รีวิวประสบการณ์ขลิบหนังหุ้มปลาย “ขลิบไร้เลือด” ครั้งเดียวในชีวิต !!

สวัสดีครับ นี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับผม และไม่ตั้งใจที่จะทำเลยในช่วงชีวิตนี้ ก็เลยอยากมาเล่าสู่กันฟังครับ เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่ยังไม่ขลิบ และมีอาการป่วยแบบผม (อาจจะยาวสักหน่อยนึงนะ) ผมอายุ 39 ปี เป็นคนอ้วนน้ำหนัก 121 kg. ที่มีอาการเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูง 293 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (คนปกติจะมีค่าระดับน้ำตาลในเลือด ควรต่ำกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือไม่ควรเกิน 130)
.
ผมป่วยมีภาวะ หนังหุ้มปลายตีบ (Phimosis) ไม่สามารถรูดเปิดหนังหุ้มปลายได้ ซึ่งเพิ่งมาเป็นตอนช่วงเดือน พฤศจิกายน 63 อาการของมันคือ ตรงหนังหุ้มปลายจะตีบ ขาดการยืดหยุ่น ไม่สามารถรูดลงมาได้เลย ถ้าฝืนรูดก็จะเจ็บมีรอยแตก เลือดไหลซิบๆแสบๆ พอเวลาปัสาวะจะแสบมากๆ ไม่ต้องพูดถึงตอนช่วยตัวเองหรือมีเพศสัมพันธ์นะครับ เจ็บและทรมานมากๆเลย บั่นทอนจิตใจมากๆครับสำหรับคนเป็นอาการนี้ 
.
ช่วงแรกผมรักษาเอง (เพราะอายที่จะไปหาหมอ) ด้วยการซื้อยามาทาบริเวณหนังหุ้มปลาย ก็ช่วยได้บ้าง แต่มันก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุครับ ผมใช้ยาทาชื่อ บีแพนเธน (BEPANTHEN) อาการนี้เป็นๆหายๆ จนครั้งล่าสุดปลายๆเดือน มีนาคม 64 อาการมันหนักถึงขนาดที่ปลายมันตีบจนปัสาวะได้เพียงอย่างเดียว มันตีบและตึงมากๆ เวลาอาบน้ำก็ไม่สามารถรูดทำความสะอาดได้ ซึ่งผมเป็นคนที่นิสัยอนามัยจัดต้องรูดทำความสะอาดทุกครั้ง พอทำไม่ได้มันก็กังวลและเครียดมากๆ จนต้องเริ่มศึกษาเรื่องขลิบอวัยวะเพศขึ้นมา บอกตามตรงว่าโครตจะกลัวเลยที่ต้องทำ
.
ผมพบว่านอกจากขลิบปกติแล้ว ยังมีวิธีการที่เรียกว่า “ขลิบไร้เลือด” อยู่ด้วยในปัจจุบันนี้ ก็เสิร์จดูใน Google หรือ Youtube จะมีให้ดูขั้นตอนการทำครับ ดูๆแล้วก็รู้ว่ามันทำง่ายและดูไม่เจ็บนะ เสียอย่างเดียวคือราคาค่อนข้างสูง ก่อนจะหยุดสงกรานต์เลยคิดว่าจะไปทำครับ เพื่อที่ตอนหยุดยาวสงกรานต์จะได้นอนพักฟื้นอยู่บ้าน ก็เริ่มหาสถานที่ที่จะทำ เป็นคลินิกใกล้บ้านที่สุด และเชี่ยวชาญด้านขลิบไร้เลือด ก็จองคิวผ่าตัดเลยเป็นวันที่ 9 เมษายน 64 เวลา 11.00 น. ฤกษ์งามยามดี
.
เช้าวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 64 ผมตื่นมาบอกลาน้องจู๋ที่มีหนังหุ้มปลายตุ่ยๆซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงเราจะจากกันแล้ว.. ผมขับรถไปเองคนเดียวโดยใส่เสื้อยืดหลวมๆ กางเกงขาสั้นและไม่ใส่กางเกงใน เพื่อให้คร่องตัวที่สุดในตอนขากลับ พอมาถึงคลินิก ไม่มีคนไข้เลย ผมมาประเดิมคนแรก นั่งรอด้วยความตื่นเต้นสักพัก บุรุษพยาบาลก็เดินมาเรียกตัวเข้าห้องไป วัดความดัน (ปกติดี) และ วัดน้ำตาลในเลือด (ซึ่งผมวัดได้ 293 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) ซึ่งน้ำตาลในเลือดสูงมากอาจจะทำให้แผลหายช้า แต่ไม่มีปัญหาผ่าตัดได้ครับ และมีกรอกประวัติอื่นๆ เซ็นยินยอมเข้ารับการผ่าตัด 
.
จากนั้นออกมานั่งรอ ก็ถูกเรียกเข้าไปพบ คุณหมอผู้หญิง น่ารักมว๊ากกกก (ในใจตอนนั้นตกใจ ที่ต้องมาแก้ผ้านอนให้หมอเค้าจับจู๋) หมออธิบายเรื่องยาที่ต้องทานว่ามียาอะไรบ้าง มียาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด ยาลดบวม ให้มาถุงใหญ่เลย เสร็จแล้วออกมานั่งรอข้างนอกต่อก็นั่งรอด้วยความตื่นเต้น และรู้สึกเขิลมากๆ ที่เดี๋ยวจะต้องนอนแก้ผ้าต่อหน้าหมอผู้หญิงที่เพิ่งพบกันเมื่อครู่ มันเขิลอ่ะ มันคนละฟิลกับแก้ผ้าต่อหน้าแฟน หรือไปเที่ยวอาบอบนวดเลยนะ สักพักก็ถูกเรียกเข้าห้องผ่าตัด พอเดินเข้าไปก็พบว่า คุณหมอที่ผ่าตัดเป็นผู้ชายและบุรุษพยาบาลที่เป็นผู้ช่วยหมออีกคนนึง รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก นั่งคุยกับคุณหมอครู่นึง ก็บอกให้ผมถอดกางเกงและขึ้นนอนบนเตียง ผมก็ลุกขึ้นถอดกางเกงปีนขึ้นนอนบนเตียงเลยทันที จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยมั้ง..ที่แก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายถึง 2 คน แต่กลับไม่รู้สึกอายเลยนะ 555
.
คุณหมอเข้ามาจับและตรวจดูจู๋น้อยของผม และแจ้งอาการว่าเกิดจากอะไร ซึ่งอาการตีบที่หนังหุ้มปลายถือว่าเป็นเรื่องที่พบกันมากในผู้ชายอ้วน ที่เริ่มมีอายุและมีภาวะเบาหวาน คุณหมอบอกว่าวิธีแก้มีทางเดียว คือ ขลิบหนังหุ้มปลายออกเท่านั้น!! คุณหมอจะเริ่มฉีดยาชาก่อนอันดับแรก ซึ่งจะเจ็บจิ๊ดๆเท่านั้น จากนั้นก็ลงมือเริ่มฉีดยาชาบริเวณรอบๆโคนจู๋ ประมาณ 4-5 เข็มได้ครับ ผมก็เกร็งจิกเท้าตลอดการลงเข็มฉีด มันเจ็บจิ๊ดๆผสมตื่นเต้น รอ 1-2 นาที จู๋ผมก็ไม่ใช่จู๋ผมอีกต่อไป มันชาและไม่รู้สึกอะไรใดๆอีกเลย ความรู้สึกเหมือนจู๋หายไป แต่เงยหน้ามองลงไป ก็อยู่ดีนี่หว่า หมอแจ้งว่า “เส้นสองสลึง” ของผมมีรอยฉีกขาด (ซึ่งเป็นมาสักพักแล้วก่อนหนังหุ้มปลายจะตีบ) จำเป็นต้องตัดออกทันทีก่อนทำการขลิบไร้เลือด ซึ่งการตัดเส้นสองสลึง จะมีค่าตัด 3,000.- บาท แยกต่างหากกับค่าทำขลิบไร้เลือด 12,000.- บาทครับ เท่ากับว่าภารกิจนี้ ผมจะมีค่าดำเนินการทั้งหมด 15,000.- บาทถ้วน ครับ
.
ผมโอเค บอกหมอตัดเส้นสองสลึงได้เลย การตัดเส้นสองสลึงนั้นใช้เครื่องเลเซอร์ตัดครับ ว่าแล้วหมอก็เริ่มใช้เครื่องเลเซอร์ยิงตัด จะมีแผ่นยางอะไรสักอย่างมาแปะที่แข้งขาขวาผม จากนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องยิงเลเซอร์ยิง ส่วนความรู้สึกนั้นไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เจ็บปวดอะไรเลยมันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอ่ะหวิวๆที่ห้วหน่าว หลังจากตัดเส้นสองสลึงเสร็จก็จะเริ่มขลิบไร้เลือด ด้วยอุปกรณ์เฉพาะทางของเค้า กระบอกสีขาวๆ มันคล้ายๆที่เปิดจุกขวดไวน์ แต่ขนาดใหญ่กว่า ระหว่างที่สวมกระบอกเข้ามาและกดเพื่อตัดหนังหุ้มปลาย ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ยอมรับว่าตื่นเต้นสัสๆครับ 555 หมอไม่ได้ให้ผมดูเศษหนังที่ถูกตัดออกไป ซึ่งผมก็ไม่อยากดูด้วย 555 แต่ก็ได้ดูแผลที่ทำการขลิบเสร็จก่อนที่หมอจะพันผ้าก๊อช ตัวแผลเหมือนมีเหล็กเส้นเล็กๆจิ๋วๆยึดรอบๆรอยแผลที่ขลิบ มีการเย็บไหมละลายเพิ่มเติมบางจุด โดยรวมแล้วก็แปลกๆตาดี หมอให้ผมนอนพักสักครู่ เวลาในการทำทั้งหมดก็ราว 20 - 30 นาทีได้ครับ 
.
ระหว่างนอนพัก หมอจะสอนการดูแลรักษาแผล คือห้ามโดนน้ำ 7 วัน สอนการทำความสะอาดแผล จะทำเองก็ได้หรือมาทำที่คลินิกก็ได้ (มีค่าทำแผลครั้งละ 200.- บาท) แต่ทำไม่ยาก หมอแนะนำว่าทำเองก็ได้ ของที่ต้องไปซื้อเพิ่มเองคือ เบตาดีน, สำลีก้อน, น้ำเกลือขวดใหญ่, ผ้าก๊อชพันแผล, โคแบนใช้พันทับผ้าก๊อช ซึ่งขั้นตอนการทำแผล คุณหมอก็สอนให้อย่างละเอียด สงสัยตรงไหนก็สอบถามแกได้ ใช้เวลารักษาตัวประมาณ 1 เดือน และงดมีเพศสัมพันหรือช่วยตัวเอง
.
จากนั้นผมก็ลุกจากเตียงมาใส่กางเกง ระหว่างนี้ยาชาเริ่มค่อยๆหมดฤทธิ์ ใช่แล้วครับ! อย่างที่ทุกท่านคิดไว้ในใจเลย ความเจ็บปวดมาเยือนในระดับเต็มสิบ ระหว่างเดินออกจากคลินิกมาที่รถนี่เจ็บปากสั่นอ่ะครับ คือมันเจ็บแผลแบบปากสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า ก่อนจะเดินถึงรถ ใกล้ๆนั้นมีร้านข้าวเลยไปนั่งกินข้าวแบบทุลักทุเล เพื่อที่กินยาแก้ปวด ซัดไปสองเม็ดแล้วลากสังขารมาถึงรถได้ ..ถ้าความเจ็บปวดถึงตอนนี้คือหนังดราม่า ตอนขับรถจากคลินิกกลับมาบ้านนี่คือหนังแอ็คชั่นเลยนะ ถนน กทม. เด้งนิดเด้งหน่อยสะเทือนร้องโอ้ยตลอดทาง คือมันเจ็บแบบกัดฟันเลยอ่ะ ผมยกให้เป็นความเจ็บปวดทางกายที่สุดในชีวิตที่เกิดมา 39 ปีครับ คุณได้อันดับหนึ่ง!!
.
ผมกลับถึงบ้าน นอนดูน้องจู๋ตัวเองที่พันแผลจนกลมบ็อก กินยาแก้ปวดอีกรอบ แล้วนอนหงายผ่านไปสัก 1-2 ชม. ความเจ็บมันค่อยๆลดลงเรื่อยๆ เคยอ่านรีวิวใน Pantip คนบอกว่าขลิบไม่เจ็บ ชิลๆสบายๆ ผมเถียงขาดใจบอกเลย เจ็บสัสๆ!! วันแรกผมก็ทำแผลเองเลยครับ ต้องเปลี่ยนผ้าก๊อชทุกวัน นั่นเพราะว่ามันเปียกเลือดที่ซึม น้ำเหลือง เหงื่อ สารคัดหลั่ง ไหนจะฉี่กระเด็นโดนผ้าก๊อชอีก คือคนขลิบใหม่ๆเนี่ยฉี่จะไร้ทิศทางมาก ก็เลยทำแผลตามที่คุณหมอสอนมา ช่วง 1-3 วันแรก แผลน่ากลัวมากๆแอบกลัวแผลจะเน่า จิตตกมากๆ แผลมันเหวอะๆบอกไม่ถูกครับ แต่ความเจ็บก็ยังมีอยู่บ้างแต่ไม่มากอะไร จนวันที่ 6 - 7 หรือครบอาทิตย์ แผลเริ่มเข้าที่ กลัดหมุดเหล็กเล็กๆที่เย็บไว้รอบๆเริ่มหลุดออกมา มันก็โอเคครับ เห็นแผลเริ่มหายจิตใจก็เริ่มดีขึ้น ต้องอย่าลืมนะครับผมเป็นเบาหวาน แผลจะหายช้ากว่าคนปกติ แต่นี่ก็ถือว่าแผลหายเร็วแล้วสำหรับผม 
.
เนื่องจากทำตอนช่วงหยุดสงกรานต์อยู่แต่บ้าน ผมเลยอาบน้ำไปแค่ 1-2 ครั้งเอง เพื่อไม่ให้แผลเปียก และวิธีการอาบก็คือใช้ถุงมือยางสวมกับน้องจู๋ ใช้ยางรัดผมรัดโคน ก็ช่วยได้ในระดับนึง แต่ผ้าก๊อชก็เปียกชื้นอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ ซับแผลให้แห้งครับ ผมหมั่นทำแผลรักษาความสะอาดอย่างมาก เปลี่ยนผ้าพันแผลวันละ 2-3 รอบ/วัน ดูแลน๊อนอย่างดี ปัญหาที่พบคือ ช่วงเช้าตามธรรมชาติอวัยวะผู้ชายจะแข็งตัว ผมเด้งจากเตียงตื่นเลยล่ะ เพราะมันตึงจะเจ็บแผลที่เย็บมากๆๆๆ เป็นแบบนี้ทุกเช้า เจ็บจนชิน แต่ว่าพอหายแข็งตัวมันก็ไม่เจ็บนะครับ ปัญหาอีกเรื่องคือการนอน นอนตะแคงไม่ได้เลย ต้องนอนหงายเท่านั้น 
.
จากวันที่ผ่าตัด 9 เมษายน จนถึงวันนี้ที่ผมเขียนเรื่องราว 1 พฤษภาคม 64 รวมเป็นเวลา 23 วัน ทำแผลเองทุกวัน ไม่ได้กลับไปหาหมออีกเลย กินยาตามหมอสั่งจนหมดและซื้อกินเองต่อ (เช่น ยาฆ่าเชื้อกับยาแก้ปวด) ใส่เบตาดีนทุกครั้งที่ทำแผล แผลผมดีขึ้นมากๆ จู๋หล่อขึ้นเยอะเลย ตอนนี้แผลแห้งหมดแล้ว ไหมละลายเกือบหมด (เหลือสองจุดที่ยังไม่ละลายเป็นปมๆ) แผลเรียบเนียนสวย แผลแห้งหมดพอเวลาแข็งตัวก็ไม่เจ็บแล้ว เป็นเรื่องที่ผมพอใจมากๆและทึ่งกับการขลิบไร้เลือดนี้มาก การดูแลรักษาความสะอาดก็ง่าย สะดวก และน๊อนดูดีมากๆ ไอ้ต้าวน้อยย (ลูบๆๆ)
.
สรุปนะครับ การขลิบดีมากๆครับ รู้งี้ทำตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นแล้ว ^ ^"
ราคาขลิบไร้เลือด 12,000.- บาท / ราคาตัดเส้นสองสลึง 3,000.- บาท
รวมค่าใช้จ่าย 15,000.- บาท สถานที่ทำคลินิกแถวๆลาดพร้าววังหิน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่