" ชีวิตกู ก็แบบนี้แหละ " 2

"ตัดสินใจไปทำงานที่เกาหลี"
ขั้นตอนการไปทำงานที่เกาหลีแบบคร่าวๆ

     1. เราต้องรอประกาศรับสมัครงานจากทางเว็บไซต์ กรมจัดหางาน ไปทำงานต่างประเทศ (https://www.doe.go.th/prd/overseas/news/param/site/149/cat/8/sub/0/pull/cat.egory/view/table-list

    2.สมัครสอบ รอประกาศวันสอบ จากนั้นไปสอบวัดระดับภาษาเกาหลี

    3.รอวันประกาศผลสอบ หลังจากสอบผ่าน ก็เตรียมตัวสอบสัมภาษณ์กับคนเกาหลี

    4.สอบสัมภาษณ์ผ่าน รอสัญญาจ้างจากฝั่งเกาหลี (คือนายจ้างจากฝั่งเกาหลีจะไปติดต่อขอแรงงาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ฝั่งเกาหลีก็จะติดต่อและให้ขอมูลของนายจ้างมา )

     5.เมื่อเราได้สัญญาจ้าง ก็คือได้ที่ทำงานแล้ว จากนั้นก็รอวันรายงานตัวและเตรียมบินไปทำงาน

      6.เมื่อได้วันบิน เขาจะนัดมาอบรมที่กรมแรงงานตอนเช้า และบินตอนเย็น 

     7.เมื่อถึงเกาหลี จะต้องตรวจสุขภาพ, ทำประกันซัมซุงคือจ่ายค่าประกันตั๋วเครื่องบินขากลับไทย และ อบรมประมาณ 2 วัน วันที่สามนายจ้างจะมารับ 
       
      "ลาออกจากงาน" หาข้อมูลโรงเรียนสอนภาษาเกาหลี ในกรณีที่ใครมีพื้นฐานภาษาเกาหลีอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียตังเรียนภาษาเกาหลี แค่หาข้อสอบเก่าในเน็ตมาฝึกทำ

      ส่วนแนะนำตัวและสัมภาษณ์ หาดูได้ในยูทูปมาฝึกเอง เราจะได้ไม่ต้องลาออกจากงานให้ขาดรายได้

     ส่านใครที่ไม่มีพื้นฐานภาษาเลย และไม่สามารถเรียนได้ด้วยรนเอง แนะนำให้หาโรงเรียนสอนภาษาเกาหลีใกล้บ้าน
    
      เราตัดสินใจเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ คอร์ส 1 เดือนเรียนจันทร์ - ศุกร์ 09.00 - 17.00 น.

     เขาสอนตัวอักษร คำศัพท์พื้นฐานที่ต้องใช้ในการทำงาน จากนั้นก็ให้ฝึกทำข้อสอบเยอะๆ

     ระหว่างที่เรากำลังเรียนภาษาอยู่ ทางกรมแรงงานก็เปิดรับสมัครสอบพอดี  งานมีอยู่ 3 สายงาน แต่ละงานจะเปิดรับสมัครไม่ตรงกัน ต้องติดตามในเว็บไซต์กรมแรงงาน

1.ก่อสร้าง รับเฉพาะผู้ชาย ได้เงินดี 

2.โรงงานอุตสาหกรรม รับทั้งชายและหญิง ได้เงินดีเพราะมีโอที แต่ส่วนมากจะรับผู้ชายเยอะกว่า

3. เกษตรและปศุสัตว์ ต้องการทั้งชายแหละหญิง งานเกษตรต้องการผู้หญิงจำนวนมาก  งานปศุสัตว์ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ได้เงินน้อยกว่า 2 งาน
ข้างบน

      เพราะเวลาการทำงานสามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ตามผลผลิตและฤดูการ เช่น ในสัญญาบอกว่าทำงาน 07.00-17.00 น. แต่ ฤดูร้อนผักจะโตเร็ว งานจะเยอะ และมืดช้า

      เราอาจได้เลิกงาน ทุ่ม หรือ สองทุ่ม ถ้าเจอนายจ้างใจดีหน่อยก็จะได้ค่าแรงเพิ่ม ถ้าเจอนายจ้างไม่ดีก็ได้ค่าแรงเท่าเดิม นี่คือข้อเสียเปรียบของงานเกษตร
  
     เพราะงานเกษตรสามารถยืดหยุ่นเวลาการทำงานได้ตามฤดูกาล 

     ระยะเวลาทั้งหมด" ตั้งแต่
เรียนภาษา รอสอบ รอสัมภาษณ์
รอประกาศผลต่างๆ ยื่นเอกสาร ตรวจสุขภาพ จนถึงวันที่ได้บินไปเกาหลี

    เราใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ปี เนื่องจากมีคนสมัครจำนวนมาก จึงรอนาน เช่นสมัครสอบรอประมาณ 1-2 เดือน สอบเสร็จรอประมาณ 1-2 เดือน ประกาศผล สอบสัมภาษณ์รอประมาณ 1-2 เดือน ประกาศผล รอสัญญาจ้างประมาณ 2 เดือน  

       ระหว่างรอ  เราก็ไปสมัครงานฝ่ายผลิตที่โรงงานแห่งหนึ่ง วันสัมภาษณ์เราก็บอกเขาไปเลยว่า ตอนนี้เรากำลังรอสัญญาจ้างเพื่อจะไปทำงานที่เกาหลี

       และเราบอกไม่ได้ว่าจะได้ไปตอนไหน อาจจะ 1, 2 หรือ 3 เดือน เราไม่รู้ แต่ถ้าได้สัญญาจ้างเมื่อไหร่ เราจะลาออกทันที และระหว่างที่ทำงาน
เราอาจจะได้ลางานบ่อยเพราะต้องไปยื่นเรื่องเอกสารต่างๆ

       เขาก็บอกโอเค ตกลงรับเราเข้าทำงาน อาจจะด้วยความโชคดี หรือว่าเขากำลังต้องการพนักงานหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่มันทำให้เราได้งาน

      "ความเห็นชาวบ้าน"
-เรียนจบปริญญา จะดั้นด้นไปลำบากทำไม 

-ทำไมไม่ไปทำงานราชการ จะได้มั่นคง มีหน้ามีตาทางสังคม 

-ไปทำงานเกษตร เป็นลูกจ้าง ไม่มีเกียรติ ไม่มีตำแหน่งงาน เสียเวลาเปล่า ตั้งสามปี ถ้าทำงานที่ไทยสามปีได้เลื่อนขั้นแล้ว

-จะไหวหรอ ไม่ไหวหรอก ไม่เคยทำเกษตรเลยนิ

-อยู่ไม่ถึงสามปีหรอก เดี๋ยวก็ร้องให้กลับบ้าน

-ลำบากน่ะ ไหวหรอ ไม่ต้องไปลำบากหรอก ทำงานในห้องแอร์สบายๆ ที่ไทยดีกว่า

-ไปทำงานอะไรหรอ ใช้วุฒิอะไร
สมัครอ่ะ ไปทำตำแหน่งอะไรหรอ

"ทำงานเกษตรค่ะ ทำงานใช้แรงงาน
เนี่ยแหละ ไม่มีตำแหน่ง ไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษา" 

-ไปเป็นขี้ข้าเขาหรอ!!! น่าเสียดาย เรียนจบมาก็สูง

-อย่าไปเลย ไม่ต้องไปหรอก งานไม่มั่นคง เสียเวลาเปล่า

     โชคดีที่เราเป็นคนไม่แคร์ชาวบ้าน ฉันจะไปค่ะ55555

     แต่แม่เราจะเป็นคนที่ค่อนข้างแคร์ชาวบ้าน เขาก็มีพูดบ้างแต่ห้ามไม่ได้ เพราะถ้าให้เราอยู่ไทย เราจะกลับไปทำนา แม่ไม่ให้เราทำนา เขาเลยยอมให้เราไปเกาหลี 

     คือเรามีเหตุผลนะ เราเป็นคนขี้เกียจ ในชีวิตินี้เราไม่คิดจะทำนาด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่คนต่างจังหวัด อาชีพหลักส่วนใหญ่คือการทำนา

    เรามีพี่น้องอยู่สามคน ตอนเรียนประถมพี่ชายเราติดเพื่อนมากกก ตอนประมาณ ป.5 ป.6 นางกลับบ้านเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง ทุกวัน แล้วละเวกบ้านเราก็มีปัญหาเรื่อง เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ในหมู่วัยรุ่นเยอะมาก

       พ่อกับแม่ก็เลยต้นสินใจ ส่งพวกเรามาเรียนมัธยมที่กรุงเทพ โดยมีครอบครัวของน้าเป็นคนดูแล ปิดเทอมทุกๆครั้ง เราก็จะกลับต่างจังหวัด 

      เราไม่เคยทำนา บ้านเราเปิดร้านขายของเล็กๆ ฐานะปานกลาง แต่พ่อเราเป็นคนขยัน เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ พ่อเราตาย ตอนเราอยู่ม.4

     จากนั้นแม่ก็เลี้ยงเดี่ยวมาตลอด ยอมรับว่าแม่เก่งมาก เข้มแข็งมาก โชคดีที่บ้านเราไม่เคยขัดสน อาจจะเพราะแม่เป็นคนประหยัดมากกกกกกก แต่ไม่งกนะ 
 
    *** บ้านเรามีกฏ คือห้ามเป็นหนี้ คือห้ามยืมเงิน ทั้งในระบบ และนอกระบบ จากญาติๆก็ห้ามยืม เลยทำให้ที่บ้านไม่ต้องดิ้นรน เรื่องนี้สิน ***

      สมัยเป็นเด็ก แม่ทำนา ทำไร่มาตลอด แม่ไม่ชอบ มันเหนื่อยและลำบากมาก แม่ก็เลยไม่ยอมให้เรา
ทำนา พอแม่คลอดพี่ชายเรา แม่ก็เปิดร้านขายของชำเล็กๆหน้าบ้าน และเลิกทำนาและปล่อยให้คนเช่า 

      ทุกครั้งที่เรากลับต่างจังหวัด เราจะได้ยิน ผู้คนบ่นเกี่ยวกับการทำนา ตอนเด็กๆก็ไม่ได้อะไรมาก เขาก็แค่บ่นเรื่องเดิมๆ ก็แค่ฟังๆไป ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้ใส่ใจอะไร ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรเลย

     เพราะไม่เคยทำนาไง เลยไม่เข้าใจว่าปัญหาที่เขาเจออยู่จริงๆมันคืออะไรกันแน่

     ประเด็นคือ ทุกคน บ่นเหมือนกันหมดเลย ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันเป็นปัญหาจริงๆหรือเขาแค่บ่นเฉยๆ 

     จนกระทั้งวันหนึ่ง ตอนนั้นเราน่าจะเรียนอยู่ปี 2 มีลุงที่สนิทคนหนึ่งเขามาบ่นเรื่องทำนา  อยู่ๆเราก็มีคำถามเยอะแยะในหัว 

1. ทำไมทำนาถึงมีหนี้มากมาย  จำนองบ้าน จำนองที่ดิน กู้เงินจากธนาคาร 

2. ปัญหาค่าจ้าง ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าหญ้า ยาค่าแมลง ค่าจ้างคนเกี่ยวข้าว ดำนา ค่าจ้างรถไถและพรวณดิน จ้างคนฉีดยา

3. แหล่งขาย ราคาข้าวขึ้นอยู่กับตลาด ปีไหนราคาข้าวสูง ก็โชคดีไป ปีไหนราคาข้าวถูก ขาดทุนไม่มีเงินใช้หนี้ 

4. เป็นงานที่เหนื่อย ทำไมได้ค่าตอบแทนต่ำ ไม่มีความสุขกับการทำงาน 

5.มันเป็นงานที่ต้องทำ  เพราะไม่มีทางเลือก หรือไม่เลือกที่จะทำกันแน่

       ลุงทำนามากี่ปีแล้วค่ะ "จะ 20 ปีแล้วมั้ง" ลุงตอบ
งั้นลุงพึ่งเจอปัญหาหรอค่ะ  "ลุงก็เจอแบบนี้ทุกปีแหละ แต่สมัยนี้ข้าวของมันแพงขึ้น ต้นทุนทำนาก็เลยแพงขึ้น"

      งั้นลุงเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นได้ไหมค่ะ ปลูกผัก ผลไม้ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว   " ไม่ได้หรอก มันแล้ง ไม่มีน้ำเยอะพอจะปลูกหรอก "

      งั้นไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ได้ไหมลุง ลดต้นทุน " โอ้ย ไม่ได้หรอก มันจะทำให้ได้ผลผลิตน้อย ข้าวไม่สวย ขายไม่ได้ราคา "

    งั้นลุงลองหาวิธีแบบใหม่ในการทำนาไหมลุง ไม่ต้องทำแบบเดิมๆแล้ว    "โอ้ย ไม่ได้หรอก วิธีนี้ก็ทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ เขาก็ทำกันแบบนี้แหละ"
               
      มีเรื่องหนึ่งที่ได้ยินแล้ว อึ้งมาก คือทำนาแต่ซื้อข้าวกิน" ได้ยินตอนแรกงงมาก เลยถามไปว่าอ้าวทำไมล่ะ ข้าวไม่พอกินหรอ
     
        คำตอบคือ ไม่กล้ากิน เพราะฉีดยาฆ่าหญ้ากับยาฆ่าแมลงเยอะมาก เลยไม่กล้ากิน เลยเอาไปขายหมด ซื้อกินเอา
  
         เขาบอกว่า ทำนาให้ได้ข้าวเยอะๆ เมล็ดใหญ่สวยๆ ไม่มีเมล็ดหญ้าปน จะได้ราคาดี หลายคนก็เลยพ่นยาฆ่าหญ้า กับยาฆ่าแมลงเยอะมาก จนแม้แต่คนปลูกยังไม่กล้ากิน
                
        ณ วันนั้น คือจุดเริ่มต้น บอกกับตัวเองว่า ฉันจะทำนา เราอยากหาคำตอบ ของคำถาม ที่เราถามในวันนั้น แต่วิธีที่จะทำให้เราเข้าใจปัญหาจริงๆของการทำนา และหาวิธีแก้ไขปัญหาได้จริง

        คือเราต้องเป็นชาวนา  สำหรับบางคน อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมา 7 ปี  เชื่อไหมเราก็ยังมีคำตอบเดิมคือ

       ฉันอยากเป็นชาวนา เวลามีคนถามว่า อนาคตจะทำอะไร เราตอบตลอดเลยว่าเราจะทำนา 

      ถ้าถามว่าชอบการทำนาขนาดนั้นเลยหรอ เราตอบไม่ได้หรอก เพราะเรายังไม่เคยทำ เราไม่รู้ว่า เราชอบมันจริงๆ หรือเราแค่อยากหาคำตอบ

     เราพยายามหาคำตอบจากหนังสือ เว็บไซต์ ยูทูป หรือตามกระทู้ต่างๆ ได้คำตอบหลากหลายมาก แต่ไม่ตรงคำถาม

     เพราะเราอ่านจากประสบการณ์ของคนอื่น มันไม่ใช่ประสบการณ์ ของเราอ่ะ!!!
 
     เราต้องทำยังไง แม่ถึงจะยอมให้ทำนา แม่อยากให้ทำงานเก็บตังค์เยอะๆ อนาคตจะได้สบาย นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราตัดสินใจไปทำงานเกษตรที่เกาหลี จะได้มีเงินเยอะๆ มาให้แม่ เผื่อแม่จะยอมให้ทำนา

>การใช้ชีวิติ ในเกาหลี  ต่อตอนหน้า<
https://pantip.com/topic/42387402?sc=3uUwJ3H
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่