1. การทำเรซูเม่ ควรใช้คำพูดที่ถูกกาลเทศะ เป็นทางการ และควรใช้คำให้ถูกต้อง
หนูไม่ได้คุยแชทส่วนตัวกับเพื่อน กับแฟน กับคนที่แอบรักข้างเดียวนะคะ คำแสลงควรเก็บไว้ใช้กับเพื่อน ไม่ควรพิมพ์ลงไปในเรซูเม่เด็ดขาด
เพราะทางบริษัท หรือ HR อาจจะโยนใบเรซูเม่ของหนูลงถังขยะ
2. เวลามาสัมภาษณ์งาน ควรแต่งตัวเคารพสถานที่ แล้วนี่มาสัมภาษณ์งาน น้องจะแต่งตัวใส่ยีนส์ขาสั้น เสื้อยึด ใส่หมวกแก๊บมาสัมภาษณ์งาน
น้องคิดว่า มันเป็นการแต่งตัวที่เหมาะสมหรือไม่ น้องไม่ได้มาสมัครเพื่อออดิชั่นไปเป็นนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีนะคะ น้องมาสัมภาษณ์งาน เพื่อเข้ามาเป็นพนักงานที่บริษัทที่กำลังเจออยู่ ฉะนั้นต้องรู้จักความเหมาะสมของบทบาทที่กำลังเผชิญ สลัดความเป็นรุกกี้เฟิร์สปี1 ในมหาลัยออกไปซะ เพราะหนูกำลังเริ่มต้นการเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กแล้ว
3. ทัศนคติ เป็นเรื่องสำคัญมาก ในการที่บริษัทจะรับหนูๆเข้ามาทำงาน และเป็นส่วนหนึ่งในบริษัท
เท่าที่พี่เจอมามากมาย น้องบางคนมีความคิดที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลางจักรวาลในกาแล็คซี่ทางช้างเผือกเลย
หากว่าการกระทำแบบนี้ พี่มองว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นข้อบ่งชี้ ว่าน้องอาจจะไม่ผ่านการคัดเลือกให้มาทำงาน
เพราะน้องเพิ่งเรียนจบ และยังไม่เคยทำงานหรือมีประสบการณ์ที่ไหน
ฉะนั้น เวลาที่ผู้สัมภาษณ์แนะนำ ก็ควรที่จะรับฟังเขา เพราะทางผู้สัมภาษณ์กำลังดูว่าน้องๆหนู
มีทัศนคติทางด้านไหน ในการที่จะทำงานให้กับองค์กร อย่าแสดงกิริยาที่อวดเก่ง เกินพอดี
มันจะดูเหมือนเรามีความมั่นใจมาก จนเกินพอดี ซึ่งบางที อะไรมากไป
มันก็อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ฉะนั้นเวลาผู้สัมภาษณ์แนะนำะอะไร ควรฟังเขา
4. เงินเดือน การที่บริษัทจะจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานคนๆนึง เขาจะดูว่าคนนั้นมีความสามารถอะไรบ้าง มีประสบการณ์ทำงานในด้านที่สมัครหรือไม่
ถ้ามี มีมากน้อยแค่ไหน ทำเกี่ยวกับอะไรมา เชี่ยวชาญตามที่บอกมาหรือไม่ ซึ่งจุดนี้ ถ้าหากคนๆนั้นได้ผ่านการคัดเลือก และเข้ามาทำงานแล้ว
หากผ่านประเมิน (ผ่านระยะทดลองงาน) ก็อาจจะได้เงินเดือนตามที่ตกลงกันไว้ในใบสมัครหรือสัญญา
แต่
กรณีน้องๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ การทำงานจริงที่ใดเลย ทางบริษัทก็จะดูจากอะไรคะ
ใช่ค่ะ จากผลการเรียนของหนู ซึ่งก็คือเกรดเฉลี่ย และสถาบัน
ซึ่งพี่ขอพูดตรงนี้เลย ว่าสำหรับน้องๆเด็กจบใหม่ ก็คือน้องยังไม่เคยทำงาน แน่นอนว่าดูจาก 2 อย่างข้างต้นแน่นอน
และสิ่งที่ทำให้น้องๆหนูหลายคน ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การเรียกเงินเดือนที่สูงเกินไป
สูงเกินความสามารถของตัวเอง ที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะทำงานนี้ได้หรือไม่
น้องๆ หนูๆ บางคน เอาสถาบันมาบอก ว่าหนูจบจากที่นั่น ที่นี่ ผมจบทางที่นี่ วิศวะมอดังระดับท็อป 1 2 3 4
ค่ะ แล้วยังไงคะ น้องจบมา แล้วน้องเคยทำงาน เคยมีประสบการณ์ทำงานจริงหรือยัง
น้องฝึกงานมา แต่การฝึกงานกับการทำงานจริง ที่ต้องเข้ากระบวนการของบริษัทเต็มรูปแบบ เหมือนพนักงาน มันไม่เหมือนกันนะคะ
น้องยังไม่เคยทำงาน ยังไม่เคยทำงาน ยังไม่มีประสบการณ์เลย !!!!!!!!!!!!!
ฉะนั้นจุดนี้ น้องต้องคิดนิดนึง ว่าการที่เราจะเรียกเงินเดือน เราควรเรียกให้พอเหมาะ
หากว่าน้องมีความสามารถจริง และตรงตามที่ระบุไว้ในเรซูเม่หรือใบสมัครงานจริง
ทางบริษัท ไม่ว่าจะบริษัทไหน เขายินดีอนุมัติในสิ่งที่น้องต้องการได้อยู่แล้ว หากว่าน้องทำงานให้บริษัทได้ตามที่เขาต้องการ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ น้องคิดเองได้ ใช่หรือไม่
แต่ส่วนใหญ่ที่พี่เจอมา บอกเลย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงจุดนี้
ชั้นจบมอดัง ชั้นเกรดเท่านี้ ชั้นเสียค่าเทอมมาเยอะเป็นแสน เป็นล้าน ชั้นจะมารับเงินเดือนเริ่มต้น 13,000 - 15,000 ไม่ได้
น้องคะ พี่อยากฝากไว้
น้องต้องมองในมุมของคนจ้างงานด้วย น้องห้ามมองในมุมของน้องอย่างเดียว ซึ่งมันไม่ถูกต้อง
พี่จะยกตัวอย่างง่ายๆ
หากน้องมีกิจการหน้าร้านขายของ เป็นของตัวเอง
คนแรกมาสมัครงาน เรียนจบด็อกเตอร์วิทยาศาสตร์ เรียกเงินเดือนแปดหมื่น ทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งเรียนจบและไม่เคยขายของเลยในชีวิต
แต่เรียกเงินเดือน ตามวุฒิที่ได้ กับชื่อเสียงมหาลัยที่จบมา จะเอาเงินเดือนเยอะๆ ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยขายของเลย
กับอีกคนนึง
ที่มาสมัครงาน และไม่เรียกร้องเรื่องเงินเดือน ขอแค่ประสบการณ์ในการทำงาน
และใช้เป็นอาวุธในการหารายได้เพิ่ม ถึงแม้ว่าตัวคนนี้ จะไม่เคยขายของเลย
แต่ด้วยความที่เขา อยากเก็บประสบการณ์ในการขายของ อยากพูดคุยกับลูกค้า
เพื่อสร้างจุดขาย และสร้างฐานลูกค้าแบบก้าวกระโดด พร้อมที่จะเรียนรู้
สองคนที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าน้องเป็นเจ้าของกิจการและต้องเสียเงินจ้างใครสักคนให้มาทำงานให้
น้องอยากจ้างใครให้มาทำงาน มาช่วยน้องขายของให้มากที่สุดคะ
ฝากไว้ให้คิด ถ้าอยากมีงานทำ
ฝากถึงน้องๆที่เรียนจบแล้วและกำลังหางานทำในช่วงนี้นะคะ
หนูไม่ได้คุยแชทส่วนตัวกับเพื่อน กับแฟน กับคนที่แอบรักข้างเดียวนะคะ คำแสลงควรเก็บไว้ใช้กับเพื่อน ไม่ควรพิมพ์ลงไปในเรซูเม่เด็ดขาด
เพราะทางบริษัท หรือ HR อาจจะโยนใบเรซูเม่ของหนูลงถังขยะ
2. เวลามาสัมภาษณ์งาน ควรแต่งตัวเคารพสถานที่ แล้วนี่มาสัมภาษณ์งาน น้องจะแต่งตัวใส่ยีนส์ขาสั้น เสื้อยึด ใส่หมวกแก๊บมาสัมภาษณ์งาน
น้องคิดว่า มันเป็นการแต่งตัวที่เหมาะสมหรือไม่ น้องไม่ได้มาสมัครเพื่อออดิชั่นไปเป็นนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีนะคะ น้องมาสัมภาษณ์งาน เพื่อเข้ามาเป็นพนักงานที่บริษัทที่กำลังเจออยู่ ฉะนั้นต้องรู้จักความเหมาะสมของบทบาทที่กำลังเผชิญ สลัดความเป็นรุกกี้เฟิร์สปี1 ในมหาลัยออกไปซะ เพราะหนูกำลังเริ่มต้นการเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กแล้ว
3. ทัศนคติ เป็นเรื่องสำคัญมาก ในการที่บริษัทจะรับหนูๆเข้ามาทำงาน และเป็นส่วนหนึ่งในบริษัท
เท่าที่พี่เจอมามากมาย น้องบางคนมีความคิดที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลางจักรวาลในกาแล็คซี่ทางช้างเผือกเลย
หากว่าการกระทำแบบนี้ พี่มองว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นข้อบ่งชี้ ว่าน้องอาจจะไม่ผ่านการคัดเลือกให้มาทำงาน
เพราะน้องเพิ่งเรียนจบ และยังไม่เคยทำงานหรือมีประสบการณ์ที่ไหน
ฉะนั้น เวลาที่ผู้สัมภาษณ์แนะนำ ก็ควรที่จะรับฟังเขา เพราะทางผู้สัมภาษณ์กำลังดูว่าน้องๆหนู
มีทัศนคติทางด้านไหน ในการที่จะทำงานให้กับองค์กร อย่าแสดงกิริยาที่อวดเก่ง เกินพอดี
มันจะดูเหมือนเรามีความมั่นใจมาก จนเกินพอดี ซึ่งบางที อะไรมากไป
มันก็อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ฉะนั้นเวลาผู้สัมภาษณ์แนะนำะอะไร ควรฟังเขา
4. เงินเดือน การที่บริษัทจะจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานคนๆนึง เขาจะดูว่าคนนั้นมีความสามารถอะไรบ้าง มีประสบการณ์ทำงานในด้านที่สมัครหรือไม่
ถ้ามี มีมากน้อยแค่ไหน ทำเกี่ยวกับอะไรมา เชี่ยวชาญตามที่บอกมาหรือไม่ ซึ่งจุดนี้ ถ้าหากคนๆนั้นได้ผ่านการคัดเลือก และเข้ามาทำงานแล้ว
หากผ่านประเมิน (ผ่านระยะทดลองงาน) ก็อาจจะได้เงินเดือนตามที่ตกลงกันไว้ในใบสมัครหรือสัญญา
แต่
กรณีน้องๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ การทำงานจริงที่ใดเลย ทางบริษัทก็จะดูจากอะไรคะ
ใช่ค่ะ จากผลการเรียนของหนู ซึ่งก็คือเกรดเฉลี่ย และสถาบัน
ซึ่งพี่ขอพูดตรงนี้เลย ว่าสำหรับน้องๆเด็กจบใหม่ ก็คือน้องยังไม่เคยทำงาน แน่นอนว่าดูจาก 2 อย่างข้างต้นแน่นอน
และสิ่งที่ทำให้น้องๆหนูหลายคน ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การเรียกเงินเดือนที่สูงเกินไป
สูงเกินความสามารถของตัวเอง ที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะทำงานนี้ได้หรือไม่
น้องๆ หนูๆ บางคน เอาสถาบันมาบอก ว่าหนูจบจากที่นั่น ที่นี่ ผมจบทางที่นี่ วิศวะมอดังระดับท็อป 1 2 3 4
ค่ะ แล้วยังไงคะ น้องจบมา แล้วน้องเคยทำงาน เคยมีประสบการณ์ทำงานจริงหรือยัง
น้องฝึกงานมา แต่การฝึกงานกับการทำงานจริง ที่ต้องเข้ากระบวนการของบริษัทเต็มรูปแบบ เหมือนพนักงาน มันไม่เหมือนกันนะคะ
น้องยังไม่เคยทำงาน ยังไม่เคยทำงาน ยังไม่มีประสบการณ์เลย !!!!!!!!!!!!!
ฉะนั้นจุดนี้ น้องต้องคิดนิดนึง ว่าการที่เราจะเรียกเงินเดือน เราควรเรียกให้พอเหมาะ
หากว่าน้องมีความสามารถจริง และตรงตามที่ระบุไว้ในเรซูเม่หรือใบสมัครงานจริง
ทางบริษัท ไม่ว่าจะบริษัทไหน เขายินดีอนุมัติในสิ่งที่น้องต้องการได้อยู่แล้ว หากว่าน้องทำงานให้บริษัทได้ตามที่เขาต้องการ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ น้องคิดเองได้ ใช่หรือไม่
แต่ส่วนใหญ่ที่พี่เจอมา บอกเลย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงจุดนี้
ชั้นจบมอดัง ชั้นเกรดเท่านี้ ชั้นเสียค่าเทอมมาเยอะเป็นแสน เป็นล้าน ชั้นจะมารับเงินเดือนเริ่มต้น 13,000 - 15,000 ไม่ได้
น้องคะ พี่อยากฝากไว้
น้องต้องมองในมุมของคนจ้างงานด้วย น้องห้ามมองในมุมของน้องอย่างเดียว ซึ่งมันไม่ถูกต้อง
พี่จะยกตัวอย่างง่ายๆ
หากน้องมีกิจการหน้าร้านขายของ เป็นของตัวเอง
คนแรกมาสมัครงาน เรียนจบด็อกเตอร์วิทยาศาสตร์ เรียกเงินเดือนแปดหมื่น ทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งเรียนจบและไม่เคยขายของเลยในชีวิต
แต่เรียกเงินเดือน ตามวุฒิที่ได้ กับชื่อเสียงมหาลัยที่จบมา จะเอาเงินเดือนเยอะๆ ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยขายของเลย
กับอีกคนนึง
ที่มาสมัครงาน และไม่เรียกร้องเรื่องเงินเดือน ขอแค่ประสบการณ์ในการทำงาน
และใช้เป็นอาวุธในการหารายได้เพิ่ม ถึงแม้ว่าตัวคนนี้ จะไม่เคยขายของเลย
แต่ด้วยความที่เขา อยากเก็บประสบการณ์ในการขายของ อยากพูดคุยกับลูกค้า
เพื่อสร้างจุดขาย และสร้างฐานลูกค้าแบบก้าวกระโดด พร้อมที่จะเรียนรู้
สองคนที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าน้องเป็นเจ้าของกิจการและต้องเสียเงินจ้างใครสักคนให้มาทำงานให้
น้องอยากจ้างใครให้มาทำงาน มาช่วยน้องขายของให้มากที่สุดคะ
ฝากไว้ให้คิด ถ้าอยากมีงานทำ