อภิธรรมจะแบ่งเป็น สังขาร ๒ คือ
๑. อุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมครอบครอง
๒. อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมไม่ครอบครอง, โดยปริยายแปลว่า สังขารที่มีใจครอง และสังขารที่ไม่มีใจครอง
ตรงนี้ทำให้เข้าใจว่าหมายถึงร่างกาย กับ วัตถุสิ่งของ
ส่วนสังขาร 3 ในพระไตรปิฎกคือ
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
ความหมายไปคนละโลกกับ สังขาร 2 เลย
มีคนเอาสังขาร 2 ไปผูกเข้ากับ อนิจฺจา วต สงฺขารา ในปรินิพพานสูตร (กล่าวโดยท้าวสักกะ)
แต่ถ้ายกเอาข้อนี้มาเต็มๆ คือ
[๖๒๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ของ
ทวยเทพได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า
สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความเข้าไปสงบสังขาร เหล่านั้นเป็นสุข ฯ
สังขาร 3 หรือ สังขาร 2 กันแน่?
๑. อุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมครอบครอง
๒. อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมไม่ครอบครอง, โดยปริยายแปลว่า สังขารที่มีใจครอง และสังขารที่ไม่มีใจครอง
ตรงนี้ทำให้เข้าใจว่าหมายถึงร่างกาย กับ วัตถุสิ่งของ
ส่วนสังขาร 3 ในพระไตรปิฎกคือ
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
ความหมายไปคนละโลกกับ สังขาร 2 เลย
มีคนเอาสังขาร 2 ไปผูกเข้ากับ อนิจฺจา วต สงฺขารา ในปรินิพพานสูตร (กล่าวโดยท้าวสักกะ)
แต่ถ้ายกเอาข้อนี้มาเต็มๆ คือ
[๖๒๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ของ
ทวยเทพได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า
สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความเข้าไปสงบสังขาร เหล่านั้นเป็นสุข ฯ