จินหลินหรือกิมหลินคือเวียงสระโบราณ(พันพาน)

รัฐ“จินหลิน”ตามบันทึกจีนราวพุทธศตวรรษที่ 8ระบุว่าอยู่ห่างจากฟูนันไปทางทิศตะวันตก2,000 ลี้ (ราว1,000 กม.) มีทะเลชางไฮ (ทะเลอ่าวไทย) คั่นอยู่   ทางทิศเหนือของรัฐจินหลินคือรัฐ“บูหลุน” อยู่ห่างจากฟูนันไปทางทิศตะวันตก 2,000 ลี้ เช่นเดียวกัน  “รัฐจินหลินมีแร่เงิน  พลเมืองมาก  และชอบจับช้าง  เมื่อจับได้เป็นๆก็ใช้เป็นพาหนะ  ครั้นช้างตายก็ถอดเอางารัฐจินหลินนี้ตั้งอยู่บนอ่าวใหญ่ ”

 จากหนังสือ “พนม  ไศเลนทร”, ธรรมทาส  พานิช ในหน้า129-130  หัวข้อ “กรุงพนมและกรุงพันพานในประวัติศาสตร์” มีความว่า
“หนังสือประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกเล่มเริ่มประวัติศาสตร์ด้วยเรื่องของเจ้าชายที่จีนจด พระนามว่าฮุนเตียน (Hun-tien) 
รัชกาลที่ 1 (ราว พ.ศ.600-655)  ฮุนเตียนมาได้พระนางหลิวเหย่เป็นมเหสีได้ครองกรุงพนม (ฟูนัน)
รัชกาลที่ 2 (ราวพ.ศ.700)  ขุนพันวัง (Hun Pan Huang)  โอรสขึ้นครองราชย์ได้ครองกรุงพนม  
ทรงมีพระชนมายุยืนถึง  90 พรรษาจึงสวรรคต ได้ส่งโอรสคือขุนพันพาน(Pan  Pan)ไปครองนครพันพานที่เวียงสระ  เป็นเมืองอุปราช 
รัชกาลที่ 3 (ราวพ.ศ.750-763)  ขุนพันพานเป็นอุปราชครองเมืองพันพาน  เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคต ได้ถือเอากรุงพันพานเป็นนครหลวง กรุงพนมกลายเป็นนครลูกหลวง  ได้ตั้งให้ขุนพลฟันมันครองกรุงพนม  ในปีที่สามพระเจ้ากรุงพันพานเสด็จไปกรุงพนม  ขุนพลฟันมันปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ได้....”
ข้อความข้างบนนี้  อ. ธรรมทาส  พานิชได้ระบุว่าขุนพันพานครองราชย์อยู่ที่นครพันพานคือที่เวียงสระ แต่ข้อความในพงศาวดารเหลียง (Liang  Shu) นั้น  มิได้ระบุว่าขุนพันพานครองราชย์อยู่ที่เมืองพันพาน  แต่ระบุว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ของฟูนัน ดังนั้นบันทึกในพงศาวดารเหลียงจึงมีข้อความแตกต่างออกไปโดยกล่าวว่า
  ลูกหลานของพระเจ้าฮุนเตียนคือพระเจ้าฮุนพันฮวง (ขุนพันวัง) ได้ครองราชย์ต่อมา   
ต่อจากนั้นก็ถึงสมัยโอรสของพระองค์คือ พันพัน ได้เสด็จขึ้นเป็นกษัตริย์  แต่ได้มอบอำนาจสิทธิขาด
ให้แก่ขุนพลนามว่า ฟันมัน (Fan-man) หรือ ฟันจีมัน (Fan-shi-man)  เมื่อ พันพัน ครองราชย์ได้ 3 
ปี  ก็สิ้นพระชนม์  ชาวเมืองฟูนันจึงเลือกฟันมันขึ้นเป็นกษัตริย์ (ราวพ.ศ.763-771) ฟันมันเป็นผู้แกล้ว
กล้าสามารถ  ได้ยกกองทัพไปปราบแว่นแคว้นใกล้เคียงอีกครั้งหนึ่ง  และทุกแคว้นก็ยอมเป็นเมืองขึ้น  
จึงเฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์ขึ้นเป็นพระมหาราชเจ้ากรุงฟูนัน (The Great King of Fu-nan)  
แล้วโปรดให้ต่อเรือขนาดใหญ่ยกข้ามทะเลชางไฮ (ทะเลอ่าวไทย)  ไปปราบปรามบ้านเมืองได้กว่า 10แว่นแคว้น  ปรากฏชื่อว่า  ชูตูคุน (Chu-tu-kun, หรือตูคุน คือเมืองตักโกลา)  ชิวชี หรือชูหลี (Chiu-chih or  Chu-li  คือเมืองเคดาห์)  และเตี๋ยนซุน(Tien-sun, คือเมืองยะรังในปัตตานี) เป็นต้น  
พระองค์แผ่อาณาเขตออกไปได้ห้าหรือหกพันลี้        (1 ลี้=576 เมตร)  แล้วใคร่จะปราบปรามแว่นแคว้น 
“จินหลิน” แต่ฟันมันประชวรลงเสียก่อน  จึงโปรดให้ราชโอรสผู้เป็นรัชทายาททรงพระนามว่า‘กิมแซ’ เสด็จไปแทน…”
  ตามประวัติระบุว่า  ฟันมันทรงสิ้นพระชนม์ในขณะที่ยกกองทัพไปโจมตีรัฐจินหลิน(ศรีวิชัยที่ไชยา, มจ.จันทร์จิรายุ  รัชนี :17)  นับว่ามีชื่อรัฐจินหลินปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรก  ซึ่งในสมัยต่อมา  เราไม่ทราบว่ารัฐจินหลินก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฟูนันหรือไม่และคำว่าจินหลินก็หมดชื่อไปในรัชกาลพระเจ้าฟันจัน (ราวพ.ศ.773-786) หลานของพระเจ้าฟันจีมัน  รัฐฟูนันก็รุ่งเรืองเป็นอาณาจักรมหาอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยศรีวิชัย”,ธรรมทาส  พานิช ในหน้า 30  มีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณที่ อ.เวียงสระ  ใน จ. สุราษฎร์ธานี  ดังนี้
“ ที่อ.เวียงสระ บนฝั่งแม่น้ำตาปี  และที่บ้านพุนพิน อ. พุนพินใกล้ปากแม่น้ำตาปีใน จ.สุราษฎร์ธานี  นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของรัฐพันพาน  เพราะทางปลายของแม่น้ำตาปีมีการคมนาคมทางน้ำติดต่อกับอ.อ่าวลึกในจ.กระบี่ทางฝั่งมหาสมุทรอินเดียได้สะดวกเป็นทางที่ชาวอินเดียโบราณเคยใช้มานาน  และในที่ทั้งสองแห่งนี้มีโบราณวัตถุทั้งของศาสนาพราหมณ์   และของพุทธศาสนาสมัยพ.ศ.1000-1200  ปากแม่น้ำตาปีตอนออกทะเลช่องหนึ่งยังมีชื่อ“ปากพานคูหา” อยู่จนทุกวันนี้  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งยืนยันว่า  ประเทศพันพานเดิมอยู่ต้นแม่น้ำตาปี 
 แล้วย้ายออกมาตั้งใกล้ปากน้ำคือที่บ้านพุนพินใกล้เขาศรีวิชัย”     
  นักประวัติศาสตร์ของไทยเราส่วนใหญ่เข้าใจว่า  รัฐจินหลินตามจดหมายเหตุจีนก็คือรัฐ“สุวรรณภูมิ” หรือดินแดนทองตามบันทึกจากคัมภีร์ชาดกของอินเดีย และตรงกับไครเส (Chryse)หรือดินแดนทองตามบันทึกของชาวกรีกและโรมันตั้งแต่ครั้งโบราณ  นับว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  ตัวอย่างเช่น  คำว่ากิมหลิน (จินหลิน)ในหนังสือ “เมืองทองหรือสุวรรณภูมิ” โดยขุนศิริวัฒนอาณาทร  อธิบายว่า  “ กิมหลินคือสุวรรณภูมิและสรุปว่านครกิมหลินอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเพราะในสมัยต่อมามีการตั้งนครทวารวดีขึ้นที่นี่”
  คำว่าจินหลิน (Chin-lin) ตามบันทึกจีน  แปลว่า พรมแดนทอง หรือเขตแดนทอง (Frontier of  Gold)   มิได้แปลว่า ดินแดนทอง แต่อย่างใด ชาวจีนใช้คำนี้ถูกต้องแล้ว   คำว่า“สุวรรณภูมิ”หรือ
“ดินแดนทอง” เป็นการเรียกของชาวอินเดียตั้งแต่ก่อนพุทธกาล  เนื่องมาจากมีการค้นพบทองคำซึ่งศูนย์กลางอยู่บริเวณจังหวัดนราธิวาส  และจังหวัดปัตตานี - อำเภอสายบุรี (ตะลุบัน) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำ   ไปจนจดรัฐปาหังในมาเลเซีย  ชาวอินเดียสมัยก่อนพุทธกาลจึงเรียกดินแดนบริเวณคาบสมุทรมลายูโดยรวมว่าสุวรรณภูมิ   ดังนั้นคำว่าจินหลินซึ่งแปลว่าเขตแดนทอง   หรืออีกนัยหนึ่งแปลว่าขอบเขตของดินแดนทองนั้นเอง  จีนจึงใช้คำนี้ได้ถูกต้องแล้ว 
ศาสตราจารย์พอล  วีทลีย์ (Paul  Wheatley)  ลงความเห็นว่า  “รัฐที่จีนในจดหมายเหตุราชวงศ์เหลียงเรียกว่า “จินหลิน” ซึ่งเป็นรัฐสุดท้ายที่พระเจ้าฟันมันกษัตริย์แห่งฟูนันปราบได้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 (ราวพุทธศตวรรษที่ 8) นั้น  คงตั้งอยู่ที่เมืองอู่ทอง  เนื่องจากคำว่า “จินหลิน” หมายถึงดินแดนแห่งทองหรือสุวรรณภูมิ  และตั้งอยู่ห่างจากฟูนันมาทางทิศตะวันตกประมาณ  2,000 ลี้ (1,000 กม.) ซึ่งตรงกับบริเวณเมืองอู่ทอง”  จีนระบุว่ารัฐนี้นิยมคล้องช้างป่าและเป็นแหล่งแร่เงินแต่ ศ.พอล  วีทลีย์กล่าวว่าน่าจะนำแร่เงินมาจากรัฐฉานในประเทศพม่า
มากกว่า  เพราะบริเวณโดยรอบปากแม่น้ำเจ้าพระยานี้ไม่มีแร่เงินซึ่งคงเป็นสินค้าที่นำล่องมาขายจากรัฐฉาน  และผ่านดินแดนล้านนาลงมาสู่เมืองท่าในอ่าวสยาม  อันเป็นสินค้าที่มีมาแต่โบราณและเคยเป็นเส้นทางการค้ามาแต่เดิมด้วย???                                           เมื่อ ศ.พอล วีทลีย์ลงความเห็นดังนี้แล้ว  นักศึกษาของเราก็เรียนรู้ประวัติศาสตร์กันว่าบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาคือรัฐสุวรรณภูมิ   มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอู่ทองใน จ.สุพรรณบุรี   ซึ่งเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริงอย่างมาก  โดยเฉพาะเรื่องของ “แร่เงิน” ซึ่งบันทึกของจีนระบุว่า “เป็นสินแร่ที่มีอยู่ในรัฐจินหลิน”
 รัฐจินหลินนี้ไม่ควรเป็นดินแดนในลุ่มแม่น้ำ เจ้าพระยา  เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามบันทึกในจดหมายเหตุจีน  เพราะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีเทือกเขาและป่าไม้  จึงไม่ใช่แหล่งแร่เงินและเป็นถิ่นของช้างป่า  พลเมืองก็เบาบาง   ชาวจินหลินจับช้างมาเลี้ยงไว้เป็นพาหนะ  แสดงว่าต้องเป็นบริเวณที่มีป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์  และมีเทือกเขาเป็นแหล่งแร่เงินตามธรรมชาติ  จะเป็นบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาไม่ได้  เพราะลุ่มน้ำเจ้าพระยาไม่มีเทือกเขาใหญ่หรือป่าไม้  แต่เป็นบริเวณลุ่มน้ำหนองบึง  ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภูมิประเทศของรัฐจินหลิน อีกทั้งบริเวณปากอ่าวไทยก็มีแต่ป่าชายเลน  จึงไม่ใช่อ่าวใหญ่ของรัฐจินหลิน(The great  bay of Chin-lin) ที่จะนำเรือเข้าไปจอดได้  อ่าวใหญ่ที่บันทึกจีนกล่าวถึงควรเป็นบริเวณ“อ่าวบ้านดอน” ปากแม่น้ำตาปี จ.สุราษฎร์ธานี  นอกจากนั้นบันทึกจีนระบุถึงรัฐ “บูหลุน” ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือถัดจากรัฐจินหลินขึ้นไป ดังนั้นลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจึงควรเป็นรัฐบูหลุน
  ทีนี้เราลองมาดูบันทึกของ “โซซู” (Tso-ssu) ซึ่งกล่าวในรายละเอียดของแหล่งแร่เงินและ
ช้างในรัฐจินหลิน  บันทึกของโซซูชื่อ ซัน - ตู- ฟูในราวคริสต์ศตวรรษที่ 3 นั้นเป็นจดหมายเหตุรุ่นแรก
ของจีน  ซึ่งคัดลอกมาจากบันทึกของคังไถ  ซึ่งจากบันทึกของคังไถนี้มีผู้คัดลอกไปไว้ในพงศาวดาร
เหลียง  บันทึกของโซซูมีรายละเอียดตรงตามบันทึกของคังไถ  โดยมีข้อความสำคัญดังนี้
  “อาณาจักรจินหลินอยู่ห่างจากอาณาจักรฟูนันคนละฝั่ง ประมาณ 2,000 ลี้  ภูมิประเทศเป็นแหล่งแร่เงินที่เป็นทรัพยากรสำคัญ  เป็นประเทศที่มีประชาชนพลเมืองดีเป็นมิตร ชาวเมืองมีอาชีพคล้องจับช้างที่มีเป็นจำนวนมาก  ซึ่งถือเป็นอาชีพหลักเพื่อนำมาใช้งานเองและขาย  เมื่อเวลาช้างตายลงเขาก็จะถอดเอางาไปใช้ประโยชน์”
   จะเห็นว่า ศ.พอล วีทลีย์ไม่ได้อ่านบันทึกของโซซูเกี่ยวกับแหล่งแร่เงิน  และไม่ได้อ่านจดหมายเหตุจีนเกี่ยวกับรัฐบูหลุน  ดังนั้นจึงตีความคำว่าจินหลินตามทัศนะของตนเองโดยอ้างเรื่องแร่เงินจากรัฐฉาน ซึ่งไม่มีเค้าของความเป็นจริงไปได้เลย
   ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่แสดงให้เห็นนี้รัฐจินหลินตามจดหมายเหตุจีน  และตามหลักฐานทางโบราณคดีควรตั้งอยู่ที่บริเวณเมืองเวียงสระโบราณหรือเวียงสระเก่าใน จ. สุราษฎร์ธานี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่