อนเลยนะครับ ไม่ต้องรอผล IELTS จะได้รู้ว่าเค้ารับ หรือไม่รับเรา ถ้าเขารับเราเข้าเรียน ก็จะได้ offer เป็นแบบ Conditional Offer แบบมีเงื่อนไขที่ต้องยื่นผลการสอบทางภาษาไปอีกรอบ (ก่อนที่จะทำ วีซ่า)
· สอบ IELTS การสอบไอเอล จะมีด้วยกัน 2 แบบคือ แบบ
IELTS Academic ที่สามารถใช้ยื่นขอวีซ่าได้เลย หากผลได้ผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด และเป็นแบบ Unconditional Offer คือไม่ต้องเรียน Pre-sessional English, Foundation Course หรือ Pre-Master ก่อน ค่าสอบน่าจะอยู่ราวๆ หกพันกว่าบาทนะครับ ถ้าจำไม่ผิด ลองเช็คอีกทีครับ
IELTS for UKVI สำหรับคนที่ได้เป็นแบบ Conditional offer ที่ต้องเรียน Pre-sessional ค่าสอบจะอยุ่ประมาณ แปดพันกว่าบาท
IELTS for UKVI มีความยืดหยุ่นกว่า คือว่าถ้าเราสอบผ่านเกณฑ์มหาวิทยาลัย อันนี้ไม่มีปัญหาจะสอบแบบไหนก็ได้ (ใครจะรู้ว่าจะผ่านไม่ผ่าน ต้องรอผลตั้ง3 อาทิตย์ ฮ่าๆ) แต่ถ้าเราไม่ผ่านเกณฑ์ สมมติมหาวิทยาลัยต้องการ 6.5 เราสอบได้ 6 ต้องเรียน Pre ถ้าเราสอบ ILETS แบบทั่วไป เราต้องสอบใหม่ แต่ถ้าเป็นแบบ ILETS for UKVI อยู่แล้วก็สามารถยื่นลงเรียน Pre และขอวีซ่าได้เลยครับ
จากหลักสี่ถึงอังกฤษ - แชร์ประสบการณ์ ไปเรียนภาษาและต่อป.โท ที่อังกฤษในวัย40 (อายุสี่สิบปีถ้วน!)
ผมไปเรียนช่วงต้นปี 2018 และกลับมาช่วงปลายปี 2019 รวมๆเวลาประมาณ 1 ปี 6 เดือน ในความเป็นจริงตั้งใจจะเขียนรีวิวหลังจากกลับมาใหม่ๆ แต่ทำนั่นทำนี่ผลัดวันกันไปยาวๆ เลยยังไม่ได้เขียนสักที ช่วงนี้คิดว่าโอกาสกำลังเหมาะที่สถานการณ์ทั่วโลกน่าจะเริ่มดีขึ้นจากการมีวัคซีนและปรับตัวในการใช้ชีวิตจากผลกระทบของ Covid-19 เผื่อว่าใครหลายๆคน (โดยเฉพาะคนในวัยเดียวกับผม) จะหาช่วง Gap year พักผ่อน หรือได้ทำอะไรใหม่ๆ ที่เคยคิดเอาไว้แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ อาจจะด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับคนที่สนใจ เรื่องการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ยังติดที่ว่าอายุ40 แล้วจะไหวมั้ย จะเรียนสู้เด็กๆได้หรือเปล่า .... ผมกำลังจะบอกว่า ... Keep pushing the limit, don’t settle in 40 years old!
สำหรับกระทู้นี้จะเป็น การรีวิวให้เห็นภาพรวมๆ อาจจะมีลงรายละเอียดบ้างบางส่วนเท่าที่พอจะจำได้ มหาวิทยาลัยที่ผมไปเรียนคือ University of Leeds, UK ( UOL) หากว่าใครที่ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถจับประเด็นและkeyword ค้นหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติม หรือถ้าใครจะช่วยเสริมหรือแก้ไขให้ถูกต้องยังไงสามารถแชร์กันในคอมเมนท์ได้เลยนะครับ บางอย่างผมก็หลงๆลืมๆ ตามวัยไปบ้าง5555 ทั้งนี้ในแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีข้อกำหนดหรือขั้นตอนที่แตกต่างกันบ้างนะครับ สำหรับรีวิวนี้ผมจะแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้
Part:1 - Background - สั้นๆครับ หรือจะข้ามไปก็ได้นะครับ 555555555
Part:2 - ช่วงเตรียมตัว - ช่วงที่หาข้อมูลมหาวิทยาลัย เตรียมสอบ IELTs การยื่นมหาวิทยาลัยและการยื่นขอวีซ่า
Part:3 - ชีวิตนักเรียน - ส่วนนี้จะเล่ารวมๆกัน ทั้งเรื่องบรรยากาศในการเรียนการสอน บรรยากาศในห้องเรียน ระบบของมหาวิทยาลัย การใช้ชีวิตทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ส่วนนี้ผมแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 4 ช่วงย่อย คือ
3.1 ช่วงเรียน Pre-sessional
3.2 ช่วงเข้าเรียนระดับปริญญา
3.3 ช่วงทำ Dissertation
3.4 ช่วงก่อนบินกลับ
เริ่มกันเลยครับ
Part: 1 - Background - ผมเป็นคนเรียนระดับกลางๆ ไม่ได้เก่งโดดเด่นอะไร ระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษ เอาเข้าจริงผมใช้ความรู้พื้นฐานจากที่เป็นเด็กตั้งใจเรียนด้านภาษาอังกฤษเฉพาะตอน ม.ต้น เกือบทั้งหมด (ยังถือว่าพอจะต่อยอดอะไรได้บ้าง) ที่บอกแบบนั้นเพราะ ระดับ ม.ปลาย - ป.ตรี เรียกว่าไม่ได้สนใจเรียนภาษาอังกฤษเลยครับ ช่วงตอนอายุ30 เรียน ป.โทใบแรกที่ไทย และใช้ระยะเวลาเรียน 4 ปี จบตอนอายุ 34 เรียนนานหน่อย ฮ่าๆ ระดับภาษาเรียกว่า TU get ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์หน่ะครับต้องลงเก็บวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มครับ ดังนั้นการไปเรียนที่อังกฤษนี้จึงถือว่าเป็น ป.โท ใบที่สองของผมครับ ดังนั้นหากกำลังกังวลเรื่องภาษา ถ้าผมเรียนได้ เพื่อนๆหรือคนที่ตั้งใจจะไปเรียนจริงจังแล้ว ยังไงก็เรียนได้ครับ!
Part: 2 - ช่วงเตรียมตัว - หลังจากที่ลงตัวและตัดสินใจจะไปเรียนต่อแล้ว ต้องเตรียมตัวอย่างไร? (ระดับ ป.โท และ Pre-sessional course) อย่างแรกเลยต้องเข้าใจ คือรอบปีการศึกษาของที่โน้นก่อนนะครับ ปกติแล้วที่นั้นจะแบ่งเป็น
1.1 ระดับ ป.โท (โดยทั่วไป) ใช้ระยะเวลาเรียน 1 ปี โดยเริ่มปีการศึกษาในเดือนกันยายน และจบการศึกษาในเดือนกันยายน ของปีถัดไป
1.2 Pre-sessional ปกติจะมีระยะเวลารวม 10 สัปดาห์ เริ่มประมาณเดือน กรกฎาคม ถึง ต้นเดือนกันยายน (จะได้ต่อเนื่องสำหรับเข้าเรียนในระดับป. โทช่วงกลางเดือนกันยายน)
พอรู้รอบปีการศึกษา ของมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษแล้ว จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลของแต่ละมหาวิทยาลัยเรื่องคอร์สและหลักสูตรที่สนใจ จะได้ทราบถึง requirement ของแต่ละหลักสูตรของมหาวิทยาลัย เผื่อจะใช้เปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจครับ ขั้นตอนนี้ผมแนะนำให้ปรึกษาเอเจนซี่ ที่เค้าให้บริการและอำนวยความสะดวกก็ได้นะครับ มีให้เราเลือกใช้บริการเยอะมากครับ (ปกติทางเอเจนซี่จะไม่เก็บค่าใช้จ่ายอะไรกับเราเลยแม้แต่บาทเดียวนะครับ) โดยผมจะหาข้อมูลเรื่องคอร์สเรียนและหลักสูตรที่สนใจรวมถึงมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง และเลือกไว้ในใจ 2-3 ที่ จากนั้นก็จะสอบถามเพิ่มเติมจาก เอเจนซี่เผื่อจะมีที่อื่น ๆ ที่เราตกหล่นและน่าสนใจเพิ่มเติมครับ หลักๆแล้วผมจะให้ทางเอเจนซี่ช่วยเหลือในเรื่องการเตรียมเอกสาร การยื่นใบสมัครต่าง ๆ ทั้งคอร์สภาษาและป.โท รวมถึงเตรียมเอกสารสำหรับการขอวีซ่าด้วยครับ (เจ้าหน้าที่ช่วยได้เยอะมากๆครับ) เพื่อให้เห็นภาพ ผมจะจำลองเป็นไทม์ไลน์ ณ ตอนนั้น เผื่อว่าจะเป็นโมเดลให้กับคนที่กำลังเตรียมตัวครับ เรามานั่ง Time Machine ไปกันครับ
ย้อนเวลาไปเมื่อปี 2560 (2017)
กรกฎาคม
· ตั้งต้นที่จะไปเรียนต่อ โดยเริ่มหาข้อมูลมหาวิทยาลัยทั้งหลักสูตร ป.โท และคอร์สเรียนภาษา และเริ่มเข้าใจรอบของการศึกษาที่อังกฤษ ที่เริ่มต้นเดือนกันยายน ดังนั้นปีนี้ (2560) ไม่ทันแน่นอน 5555
สิงหาคม
· เลือกมหาวิทยาลัยไว้ในใจได้แล้ว ตอนนั้นมีอยู่ 2 ที่คือ U of Leeds และ U of Nottingham เป็นสาขาที่เกี่ยวกับ Marketing ต้องการ IELTs 6.5
· เริ่มคุยกับทาง เอเจนซี่ ในเรื่องการเตรียมเอกสารต่างๆ สำหรับยื่นมหาวิทยาลัย สำหรับปีการศึกษาหน้า 2561 (2018)
กันยายน
· ติดต่อหัวหน้างาน และอาจารย์ที่รู้จักกันสมัยเรียน ป.โทใบแรก ให้ช่วยเขียน Reference ให้
· เขียน SOP (Statement of Purpose) คนรอบตัวเดือดร้อนกันหมดครับ ผมขอความช่วยเหลือกันหนักมาก 555555
· ถ้ามีเอกสารอะไรที่เป็นภาษาไทย แปลเป็นภาษาอังกฤษและให้สถานกงสุลที่แจ้งวัฒนะฯ ลงตราประทับให้เรียบร้อยนะครับ (ปกติทางร้านแปลจะดำเนินการให้เสร็จสรรพครับ)
ตุลาคม
· ยังคงรวบรวมเอกสารเตรียมยื่นมหาวิทยาลัย ช่วงเดือน พฤศจิกายน
· ระหว่างนี้ก็นั่งหาข้อมูลเรื่องการสอบ IELTS และลงวันที่จะสอบเตรียมไว้เลยครับ ตารางแน่นเหมือนกัน ผมสอบของ British Council และแน่นอนผมหาที่ติวต่างๆ เตรียมเผื่อไว้เลย 55555555
พฤศจิกายน
· ยื่นเอกสารกับทางมหาวิทยาลัย เราสามารถยื่นสมัคร พร้อมกับเอกสารต่างๆ กับทางมหาวิทยาลัยได้ก่อนเลยนะครับ ไม่ต้องรอผล IELTS จะได้รู้ว่าเค้ารับ หรือไม่รับเรา ถ้าเขารับเราเข้าเรียน ก็จะได้ offer เป็นแบบ Conditional Offer แบบมีเงื่อนไขที่ต้องยื่นผลการสอบทางภาษาไปอีกรอบ (ก่อนที่จะทำ วีซ่า)
· สอบ IELTS การสอบไอเอล จะมีด้วยกัน 2 แบบคือ แบบ
IELTS Academic ที่สามารถใช้ยื่นขอวีซ่าได้เลย หากผลได้ผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด และเป็นแบบ Unconditional Offer คือไม่ต้องเรียน Pre-sessional English, Foundation Course หรือ Pre-Master ก่อน ค่าสอบน่าจะอยู่ราวๆ หกพันกว่าบาทนะครับ ถ้าจำไม่ผิด ลองเช็คอีกทีครับ
IELTS for UKVI สำหรับคนที่ได้เป็นแบบ Conditional offer ที่ต้องเรียน Pre-sessional ค่าสอบจะอยุ่ประมาณ แปดพันกว่าบาท
IELTS for UKVI มีความยืดหยุ่นกว่า คือว่าถ้าเราสอบผ่านเกณฑ์มหาวิทยาลัย อันนี้ไม่มีปัญหาจะสอบแบบไหนก็ได้ (ใครจะรู้ว่าจะผ่านไม่ผ่าน ต้องรอผลตั้ง3 อาทิตย์ ฮ่าๆ) แต่ถ้าเราไม่ผ่านเกณฑ์ สมมติมหาวิทยาลัยต้องการ 6.5 เราสอบได้ 6 ต้องเรียน Pre ถ้าเราสอบ ILETS แบบทั่วไป เราต้องสอบใหม่ แต่ถ้าเป็นแบบ ILETS for UKVI อยู่แล้วก็สามารถยื่นลงเรียน Pre และขอวีซ่าได้เลยครับ