วันนี้(19 พ.ค. 64) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 พ.ค.)
หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงอย่างหนักของหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะหุ้น AT&T ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,060.66 จุด ลดลง 267.13 จุด หรือ -0.78%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,127.83 จุด ลดลง 35.46 จุด หรือ -0.85%
และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,303.64 จุด ลดลง 75.41 จุด หรือ -0.56%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลง หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านดิ่งลง 9.5% ในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 1.569 ล้านยูนิต
และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.710 ล้านยูนิต โดยได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาไม้ และวัสดุอื่นๆในการสร้างบ้าน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยหุ้น AT&T ดิ่งลง 5.8%
ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนี S&P500 หลังจาก AT&T ประกาศแผนปรับลดการจ่ายเงินปันผล
อันเนื่องมาจาก การที่บริษัททำข้อตกลงควบรวมกิจการของ WarnerMedia เข้ากับ Discovery
เพื่อแข่งขันกับบริษัทเน็ตฟลิกซ์ และดิสนีย์ อิงค์ ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาด
ก่อนหน้านี้ AT&T ได้ซื้อกิจการของ Time Warner ในวงเงิน 1.09 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2561
ทำให้ AT&T สามารถครอบครอง CNN, HBO และ Warner Bros ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อ Time Warner เป็น WarnerMedia
ทั้งนี้ การร่วงลงของหุ้น AT&T ได้ฉุดหุ้นบริษัทสื่อสารรายอื่นๆดิ่งลงด้วย
ซึ่งรวมถึงหุ้น T-Mobile ร่วงลง 3.71% และหุ้นเวอไรซอน คอมมูนิเคชันส์ ดิ่งลง 1.31%
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ หลังมีข่าวว่าอิหร่านอาจกลับมาส่งออกน้ำมันอีกครั้ง
เนื่องจากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐมีความคืบหน้า
โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.83%
หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.01%
หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ลดลง 1.73%
หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.06%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงเช่นกัน นำโดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2.17%
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 1.37%
หุ้น 3M ลดลง 1.05%
หุ้นฮันนีเวลล์ ร่วงลง 1.83%
หุ้นโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่สุดของสหรัฐ ร่วงลง 1.02%
หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านร่วงลงในเดือนเม.ย. ซึ่งได้บดบังผลประกอบการที่สดใสของโฮม ดีโปท์
โดยบริษัทมีกำไร 3.86 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.08 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 2.17%
หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ที่ระดับ 1.69 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.21 ดอลลาร์/หุ้น
โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายผ่านระบบออนไลน์ และจากการที่ผู้บริโภคทำการใช้จ่ายมากขึ้น
หลังได้รับเช็คเงินสดจากมาตรการเยียวยาผลกระทบของโรคโควิด-19
หุ้นเมซีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.37% แม้บริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรในไตรมาส 1 ที่ 32 เซนต์/หุ้น
สวนทางกับการขาดทุน 11.53 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นักลงทุนจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำวันที่ 27-28 เม.ย.ซึ่งจะมีการเผยแพร่ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์,
ดัชนีการผลิตเดือนพ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนพ.ค.จากมาร์กิต,
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนพ.ค.จากมาร์กิต และยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย.
[🔎] ดาวโจนส์ร่วงหนักผิดหวังข้อมูลอสังหาฯสหรัฐ-หุ้นสื่อสาร