" หวัดดี" ณ วันที่ 9-5-2564 ตอนนี้เราอายุ 27 ปี เรากำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ เพื่อจะไปทำงานใช้แรงงานที่ญี่ปุ่น ไม่รู้เลยว่าจะได้ไปตอนไหน หรืออาจจะไม่ได้ไปเลยก็ได้
เพราะตอนนี้โควิดระบาดหนักมาก ขนาดออกไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอยยังลำบากเลย หน้ากากอนามัยกับ
แอลกอฮอร์ล้างมือกลายเป็นเครื่องแบบในชีวิตประจำวันไปแล้ว
เพราะเหตุนี้ การที่เราจะได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นในสถานะการณ์แบบนี้ก็คือต้องอาศัยดวงล้วนๆ ขอเล่าย้อนความก่อน ก่อนที่เราจะตัดสินใจมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อไปทำงาน "ใช้แรงงานที่ญี่ปุ่น "
เราเคยไป "ทำงานใช้แรงงานที่เกาหลี" ย้อนไปประมาณ 3 ปีก่อน เราเรียนจบมหาลัยแห่งหนึ่งที่ลาดกระบัง เรียนเทคโนโลยีการเกษตร "พืชสวน" จบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.08
ก่อนจะเข้ามาเรียนในมหาลัย ได้มีโอกาสไปดูงานโครงการชั่งหัวมันของในหลวงร.9 ณ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าจะเข้าเรียน
มหาลัยคณะ อะไร ก็ยังไม่มีคณะที่อยากเรียนในหัวเลย
และโครงการชั่งหัวมันเป็นจุดเริ่มต้นในการตัดสินใจให้เราเลือกเรียน "คณะเกษตร "
" คณะเกษตรที่ไม่ใช่เกษตร "
เราสอบตรงติดคณะเกษตร สอบไว้ที่ ธรรมศาสตร์ กับมหาลัยที่เราเรียน ส่วนม.เกษตร สมัครไม่ทัน เลยไม่มีโอกาสได้ลองสอบเลย
เหตุเพราะตอนนั้นเราไม่มีคอมพิวเตอร์กัอินเตอร์เน็ต ก็เลยต้องพึ่งพาเพื่อน แต่เพื่อนก็ต้องโฟกัสเรื่องของเพื่อนไง พอรู้อีกทีก็ปิดรับสมัครไปแล้ว "ก็เลยได้เรียนที่มหาลัยนี้"
เอาจริงป่ะ เราไม่เคยรู้จักมหาลัยนี้เลย คือไม่รู้จักเลยอ่ะ เพื่อนบอกก็ลองไปสอบดูก็ได้ ก็เลยลองไป แต่ช่วงปีที่เราสมัครเขาต้องการนักศึกษาเยอะ ก็เลยไม่ต้องสอบ ใช้แค่ผลการเรียนกับคะแนน GAT และสอบสัมภาษณ์
ยุคของเรายังเป็น GAT-PAT , admission อยู่ หลังจากสอบที่
มหาลัยนี้ ก็ไปสอบที่ธรรมศาสตร์
วันประกาศผลธรรมศาสตร์คือวันเดียวกันกับวันที่ต้องยืนยันตัวและจ่ายค่าเทอม ของมหาลัยที่เราเรียน
รู้ไหมเราตัดสินใจรอจนวินาทีสุดท้าย (อ่อลืมบอกเราสอบติดมหาลัยแรกแล้ว รอเเค่ยืนยันว่าจะเรียนหรือไม่เรียน) จุดพีคคือ ม.ธรรมศาสตร์ เลื่อนประกาศผลเป็นพรุ่งนี้ เราก็เลยตัดสินใจจ่ายตังค่าเทอมและยืนยันเข้าเรียนมหาลัยนี้ เพราะถ้าไม่ยืนยันจะถือว่าสละสิทธิ์
งงงงง "พีคในพีค" พอวันพรุ่งนี้มา ผลประกาศออกมาว่าเราสอบผ่านข้อเขียน ที่ม.ธรรมศาสตร์ แล้วก็ประกาศวันนัดสอบสัมภาษณ์ พอรู้ผล

งง โครตดีใจเลย แต่จ่ายค่าเทอมมหาลัยแรกไปแล้ว
ด้วยฐานะทางบ้านไม่ได้ดีมาก เงินก้อนนั้นก็ถือว่าเป็น เงินที่เยอะพอสมควร กูเลยตัดสินใจสละสิทธิ์ ม.ธรรมศาสตร์ ไปอย่างโครตเสียดายเลย
" ชีวิตในมหาลัย" ไปเรียนวันแรกโคตรจะตื่นเต้นเลย ก็ด้วยความที่ไม่มีเพื่อนอ่ะเนาะ แต่พอไปเรียนสักระยะหนึ่งก็มีกลุ่มเพื่อน ก็คือเพื่อนที่รหัสใกล้ๆกันแหละ เพราะมันต้องเจอกันทุกวิชาเลย
ชีวิตมหาลัยของเรารวมๆก็ไม่มีอะไรมาก มีคนเข้ามาจีบบ้างปะปลาย วิชาเรียน วิชาเลือก ก็ลงเรียนตามที่ เพื่อนๆ พี่ๆ แนะนำ ชีวิตในมหาลัยก็ไม่มีอะไรโดนเด่น เรียนบ้างโดดบ้าง ผลการเรียนปานกลาง
ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรชัดเจน เพราะการเรียนส่วนใหญ่ก็เรียนในตำรา อยู่ในห้องแลป ไม่ค่อยแตกต่างจาก ม.ปลายเท่าไหร่
เอาจริงคือในหัวที่คิดไว้ตอนเรก เรียนเกษตร ปลูกผัก ผลไม้ ลงแปลง ขุดไถ พรวน สร้างโรงเรือน คือชีวิตต้องอยู่ในส่วนในไร่แน่นอน!!!
แต่ความเป็นจริงนั้น ฟิสิก เคมี ชีวะ แคลคูลัส เข้าแลป คือลงแปลงไปขุด ปลูก นี่คือนับครั้งได้ แต่อาจารย์หลายๆท่านต้องยอมรับว่าเก่งจริง เก่งแบบว่าเฮ้ย!!!เจ๋งว่ะ ทำได้ไงอ่ะ รู้ได้ไง
แบบทำให้เราสัทธาและยอมรับในตัวเขา แต่พอขึ้นปี 3 ปี 4 ได้ทำโปรเจค ออกไปดูงาน ฝึกงานนอกสถานที่ ค่อยรู้สึกเหมือนภาพที่คิดไว้ในหัวหน่อย
ตอนนี้ทำโปรเจคเดี่ยว เรื่องเกี่ยวกับมะนาว ก็ผ่านมาได้แบบทุลักทุเล แต่ก็สนุกดี เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วก็จบการศึกษาในปี 2559
ถ้าจะถามว่ามหาลัยให้อะไรกับเรา เรียนมหาลัยเพื่ออะไร เสียเงินมากมายเพื่ออะไร เอาจริงป่ะ
"ความคิดเห็นส่วนตัว" เป็นคนหนึ่งที่เอนตี้การศึกษา เพราะรู้สึกว่าหลักสูตรการเรียน ไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากว่าเราไปทำงานเป็นอาจารย์ เรียนต่อ หรือทำงานด้านวิชาการต่างๆ
แต่หลายๆอาชีพแทบไม่ได้ใช้ความรู้ที่มีในการทำงานเลย คือกูแอนตี้ค่อนข้างหนักมากก เคยสัญญากับตัวเองว่ากูจะไม่เรียนต่อ ป.โท เด็ดขาด
เพราะการศึกษาไม่ตอบโจทย์ จนกระทั่งมาใช้ชีวิตในวัยทำงาน มันทำให้มองย้อนกลับไปเฮ้ย!!! มหาลัยให้อะไรกับเราเยอะมากกกก เป็นความรู้แฝงที่ไม่ใช้ความรู้ในหลักสูตรหรือตำราเรียน
อย่างแรกได้สังคม ได้เพื่อน
ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่น ได้ฟังเรื่งเล่าและประสบการณ์เจ๋งๆของอาจารย์ ได้เปิดมุมมอง อีกเรื่องที่ดีมาก คือการออกไปฝึกงานนอกสถานที่
มันทำให้เราได้เจอผู้คนและสังคมใหม่ๆ ณ ตอนนี้สำหรับเราการเรียนมหาลัยเป็นประสบการณ์ที่ดีประสบการณ์หนึ่งในชีวิต
"ช่วงจุดเปลี่ยนในชีวิต" ด้วยความที่มีเป้าหมายชัดเจน คือการทำเศรษฐกิจพอเพียงเล็กๆ ทำนาข้าว ปลูกผักผลไม้ ปลูกต้นไม้ใหญ่
เดิมที ที่บ้านทำนาข้าวอยู่แล้ว ตอนปี 4 ได้ไปทำโปรเจคต่างจังหวัด เลยเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ตัวเองชอบและคิดว่าในที่ดินฉันต้องมี เขียนชื่อชนิดพันธุ์ ส่งไปรษณีย์กลับบ้าน
และบอกที่บ้านว่าจะกลับไปทำนา ทำเกษตรพอเพียง ก็วาดภาพฝันไว้ชัดเจนมาก ที่บ้านก็โอเคๆเพาะเมล็ดที่ส่งมาให้รอ ณ ตอนนั้นยอมรับว่ามีความสุขมากคือภาพในหัวจินตนาการไว้เยอะมาก
จะเริ่มจากตรงนี้ ต่อด้วยนั้น นี่นู้น เป็นภาพที่สวยงามมาก ไฟในตัวก็แรงมาก จนกระทั้งฝึกงานทำโปรเจคจบ และจบการศึกษา และกลับบ้านต่างจังหวัด
วันหนึ่งอยู่ๆแม่ถามว่า "จะทำอะไรต่อไป" นี่ก็ตอบทันทีเลยว่า ทำนาไงแม่ "เศรษฐกิจพอเพียง" แม่ตอบกลับมาว่า "เรียนจบปริญญาจะมาทำนาให้ลำบากทำไม ทำไมไม่ไปสอบราชการ ทำงานที่มีหน้ามีตา
"แล้วต้นไม้ที่เพาะไว้จะเอาไปไหน" นี่ตอบว่า"ตั้งใจจะเอาไปปลูกที่นา" แม่ตอบกลับมาว่า "ไม่ให้ปลูกมันรกที่"
ณ ตอนนั้นคือแบบ "อ้าวเฮ้ย
ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า" ก็คือพยายามหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายแม่ก็ไม่ฟัง
กลายเป็นคนที่ฟังชาวบ้านมากกว่าเหตุผลที่กูพยายามอธิบาย ยอมรับว่าตอนนั้น

โคตรเสียความรู้สึกเลย เลิกสัทธาในตัวคนคนนี้ไปเลย แล้วก็ตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่า กูจะหาเงินมาซื้อที่ของกูเอง
แล้วก็จะไปให้ไกลที่สุด ก็เลยลงมาหางานทำที่กรุงเทพ ตอนนั้นคือ
เขว้งมาก ด้วยความที่มีเป้าหมายแค่หนึ่ง มันเลยกลายเป็นแอนตี้ทุกอย่างไม่อยากทำอะไรเลย
ว่างงานอยู่ 6 เดือน ก่อนตัดสินใจสมัครงานทุกอย่างที่ขวางหน้าด้วยวุฒิ ม.6 เริ่มจากทำงานแรก เป็นพนักงานบริการที่ Chester's Grill ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ทำหน้าที่ผู้ช่วยกุ๊ก ทำได้ 14 วัน ก็เลยถามตัวเองว่า "กูมาทำอะไรที่นี่ว่ะเนี่ย" เลยตัดสินใจลาออก และลองเปลี่ยนสายงานดูบ้าง มาทำงานโรงงานด้วยวุฒิม.6
ทำโรงงานผลิตลิปสติก ในไลน์ผลิต ทำหน้าที่ปิดฝาลิปติกที่ไหลมากับสายพาน และด้วยความที่ลงสมัครงานไว้หลายที่ ทั้งทางอินเตอร์เน็ต เดินไปสมัครถึงที่ แบบไม่มีจุดหมาย
คือเห็นที่ไหนรับสมัครกูสมัครหมดเหมือนประชดชีวิต ทำงานที่โรงงานลิปสติกได้ประมาณ 2 อาทิตย์ มีสำนักพิมพ์โทรมาให้เข้าไปสัมภาษณ์งานแผนกธุระการ เลยลาออกจากโรงงานไปทำงานธุรการที่สำนักพิมพ์
ทำงานได้สองอาทิตย์ ก็ลาออกเหมือนเดิม ด้วยงานที่กดดัน และนั่งทำงานในออฟฟิศ เรารู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์เรา ระหว่างหางานใหม่ มีเพื่อนแนะนำให้ไปสมัครงานเป็น QC โรงงานส่งออกสินค้าเกษตรมันบอกได้เงินดี
ก็เลยตัดสินใจไปสมัคร ตำแหน่ง QC โรงงานส่งออกสินค้าเกษตร ยอมรับว่าเงินดีจริง ยังไม่ผ่านโปร ได้เงินเดือน สองหมื่นปลายๆ ระยะเวลาผ่านโปรคือสามเดือน
"งาน QC ที่ไม่ใช่ QC"
ด้วยความที่เป็นบริษัทครอบครัว การทำงานไม่ได้อบอุ่น ทำงานร่วมกันเหมือนศัตรู มีแต่ความกดดันและกดดัน จึงทำให้มีคนเข้าออกเยอะพนักงานขาดแคลน
ดังนั้นการมาทำงาน QC จึงรับหน้าที่ทำทุกกกอย่างตั้งแต่สากกะเบือ ยันเรือรบ แต่งานสนุกเพราะได้ทำหน้าที่หลายอย่างจึงทำให้ไม่เบื่อ แต่ว่าเหนื่อยและกดดันมาก
ทำงาน 08.00-23.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ โดนด่าตั้งแต่เช้าจนเลิกงาน ตอนนั้นสุขภาพแย่มาก ทั้งเหนื่อย
ทั้งโทรม เครียด งานสนุกแต่ไม่มีความสุขกับการทำงาน
วันหนึ่ง พี่สาว ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง กลับมาจากเกาหลีมาแต่งงาน เราเลยได้มีโอกาสไปร่วมงานแต่งที่ต่างจังหวัดแบบเช้าเย็นกลับ เพราะต้องรีบกลับมาทำงานต่อ
หลังจากงานแต่งผ่านไปประมาณสามวันพี่สาวก็จะบินกลับเกาหลี จึงแวะมาเยี่ยมเราที่ทำงานก่อน หลังจากเห็นสภาพเราแล้ว ไม่รู้ว่าแกเวทนา หรืออะไร อยู่ๆแกก็พูดขึ้นมาว่า
"ถ้าทำงานมันเหนื่อยขนาดนี้ ทำไมไม่ลองไปทำงานที่เกาหลีดูล่ะ ถ้ามันเหนื่อยเหมือนกันแต่อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์และได้เงินมากกว่า"
คือ จุกมากตอนนั้นมันเป็นประโยคที่แทงเข้ามากลางใจเลย ก็เลยลองหาข้อมูล เกี่ยวกับการไปทำงานที่เกาหลี หาโรงเรียนเรียนภาษา ค่าใช้จ่ายต่างๆ
พอหาข้อมูลมาได้ประมาณหนึ่ง พรุ่งนี้เช้า ตัดสินใจกระทันหันเลย ณ เช้าวันนั้นเลย เดินไปบอกผู้จัดการจะขอทำงานถึงสิ้นเดือน
ก็บอกตรงๆเลยว่าจะไปเรียนภาษาจะไปทำงานเกาหลี เขาก็โอเค สรุปลาออกจากงานด้วยอายุงาน
2 เดือนเต็ม
พี่สาวเราไปทำงานที่เกาหลี
ด้วยระบบการจ้างงานของรัฐบาลจัดส่งโดยรัฐบาล EPS thailand
**** ตอนหน้าจะมาเล่าต่อ การไปทำงานใช้แรงงานที่เกาหลี *****
https://pantip.com/topic/40712521?sc=3uqEYA9
" ชีวิตกู ก็แบบนี้แหละ "
เพราะตอนนี้โควิดระบาดหนักมาก ขนาดออกไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอยยังลำบากเลย หน้ากากอนามัยกับ
แอลกอฮอร์ล้างมือกลายเป็นเครื่องแบบในชีวิตประจำวันไปแล้ว
เพราะเหตุนี้ การที่เราจะได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นในสถานะการณ์แบบนี้ก็คือต้องอาศัยดวงล้วนๆ ขอเล่าย้อนความก่อน ก่อนที่เราจะตัดสินใจมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อไปทำงาน "ใช้แรงงานที่ญี่ปุ่น "
เราเคยไป "ทำงานใช้แรงงานที่เกาหลี" ย้อนไปประมาณ 3 ปีก่อน เราเรียนจบมหาลัยแห่งหนึ่งที่ลาดกระบัง เรียนเทคโนโลยีการเกษตร "พืชสวน" จบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.08
ก่อนจะเข้ามาเรียนในมหาลัย ได้มีโอกาสไปดูงานโครงการชั่งหัวมันของในหลวงร.9 ณ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าจะเข้าเรียน
มหาลัยคณะ อะไร ก็ยังไม่มีคณะที่อยากเรียนในหัวเลย
และโครงการชั่งหัวมันเป็นจุดเริ่มต้นในการตัดสินใจให้เราเลือกเรียน "คณะเกษตร "
" คณะเกษตรที่ไม่ใช่เกษตร "
เราสอบตรงติดคณะเกษตร สอบไว้ที่ ธรรมศาสตร์ กับมหาลัยที่เราเรียน ส่วนม.เกษตร สมัครไม่ทัน เลยไม่มีโอกาสได้ลองสอบเลย
เหตุเพราะตอนนั้นเราไม่มีคอมพิวเตอร์กัอินเตอร์เน็ต ก็เลยต้องพึ่งพาเพื่อน แต่เพื่อนก็ต้องโฟกัสเรื่องของเพื่อนไง พอรู้อีกทีก็ปิดรับสมัครไปแล้ว "ก็เลยได้เรียนที่มหาลัยนี้"
เอาจริงป่ะ เราไม่เคยรู้จักมหาลัยนี้เลย คือไม่รู้จักเลยอ่ะ เพื่อนบอกก็ลองไปสอบดูก็ได้ ก็เลยลองไป แต่ช่วงปีที่เราสมัครเขาต้องการนักศึกษาเยอะ ก็เลยไม่ต้องสอบ ใช้แค่ผลการเรียนกับคะแนน GAT และสอบสัมภาษณ์
ยุคของเรายังเป็น GAT-PAT , admission อยู่ หลังจากสอบที่
มหาลัยนี้ ก็ไปสอบที่ธรรมศาสตร์
วันประกาศผลธรรมศาสตร์คือวันเดียวกันกับวันที่ต้องยืนยันตัวและจ่ายค่าเทอม ของมหาลัยที่เราเรียน
รู้ไหมเราตัดสินใจรอจนวินาทีสุดท้าย (อ่อลืมบอกเราสอบติดมหาลัยแรกแล้ว รอเเค่ยืนยันว่าจะเรียนหรือไม่เรียน) จุดพีคคือ ม.ธรรมศาสตร์ เลื่อนประกาศผลเป็นพรุ่งนี้ เราก็เลยตัดสินใจจ่ายตังค่าเทอมและยืนยันเข้าเรียนมหาลัยนี้ เพราะถ้าไม่ยืนยันจะถือว่าสละสิทธิ์
งงงงง "พีคในพีค" พอวันพรุ่งนี้มา ผลประกาศออกมาว่าเราสอบผ่านข้อเขียน ที่ม.ธรรมศาสตร์ แล้วก็ประกาศวันนัดสอบสัมภาษณ์ พอรู้ผล
ด้วยฐานะทางบ้านไม่ได้ดีมาก เงินก้อนนั้นก็ถือว่าเป็น เงินที่เยอะพอสมควร กูเลยตัดสินใจสละสิทธิ์ ม.ธรรมศาสตร์ ไปอย่างโครตเสียดายเลย
" ชีวิตในมหาลัย" ไปเรียนวันแรกโคตรจะตื่นเต้นเลย ก็ด้วยความที่ไม่มีเพื่อนอ่ะเนาะ แต่พอไปเรียนสักระยะหนึ่งก็มีกลุ่มเพื่อน ก็คือเพื่อนที่รหัสใกล้ๆกันแหละ เพราะมันต้องเจอกันทุกวิชาเลย
ชีวิตมหาลัยของเรารวมๆก็ไม่มีอะไรมาก มีคนเข้ามาจีบบ้างปะปลาย วิชาเรียน วิชาเลือก ก็ลงเรียนตามที่ เพื่อนๆ พี่ๆ แนะนำ ชีวิตในมหาลัยก็ไม่มีอะไรโดนเด่น เรียนบ้างโดดบ้าง ผลการเรียนปานกลาง
ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรชัดเจน เพราะการเรียนส่วนใหญ่ก็เรียนในตำรา อยู่ในห้องแลป ไม่ค่อยแตกต่างจาก ม.ปลายเท่าไหร่
เอาจริงคือในหัวที่คิดไว้ตอนเรก เรียนเกษตร ปลูกผัก ผลไม้ ลงแปลง ขุดไถ พรวน สร้างโรงเรือน คือชีวิตต้องอยู่ในส่วนในไร่แน่นอน!!!
แต่ความเป็นจริงนั้น ฟิสิก เคมี ชีวะ แคลคูลัส เข้าแลป คือลงแปลงไปขุด ปลูก นี่คือนับครั้งได้ แต่อาจารย์หลายๆท่านต้องยอมรับว่าเก่งจริง เก่งแบบว่าเฮ้ย!!!เจ๋งว่ะ ทำได้ไงอ่ะ รู้ได้ไง
แบบทำให้เราสัทธาและยอมรับในตัวเขา แต่พอขึ้นปี 3 ปี 4 ได้ทำโปรเจค ออกไปดูงาน ฝึกงานนอกสถานที่ ค่อยรู้สึกเหมือนภาพที่คิดไว้ในหัวหน่อย
ตอนนี้ทำโปรเจคเดี่ยว เรื่องเกี่ยวกับมะนาว ก็ผ่านมาได้แบบทุลักทุเล แต่ก็สนุกดี เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วก็จบการศึกษาในปี 2559
ถ้าจะถามว่ามหาลัยให้อะไรกับเรา เรียนมหาลัยเพื่ออะไร เสียเงินมากมายเพื่ออะไร เอาจริงป่ะ
"ความคิดเห็นส่วนตัว" เป็นคนหนึ่งที่เอนตี้การศึกษา เพราะรู้สึกว่าหลักสูตรการเรียน ไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากว่าเราไปทำงานเป็นอาจารย์ เรียนต่อ หรือทำงานด้านวิชาการต่างๆ
แต่หลายๆอาชีพแทบไม่ได้ใช้ความรู้ที่มีในการทำงานเลย คือกูแอนตี้ค่อนข้างหนักมากก เคยสัญญากับตัวเองว่ากูจะไม่เรียนต่อ ป.โท เด็ดขาด
เพราะการศึกษาไม่ตอบโจทย์ จนกระทั่งมาใช้ชีวิตในวัยทำงาน มันทำให้มองย้อนกลับไปเฮ้ย!!! มหาลัยให้อะไรกับเราเยอะมากกกก เป็นความรู้แฝงที่ไม่ใช้ความรู้ในหลักสูตรหรือตำราเรียน
อย่างแรกได้สังคม ได้เพื่อน
ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่น ได้ฟังเรื่งเล่าและประสบการณ์เจ๋งๆของอาจารย์ ได้เปิดมุมมอง อีกเรื่องที่ดีมาก คือการออกไปฝึกงานนอกสถานที่
มันทำให้เราได้เจอผู้คนและสังคมใหม่ๆ ณ ตอนนี้สำหรับเราการเรียนมหาลัยเป็นประสบการณ์ที่ดีประสบการณ์หนึ่งในชีวิต
"ช่วงจุดเปลี่ยนในชีวิต" ด้วยความที่มีเป้าหมายชัดเจน คือการทำเศรษฐกิจพอเพียงเล็กๆ ทำนาข้าว ปลูกผักผลไม้ ปลูกต้นไม้ใหญ่
เดิมที ที่บ้านทำนาข้าวอยู่แล้ว ตอนปี 4 ได้ไปทำโปรเจคต่างจังหวัด เลยเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ตัวเองชอบและคิดว่าในที่ดินฉันต้องมี เขียนชื่อชนิดพันธุ์ ส่งไปรษณีย์กลับบ้าน
และบอกที่บ้านว่าจะกลับไปทำนา ทำเกษตรพอเพียง ก็วาดภาพฝันไว้ชัดเจนมาก ที่บ้านก็โอเคๆเพาะเมล็ดที่ส่งมาให้รอ ณ ตอนนั้นยอมรับว่ามีความสุขมากคือภาพในหัวจินตนาการไว้เยอะมาก
จะเริ่มจากตรงนี้ ต่อด้วยนั้น นี่นู้น เป็นภาพที่สวยงามมาก ไฟในตัวก็แรงมาก จนกระทั้งฝึกงานทำโปรเจคจบ และจบการศึกษา และกลับบ้านต่างจังหวัด
วันหนึ่งอยู่ๆแม่ถามว่า "จะทำอะไรต่อไป" นี่ก็ตอบทันทีเลยว่า ทำนาไงแม่ "เศรษฐกิจพอเพียง" แม่ตอบกลับมาว่า "เรียนจบปริญญาจะมาทำนาให้ลำบากทำไม ทำไมไม่ไปสอบราชการ ทำงานที่มีหน้ามีตา
"แล้วต้นไม้ที่เพาะไว้จะเอาไปไหน" นี่ตอบว่า"ตั้งใจจะเอาไปปลูกที่นา" แม่ตอบกลับมาว่า "ไม่ให้ปลูกมันรกที่"
ณ ตอนนั้นคือแบบ "อ้าวเฮ้ย
ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า" ก็คือพยายามหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายแม่ก็ไม่ฟัง
กลายเป็นคนที่ฟังชาวบ้านมากกว่าเหตุผลที่กูพยายามอธิบาย ยอมรับว่าตอนนั้น
แล้วก็จะไปให้ไกลที่สุด ก็เลยลงมาหางานทำที่กรุงเทพ ตอนนั้นคือ
เขว้งมาก ด้วยความที่มีเป้าหมายแค่หนึ่ง มันเลยกลายเป็นแอนตี้ทุกอย่างไม่อยากทำอะไรเลย
ว่างงานอยู่ 6 เดือน ก่อนตัดสินใจสมัครงานทุกอย่างที่ขวางหน้าด้วยวุฒิ ม.6 เริ่มจากทำงานแรก เป็นพนักงานบริการที่ Chester's Grill ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ทำหน้าที่ผู้ช่วยกุ๊ก ทำได้ 14 วัน ก็เลยถามตัวเองว่า "กูมาทำอะไรที่นี่ว่ะเนี่ย" เลยตัดสินใจลาออก และลองเปลี่ยนสายงานดูบ้าง มาทำงานโรงงานด้วยวุฒิม.6
ทำโรงงานผลิตลิปสติก ในไลน์ผลิต ทำหน้าที่ปิดฝาลิปติกที่ไหลมากับสายพาน และด้วยความที่ลงสมัครงานไว้หลายที่ ทั้งทางอินเตอร์เน็ต เดินไปสมัครถึงที่ แบบไม่มีจุดหมาย
คือเห็นที่ไหนรับสมัครกูสมัครหมดเหมือนประชดชีวิต ทำงานที่โรงงานลิปสติกได้ประมาณ 2 อาทิตย์ มีสำนักพิมพ์โทรมาให้เข้าไปสัมภาษณ์งานแผนกธุระการ เลยลาออกจากโรงงานไปทำงานธุรการที่สำนักพิมพ์
ทำงานได้สองอาทิตย์ ก็ลาออกเหมือนเดิม ด้วยงานที่กดดัน และนั่งทำงานในออฟฟิศ เรารู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์เรา ระหว่างหางานใหม่ มีเพื่อนแนะนำให้ไปสมัครงานเป็น QC โรงงานส่งออกสินค้าเกษตรมันบอกได้เงินดี
ก็เลยตัดสินใจไปสมัคร ตำแหน่ง QC โรงงานส่งออกสินค้าเกษตร ยอมรับว่าเงินดีจริง ยังไม่ผ่านโปร ได้เงินเดือน สองหมื่นปลายๆ ระยะเวลาผ่านโปรคือสามเดือน
"งาน QC ที่ไม่ใช่ QC"
ด้วยความที่เป็นบริษัทครอบครัว การทำงานไม่ได้อบอุ่น ทำงานร่วมกันเหมือนศัตรู มีแต่ความกดดันและกดดัน จึงทำให้มีคนเข้าออกเยอะพนักงานขาดแคลน
ดังนั้นการมาทำงาน QC จึงรับหน้าที่ทำทุกกกอย่างตั้งแต่สากกะเบือ ยันเรือรบ แต่งานสนุกเพราะได้ทำหน้าที่หลายอย่างจึงทำให้ไม่เบื่อ แต่ว่าเหนื่อยและกดดันมาก
ทำงาน 08.00-23.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ โดนด่าตั้งแต่เช้าจนเลิกงาน ตอนนั้นสุขภาพแย่มาก ทั้งเหนื่อย
ทั้งโทรม เครียด งานสนุกแต่ไม่มีความสุขกับการทำงาน
วันหนึ่ง พี่สาว ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง กลับมาจากเกาหลีมาแต่งงาน เราเลยได้มีโอกาสไปร่วมงานแต่งที่ต่างจังหวัดแบบเช้าเย็นกลับ เพราะต้องรีบกลับมาทำงานต่อ
หลังจากงานแต่งผ่านไปประมาณสามวันพี่สาวก็จะบินกลับเกาหลี จึงแวะมาเยี่ยมเราที่ทำงานก่อน หลังจากเห็นสภาพเราแล้ว ไม่รู้ว่าแกเวทนา หรืออะไร อยู่ๆแกก็พูดขึ้นมาว่า
"ถ้าทำงานมันเหนื่อยขนาดนี้ ทำไมไม่ลองไปทำงานที่เกาหลีดูล่ะ ถ้ามันเหนื่อยเหมือนกันแต่อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์และได้เงินมากกว่า"
คือ จุกมากตอนนั้นมันเป็นประโยคที่แทงเข้ามากลางใจเลย ก็เลยลองหาข้อมูล เกี่ยวกับการไปทำงานที่เกาหลี หาโรงเรียนเรียนภาษา ค่าใช้จ่ายต่างๆ
พอหาข้อมูลมาได้ประมาณหนึ่ง พรุ่งนี้เช้า ตัดสินใจกระทันหันเลย ณ เช้าวันนั้นเลย เดินไปบอกผู้จัดการจะขอทำงานถึงสิ้นเดือน
ก็บอกตรงๆเลยว่าจะไปเรียนภาษาจะไปทำงานเกาหลี เขาก็โอเค สรุปลาออกจากงานด้วยอายุงาน
2 เดือนเต็ม
พี่สาวเราไปทำงานที่เกาหลี
ด้วยระบบการจ้างงานของรัฐบาลจัดส่งโดยรัฐบาล EPS thailand
**** ตอนหน้าจะมาเล่าต่อ การไปทำงานใช้แรงงานที่เกาหลี *****
https://pantip.com/topic/40712521?sc=3uqEYA9