อ้างอิงถึง กระทู้นี้นะคะ
https://pantip.com/topic/39044192
มาช้าแต่ก็มานะคะ
เริ่มเลย เมื่อก่อนเราเป็นคนร่าเริง ยิ้มง่าย ชอบพูดคุย มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อเกิดเป็นแผลที่กระจกตา ทำให้เรากลายเป็นคนไม่กล้าสบตาใคร ความมั่นใจในตัวเองลดลง(เวลามองหน้าคนอื่นคิดว่าเขาจะจ้องตาและเห็นตาเราที่ขุ่นมัว จึงได้แต่หลบตา) มองว่าเป็นมุมด้อยของตัวเอง เวลาเจอคนรู้จัก เพื่อน หรือคนอื่นๆ ชอบทักว่าตาเป็นอะไร เหมือนคนตาบอดเลย ทำไมมันมัวแบบนั้น มองเห็นไหม
ทำให้เราคิดและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนทำให้เราเรานอนไม่ค่อยหลับ บางวันหลับตี 1 ตี 2 เป็นแบบนี้ 2 ปีกว่า
ช่วง 2 ปีกว่าที่เราเริ่มคิด และจดจ่ออยู่แบบนี้ เราก็มี กินเหล้า หนักบ้าง เบาบ้าง แต่ว่ากินทุกวัน อย่างน้อยก็เบียวันละขวด จนเรา รู้สึกว่าไม่ไหว จึงได้เข้าไปติดต่อรักษาตา ซึ่งแน่นอนการจองคิวกระจกตาใช้เวลานานมาก เรากลับมีเครื่องคิดมากกว่าเดิม เมื่อไหร่จะหาย เมื่อไหร่จะถึงคิว นับวัน นับคืนตลอด
จนวันหนึ่ง เราไปเที่ยวกินเหล้า กลับบ้านตี 3 นอนไปได้ 5 ชม. ตอนเช้า 8 โมงเราไปทำงาน ระหว่างทำงานอยู่นั้นมีอาการ ปวด มวนท้อง เหงื่อแตกท่วมตัว มือเริ่มจับจีบ หายใจเร็ว เพื่อนร่วมงานจึงนำส่ง รพสต. หรือ อนามัย หมออนามัยเรียกรถจากโรงพยาบาลมารับ ปรากฏว่าพอถึงโรงบาล หมอทางโรงบาลบอกจะฉีดยาคลายกล้ามเนื้อให้ (แต่เป็นยานอนหลับ) พอฉีดแล้ว ไม่ถึงนาทีเราก็หลับ ตื่นมาช่วงบ่ายๆ หมอให้ยาแก้ปวดท้อง (ให้กินตอนมีอาการ) กับยานอนหลับ ให้กินก่อนนอน
ช่วงออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ 1 - 3 วัน ไปไหนไม่ได้เลย รู้สึกหวาดกลัว หวาดระแวง กลัวทุกๆอย่าง ขับรถไปได้ 1 - 2 กิโล ต้องรีบขับกลับ มานอนหลับเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย หรือต้องใช้ถุงพาสติกครอบทั้งปากและจมูกอาการถึงจะดีขึ้น เป็นแบบนี้ 1 เดือน ตนอาการหายไป (เราไม่ได้กินยานอนหลับที่หมอให้เราเลย) จนเป็นปกติ (แต่ถ้ามีเรื่องต้องตื่นเต้น รอคอย หรือเรื่องต้องลุ้น อาหารเหงือแตก หายใจเร็วก็จะกลับมา)
เราเป็นปกติอยู่ราวๆ 5 - 6 เดือน มีอยู่วันหนึ่งเราขับรถ (ทางบ้านมีปัญหา) ระหว่างกลับบ้าน อาการกำเริบ หายใจไว เหงื่อออกเยอะ มือจีบเกร็ง เรารีบจอดรถ หยิบถุงพาสติกมาคลุมแล้วหายใจ (เราพกถุงพาสติกติดตัวตลอด) จนอาการดีขึ้น จึงโทรหาเพื่อนและคุยกับเพื่อนเพื่อจะได้อุ่นใจถ้ามีอาการ ความคิดในตอนนั้นนะ และขับรถกลับบ้านด้วยความไวแสง พอถึงบ้าน นอนซมไปครึ่งวัน
และจากวันนั้น ทำให้เราออกไปไหนไม่ได้ 2 อาทิตย์ จนเราไม่ไหว อยากหายจากอาการนี้ ทำให้เราเดินไปยังโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาหมอ หมอจุดคัดกรองส่งเราไปแผนกจิตเวช ค่ะ เราคิดตอนนั้นเราเป็นบ้าหรอ จนได้พบหมอ หมอก็คุยดีค่ะ พยายามให้เราเล่าถึงอาการ ช่วงเวลาที่เป็น และช่วงความถี่ของการแสดงอาการ สรุปหมอบอกว่าเราเป็นโรคแพนิคค่ะ ให้ยามารับประทาน โดยให้ทานยาต้านวิตกกังวล เช้าละ 1/2 ของเม็ด ในปริมาณนี้หมอบอกว่าน้อยมาก หมอบอกว่าต้องกินติดต่อกันห้ามหยุดยาเอง
ฃ่วงที่เรากินยา มีบางช่วงที่เริ่มจะมีอาการ (พอเราคิดว่าวันนี้กินยาแล้ว) อาการก็หายไป หมอนับดูอาการ 1 อาทิตย์ครั้ง 2 อาทิตย์ครั้ง 3 อาทิตย์ครั้ง และ 1 เดือนครั้ง จนผ่านไป 6 เดือน เราติดสินใจขอหมอให้นัด 6 เดือนครั้งหนึ่ง หมอตกลงค่ะ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนผ่านไป 3 ปี หมอบอกอยากลองหยุดยาไหม เราตัดสินใจไม่หยุดค่ะ ขอทานต่อ (เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา)
จนมาถึงปลายปีที่แล้ว เรากินยาตามหมอสั่งไป 5 ปีโดยประมาณ เมื่อเราได้ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา หมอบอกว่าอยากลองหยุดยาไหม เราตัดสินใจตกลงหยุดยาค่ะ หลังจากหยุดยาแล้ว หมอนัดดูอาการอีกที 1 เดือนให้หลัง เราไม่มีอาการต่างๆเหมือนที่เล่ามา หมอจึงไม่ได้นัดอีกค่ะ ตอนนี้ผ่านมา 5 เดือนแล้ว อาการยังไม่กลับมานะคะ
อาการของโรคนี้ เราไม่แน่ใจว่าแต่ละคนเป็นเหมือนกันไหม แต่สำหรับเรา หายใจไว ปวดมวนท้อง ตัวงอ เหงื่อแตก มือจิบเกร็ง ตอนอาการแสดงในความคิดมีความคิดว่าเราตายแน่ๆค่ะ
เราจดโน๊ตไล่เรื่องราวก่อนมีอาการค่ะ จึงรู้ว่าสาเหตุหรือก่อนเกิดโรคเป็นเพราะอะไร เราจะได้หลีกเลี่ยงค่ะ
สุดท้าย ไม่ว่าจะโรคไหน ก็สู้กำลังใจของเราไม่ได้ค่ะ โรคนี้ขึ้นอยู่ที่ความคิดคิดของเรา ถ้าเราข่มมันหรือลืมมันไปได้ เราก็ชนะมันค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้คนที่เป็นโรคนี้นะคะ ขอให้หายไว้ๆนะคะ และสู้กับโรคนี้ต่อไปค่ะ ซักวันจะต้องชนะมันแน่ๆ อยู่ที่ใจของเราล้วนๆค่ะ
รีวิวการเป็นโรคแพนิค (ที่คิดว่าหายแล้ว)
https://pantip.com/topic/39044192
มาช้าแต่ก็มานะคะ
เริ่มเลย เมื่อก่อนเราเป็นคนร่าเริง ยิ้มง่าย ชอบพูดคุย มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อเกิดเป็นแผลที่กระจกตา ทำให้เรากลายเป็นคนไม่กล้าสบตาใคร ความมั่นใจในตัวเองลดลง(เวลามองหน้าคนอื่นคิดว่าเขาจะจ้องตาและเห็นตาเราที่ขุ่นมัว จึงได้แต่หลบตา) มองว่าเป็นมุมด้อยของตัวเอง เวลาเจอคนรู้จัก เพื่อน หรือคนอื่นๆ ชอบทักว่าตาเป็นอะไร เหมือนคนตาบอดเลย ทำไมมันมัวแบบนั้น มองเห็นไหม
ทำให้เราคิดและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนทำให้เราเรานอนไม่ค่อยหลับ บางวันหลับตี 1 ตี 2 เป็นแบบนี้ 2 ปีกว่า
ช่วง 2 ปีกว่าที่เราเริ่มคิด และจดจ่ออยู่แบบนี้ เราก็มี กินเหล้า หนักบ้าง เบาบ้าง แต่ว่ากินทุกวัน อย่างน้อยก็เบียวันละขวด จนเรา รู้สึกว่าไม่ไหว จึงได้เข้าไปติดต่อรักษาตา ซึ่งแน่นอนการจองคิวกระจกตาใช้เวลานานมาก เรากลับมีเครื่องคิดมากกว่าเดิม เมื่อไหร่จะหาย เมื่อไหร่จะถึงคิว นับวัน นับคืนตลอด
จนวันหนึ่ง เราไปเที่ยวกินเหล้า กลับบ้านตี 3 นอนไปได้ 5 ชม. ตอนเช้า 8 โมงเราไปทำงาน ระหว่างทำงานอยู่นั้นมีอาการ ปวด มวนท้อง เหงื่อแตกท่วมตัว มือเริ่มจับจีบ หายใจเร็ว เพื่อนร่วมงานจึงนำส่ง รพสต. หรือ อนามัย หมออนามัยเรียกรถจากโรงพยาบาลมารับ ปรากฏว่าพอถึงโรงบาล หมอทางโรงบาลบอกจะฉีดยาคลายกล้ามเนื้อให้ (แต่เป็นยานอนหลับ) พอฉีดแล้ว ไม่ถึงนาทีเราก็หลับ ตื่นมาช่วงบ่ายๆ หมอให้ยาแก้ปวดท้อง (ให้กินตอนมีอาการ) กับยานอนหลับ ให้กินก่อนนอน
ช่วงออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ 1 - 3 วัน ไปไหนไม่ได้เลย รู้สึกหวาดกลัว หวาดระแวง กลัวทุกๆอย่าง ขับรถไปได้ 1 - 2 กิโล ต้องรีบขับกลับ มานอนหลับเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย หรือต้องใช้ถุงพาสติกครอบทั้งปากและจมูกอาการถึงจะดีขึ้น เป็นแบบนี้ 1 เดือน ตนอาการหายไป (เราไม่ได้กินยานอนหลับที่หมอให้เราเลย) จนเป็นปกติ (แต่ถ้ามีเรื่องต้องตื่นเต้น รอคอย หรือเรื่องต้องลุ้น อาหารเหงือแตก หายใจเร็วก็จะกลับมา)
เราเป็นปกติอยู่ราวๆ 5 - 6 เดือน มีอยู่วันหนึ่งเราขับรถ (ทางบ้านมีปัญหา) ระหว่างกลับบ้าน อาการกำเริบ หายใจไว เหงื่อออกเยอะ มือจีบเกร็ง เรารีบจอดรถ หยิบถุงพาสติกมาคลุมแล้วหายใจ (เราพกถุงพาสติกติดตัวตลอด) จนอาการดีขึ้น จึงโทรหาเพื่อนและคุยกับเพื่อนเพื่อจะได้อุ่นใจถ้ามีอาการ ความคิดในตอนนั้นนะ และขับรถกลับบ้านด้วยความไวแสง พอถึงบ้าน นอนซมไปครึ่งวัน
และจากวันนั้น ทำให้เราออกไปไหนไม่ได้ 2 อาทิตย์ จนเราไม่ไหว อยากหายจากอาการนี้ ทำให้เราเดินไปยังโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาหมอ หมอจุดคัดกรองส่งเราไปแผนกจิตเวช ค่ะ เราคิดตอนนั้นเราเป็นบ้าหรอ จนได้พบหมอ หมอก็คุยดีค่ะ พยายามให้เราเล่าถึงอาการ ช่วงเวลาที่เป็น และช่วงความถี่ของการแสดงอาการ สรุปหมอบอกว่าเราเป็นโรคแพนิคค่ะ ให้ยามารับประทาน โดยให้ทานยาต้านวิตกกังวล เช้าละ 1/2 ของเม็ด ในปริมาณนี้หมอบอกว่าน้อยมาก หมอบอกว่าต้องกินติดต่อกันห้ามหยุดยาเอง
ฃ่วงที่เรากินยา มีบางช่วงที่เริ่มจะมีอาการ (พอเราคิดว่าวันนี้กินยาแล้ว) อาการก็หายไป หมอนับดูอาการ 1 อาทิตย์ครั้ง 2 อาทิตย์ครั้ง 3 อาทิตย์ครั้ง และ 1 เดือนครั้ง จนผ่านไป 6 เดือน เราติดสินใจขอหมอให้นัด 6 เดือนครั้งหนึ่ง หมอตกลงค่ะ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนผ่านไป 3 ปี หมอบอกอยากลองหยุดยาไหม เราตัดสินใจไม่หยุดค่ะ ขอทานต่อ (เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา)
จนมาถึงปลายปีที่แล้ว เรากินยาตามหมอสั่งไป 5 ปีโดยประมาณ เมื่อเราได้ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา หมอบอกว่าอยากลองหยุดยาไหม เราตัดสินใจตกลงหยุดยาค่ะ หลังจากหยุดยาแล้ว หมอนัดดูอาการอีกที 1 เดือนให้หลัง เราไม่มีอาการต่างๆเหมือนที่เล่ามา หมอจึงไม่ได้นัดอีกค่ะ ตอนนี้ผ่านมา 5 เดือนแล้ว อาการยังไม่กลับมานะคะ
อาการของโรคนี้ เราไม่แน่ใจว่าแต่ละคนเป็นเหมือนกันไหม แต่สำหรับเรา หายใจไว ปวดมวนท้อง ตัวงอ เหงื่อแตก มือจิบเกร็ง ตอนอาการแสดงในความคิดมีความคิดว่าเราตายแน่ๆค่ะ
เราจดโน๊ตไล่เรื่องราวก่อนมีอาการค่ะ จึงรู้ว่าสาเหตุหรือก่อนเกิดโรคเป็นเพราะอะไร เราจะได้หลีกเลี่ยงค่ะ
สุดท้าย ไม่ว่าจะโรคไหน ก็สู้กำลังใจของเราไม่ได้ค่ะ โรคนี้ขึ้นอยู่ที่ความคิดคิดของเรา ถ้าเราข่มมันหรือลืมมันไปได้ เราก็ชนะมันค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้คนที่เป็นโรคนี้นะคะ ขอให้หายไว้ๆนะคะ และสู้กับโรคนี้ต่อไปค่ะ ซักวันจะต้องชนะมันแน่ๆ อยู่ที่ใจของเราล้วนๆค่ะ