ควรพยายามแก้ปัญหาหรือเทปัญหาทิ้งไปเลยดีคะ

สวัสดีค่ะ เรามีเรื่องที่ค่อนข้างไม่สบายใจ อาจจะไม่ได้หนักหนาอะไร แต่จะว่าวางไม่ลงทั้งๆที่มันอาจจะไม่ได้ใหญ่เท่าปัญหาของใครคนอื่นก็ได้ค่ะ

เริ่มเลยนะคะ

เรามีโอกาสได้มาทำงานงานหนึ่งที่ต่างเมือง เป็นเหมือนการรวมกลุ่มเฉพาะกิจทำงานชิ้นนึงให้สำเร็จลุล่วง กลุ่มไม่ได้ใหญ่มาก หลักๆมีประมาณ 10 กว่าคน มีคนไทยอยู่ด้วยค่ะ คนในกลุ่มก็จะถนัดในแนวทางของตัวเอง เราเป็นคนสุดท้ายที่ไปรวมทีมกับพวกเขา

ในทีมมีผู้ชายคนนึง ขอเรียกว่า “คุณไมค์” แล้วกันค่ะ เรายอมรับว่าหลังจากที่ปลื้มในผลงานคุณไมค์มานาน พอมาเจอตัวจริง ได้ทำงานร่วมกัน เราชอบเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยค่ะ แอบตกใจด้วยว่าใครนะเก่งจัง ที่ดึงตัวเขามาได้ เขาค่อนข้างดังในวงการที่เราทำงานกันน่ะค่ะ แล้วเท่าที่ทราบคือเขาเก่งและก็มารยาทดี ทำงานด้วยง่าย ใครๆก็อยากทำงานด้วย แต่เขาค่อนข้างเก็บตัว(อารมณ์คล้ายว่าดังแล้วเล่นตัวหรือเปล่า)

แต่แอบชอบแอบปลื้มมันก็แค่นั้นค่ะ ระหว่างที่ทำงานร่วมกัน เราไม่เคยแสดงท่าทีประทับใจออกนอกหน้า หรือคุยกันนอกเหนือจากเรื่องงานเลย ไม่มีช่องทางการติดต่อส่วนตัว ไม่เคยเจอกันนอกเวลางาน เราทำงานเสร็จก็กลับที่พัก แม้แต่เพื่อนในทีมบางคนที่เราไม่สนิทยังแทบไม่เคยเห็นหน้าเรานอกเวลางานเลย

จนวันที่งานจบ ทุกคนก็ต้องแยกย้าย ทีมก็มีทานอาหารด้วยกัน แล้วก็ถามไถ่กันว่าหลังจากนี้ใครจะไปไหน ทำอะไรต่อ ในส่วนของเราก็บอกไปว่า ถ้ายังไม่มีแพลนออกมาว่าต้องไปทำอะไรที่ไหนต่อ สถานการณ์ตอนนี้ก็คงกลับบ้านไปหาครอบครัวก่อน คนอื่นก็มีหลากหลายค่ะ ส่วนคุณไมค์เธอบอกว่าคงพักจากงานยาวๆแล้วกลับบ้านเหมือนกัน แต่ระหว่างกลับอาจจะแวะที่เมืองนึงก่อน มีสิ่งที่เธออยากไปดูก่อนกลับ แล้วทุกคนก็เฮฮากันต่อ

ส่วนเรา.. เราแอบเสิร์ชเลยค่ะว่ามีงานอะไรที่เมืองนั้น สรุปว่าเป็นเหมือนงานแสดงภาพวาดกับศิลปะอะไรประมาณนั้น เราไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่เดาว่าน่าจะดังมากในคนเฉพาะกลุ่ม ดูจากบุคลิกและนิสัยที่ทำงานร่วมกันมาก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่คุณไมค์เธอจะชอบอะไรแบบนี้

ระหว่างนั้นก็เหลือเวลาอีกเกือบสัปดาห์ให้แพคของ ส่งของบางส่วนกลับไปก่อนกับขนส่ง(เนื่องจากมากินนอนกันอยู่ที่นี่นาน ข้าวของก็เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็วันที่ต้องเก็บของกลับกันนี่แหละ)

จู่ๆเราก็ได้รับอีเมลงานมาว่าให้ไปช่วยอีกทีมนึง ซึ่งโดยปกติเรามักจะปฏิเสธงานที่ต้องไปช่วยแก้ปัญหาให้กับทีมที่เขาเริ่มงานกันไปแล้ว โดยที่เราเข้าไปจอยกลางคัน หลายครั้งจะเจอปัญหาที่มันผิดตั้งแต่ต้นแล้วมันปวดหัวที่จะมานั่งแก้ย้อนกลับ เรากำลังจะตอบปฏิเสธไป แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เปิดเนื้องานมาดู และไปสะดุดกับเมืองที่ต้องไปสมทบ เป็นเมืองเดียวกับที่คุณไมค์จะไปแวะดูงานศิลป์???

เราเกิดลังเลเพราะผู้ชายขึ้นมา เลยโทรหาเพื่อนที่เรามักเล่าทุกอย่างให้ฟัง เพื่อนเราก็บอกว่าลองดูเนื้องานก่อนว่าไหวมั้ย อย่าเพิ่งบ้าผู้ชาย 555 เราก็บอกว่า เอาจริงๆดูไม่ออกหรอกจนกว่าจะได้ลงไปทำ แต่ก็ไม่น่าหนักหนาอะไรไปกว่าโปรเจคมหาโหดที่เพิ่งปิดไป เพื่อนเราก็เลยบอกว่า ถ้าไม่ลองสู้ตอนนี้ อาจจะไม่มีโอกาสแล้วนะ เพราะทางคุณไมค์ก็บอกแล้วว่าเขาจะพักงานยาวๆ จะได้เจออีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

และ ใช่ค่ะ เราตัดสินใจรับงานที่น่าปวดหัวนั่น เพื่อผู้ชายที่เราแอบชอบ 5555 เพื่อนบางคนบอกว่าเรามีปัญหาทางด้านความคิดอ่าน ยอมเสี่ยงว่าจะเจอหรือไม่เจอคุณไมค์ก็ไม่รู้ เขาอยู่กี่วันกี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ อาจจะแค่เดินๆดูงานนิทรรศการแล้วบินกลับเลยก็ได้ ใครจะรู้ แต่เรายังต้องรบรากับงานนั่นต่ออีกเป็นเดือนๆหรืออาจจะเฉียดปี แต่เราอยากลองดูซักตั้ง ก็เลยตอบรับงานไป

เราไปถึงโรงแรมที่เมืองนั้นประมาณบ่ายกว่า ช่วงเย็นก็ได้เจอกับเพื่อนร่วมทีมทั้งหมด แล้วก็ทานอาหารกันที่ห้องอาหารของโรงแรมนั่นแหละ แรกๆก็เกร็ง แต่พอเริ่มสนิทกันก็ดูเป็นทีมที่โอเค น่าจะทำงานด้วยไม่ยาก เราก็สบายใจไปได้หน่อยนึง

พอเริ่มค่ำคนเริ่มเยอะขึ้นจนเราแปลกใจ ว่าเมืองเล็กๆมีนักท่องเที่ยวเยอะขนาดนี้เลยหรือ เพื่อนในทีมคนนึงก็เลยบอกว่าเพราะงานแสดงภาพศิลป์ เราเลยถือโอกาสเก็บข้อมูลว่าคืออะไรยังไง มีกี่วัน ก็ได้รู้รายละเอียดมาพอสมควร แต่ที่สำคัญคือ แต่ละวันแต่ละรอบของการแสดง ของที่เอาออกมาโชว์จะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนกัน เราได้แต่เศร้าใจว่า นี่ต้องมานั่งเดาอีกหรือว่าคุณไมค์เธอชอบอะไร มาดูของวันไหน รอบไหน ปวดหัวกว่างานอีก

ระหว่างที่นั่งทานอาหารกันอยู่ เราก็หันหลังไปจะเรียกบริกร หันไปเจอคุณไมค์ค่ะ(อาจจะเพราะเมืองเล็ก โรงแรมที่ดีหน่อยเลยมีไม่เท่าไหร่) เธอนั่งอยู่กับเพื่อนอีก 2 คน โต๊ะข้างหลังเรา แถวเดียวกัน ห่างไป 2 โต๊ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่?! เราช็อคมาก ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรในใจให้วุ่นวายไปหมด อยากเดินเข้าไปทักแต่ก็ไม่กล้า เลยขอตัวลุกไปห้องน้ำเพื่อโทรศัพท์หาเพื่อน

เพื่อนเราทั้งเชียร์ทั้งยังพูดปลุกใจสารพัดให้เราเดินเข้าไปทัก แต่เราเป็นประเภทถ้ามีเพื่อน อะไรก็สู้ แต่ถ้าคนเดียว อะไรก็กลัว แล้วตอนนี้คือหัวเดียวกระเทียมลีบมากๆ ตัดสินใจไม่ถูก จนเพื่อนในทีมคนนึงขอเรียกว่า “อันนา” เธอโทรมาตาม ถามว่าเราเมาหรือเปล่า เห็นหายไปนาน โอเคมั้ย เราก็บอกว่ามึนๆนิดหน่อย กำลังจะออกไปแล้ว

ตอนเราเดินเข้าห้องอาหารไป อันนายกมือขึ้นโบกแถมตะโกนเรียกซะดัง(พูดปกติเธอคนนี้ก็เสียงดังอยู่แล้ว) จังหวะนั้นหลายคนหันมามอง รวมถึงคุณไมค์ด้วย ตอนนั้นคืออาย ไม่รู้จะขอบคุณหรือด่าเพื่อนคนนี้ดี

คุณไมค์เธอลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือให้ค่ะ เหมือนกลัวเราไม่เห็น 555 เราลังเลว่าจะโบกมือกลับแล้วเดินกลับโต๊ะตัวเองเลย หรือเดินเข้าไปทักเขาที่โต๊ะดี แต่สุดท้ายก็ทำใจกล้าเดินไปทักเขาที่โต๊ะค่ะ คุณไมค์แนะนำผู้ชาย 2 คนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเธอ คนนึงเป็นน้องชาย อีกคนเป็นเพื่อนสนิท คุยกันอีก2-3คำ เราก็ขอตัวกลับโต๊ะ โดยที่ไม่ได้สาระอะไรตามเคย เราเบื่อความขี้ป๊อดของตัวเองมาก ลงทุนทำขนาดนี้ พระเจ้าก็ช่วยเข็นคุณไมค์มาให้เต็มที่แล้ว แต่เป็นเราเองที่เกิดปอดสั่นไม่กล้ารุกขึ้นมา

เรากลับมานั่งที่โต๊ะใจยังเต้นไม่หาย อันนาถามว่ารู้จักกับผู้ชายโต๊ะนั้นหรือ เธอเล็งตั้งแต่พวกเขาเดินเข้ามาแล้ว(อันนานั่งตรงข้ามกับเรา ซึ่งเท่ากับว่าเธอหันหน้าไปทางโต๊ะคุณไมค์พอดี) เราบอกว่ารู้จักแค่คุณไมค์คนเดียว เคยทำงานด้วยกัน เพิ่งปิดโปรเจคไปเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วก็มาจอยกับทีมเธอนี่แหละ อันนาเองก็น่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงคุณไมค์มาบ้าง เลยเป็นหัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารอยู่พักนึง แล้วก็จบไป

หลังจากจบมื้ออาหาร ทุกคนก็แยกย้าย จริงๆอันนากับทีมมีที่พักกันอยู่แล้ว ห่างจากโรงแรมไปประมาณนึง แต่เธอกลัวเราเหงาเลยอาสาอยู่ต่อเป็นเพื่อน จนผ่านไปซักพัก อันนาก็ชวนไปดื่มเบียร์ต่อตรงร้านหน้าโรงแรม บอกว่าเด็ดมาก ขนาดที่ว่าเธอพักอยู่ห่างตัวเมือง เวลาเซ็งๆยังต้องยอมขับรถมาเพื่อเบียร์ที่นี่

จังหวะที่ลุกก็เป็นจังหวะเดียวกับที่โต๊ะคุณไมค์ก็ลุก อันนาหันมาถามเราว่าจะชวนโต๊ะคุณไมค์ไปด้วยดีมั้ย เวลานั้นเรารู้สึกเหมือนพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ค่ายไหนก็ไม่รู้ช่วยเราอีกครั้ง เรารีบเออออทันที และด้วยความเป็นสาวมั่นๆด้วยมั้ง อันนาก็ก้าวฉับๆไปแนะนำตัวทำความรู้จักชวนพวกเขา3คนเสร็จสรรพ  

ร้านเบียร์ที่อันนาบอกเป็นร้านเล็กๆ แบบมีโต๊ะแค่2-3ตัว แล้วก็เป็นเคาท์เตอร์บาร์ยาวๆ พวกเราก็นั่งตรงบาร์นั่นแหละ คุณไมค์นั่งชิดตรงมุมฝั่งหัวโต๊ะ เรานั่งชิดอีกมุมข้างๆกัน กึ่งๆเหมือนจะหันหน้าชนกัน

หลังจากดื่มไปซักพักเราก็กล้าคุยกับคุณไมค์มากขึ้น เลยถามเรื่องที่มาดูงานนิทรรศการ เธอบอกว่าก็น่าจะอยู่จนจบงานแสดงศิลป์นั่นล่ะ เพราะเธอกับเพื่อนแล้วก็น้องชาย หมายตาไม่ตรงกันซักรอบซักวัน 555 คุยไปเรื่อยๆพอรู้ว่าเธอยังโสดก็สบายใจ เพราะเราเองก็พอรู้มาบ้างว่าในทีมที่เคยทำงานด้วยกัน มีคนชอบคุณไมค์อยู่ เพียงแต่ไม่รู้แน่ชัดว่าใคร คุณไมค์รู้จักทีมเก่าก่อนเราประมาณ 2 ปี เท่าที่ฟังก็ดูไม่มีนัยยะส่วนตัวอะไร มีแต่เรื่องงาน ที่อาจจะไม่ถูกใจกันบ้าง

คุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยจนต้องกลับกันแล้ว ตอนนั้นคือเรารวบรวมความกล้าทั้งชีวิต ชวนคุณไมค์อยู่คุยกันต่อ อารมณ์แบบเด็กที่แม่มาตามกลับบ้านแต่กำลังเล่นติดพัน อารมณ์ประมาณนั้น คุณไมค์ก็ดูงงๆ แต่ก็บอกให้เพื่อนไปส่งน้องชายที่ที่พักก่อน เพราะดูจะไม่ไหว แล้วจะกลับมาสมทบไหมก็แล้วแต่

สรุปแล้วว่าเรา คุณไมค์ และอันนามาต่อกันที่ห้องเรา เพราะอันนาก็ดื่มไปเยอะ คงไม่กล้าให้ขับรถกลับเองแล้ว ห้องเราเป็นเหมือนกึ่งสวีทที่จะมีบาร์และโซฟา ส่วนห้องนอนเล็กๆก็แยกไปอีกที

คืนนั้นคุณไมค์นอนที่โซฟา เรากับอันนานอนในห้อง ไม่ได้มีเรื่อง18+แต่อย่างใด เพราะเรา 3 คน คนนึงเหนื่อยงาน อีกสองคนเหนื่อยเดินทางกับเหนื่อยขนของ

วันรุ่งขึ้นก่อนคุณไมค์จะกลับ เราได้แลกเบอร์ติดต่อกัน เพราะเราอ้างว่าสนใจอยากไปดูงานนิทรรศการเหมือนกัน แต่เพิ่งเข้ามาในวงการนี้ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องคุณไมค์เธอก็ยินดีเป็นไกด์ให้

เราไปเริ่มทำงานวันแรก เจอเพื่อนร่วมงานกับพี่คนไทย(จากทีมเก่า)ขอเรียกว่า “พี่จอย” นะคะ พี่จอยดูเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง พี่เขาถามเราว่าเมื่อคืนคุณไมค์ค้างที่ไหน? เราตกใจมาก จู่ๆมาถามกันแบบนี้ ที่นี่ ต่อหน้าคนอื่น เราช็อคไปเลย

พี่เขาบอกว่าจริงๆแล้วควรจะเป็นเขาที่มาทำงานตรงนี้ เขาวางแผนไว้แล้ว แต่เรามาแย่งไป และเขาก็รู้ด้วยว่าที่เรารีบแย่งรับงานนี้เพราะคุณไมค์ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าปกติเราไม่เคยรับงานที่ต้องไปจอยทีมอื่นกลางคัน เราก็เงียบอีก

แล้วเราก็จำได้ว่าตอนที่ทีมเลี้ยงครั้งสุดท้าย พี่เขาก็บอกว่ามีแพลนที่ต้องไปร่วมงานกับทีมอื่นกลางคัน และพูดติดตลกประมาณว่า “ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ไปจอยทีมอื่นอาจจะไม่สบายใจ แต่ได้เงินพิเศษที่จ่ายชดเชยมาเป็นรายชั่วโมงมันก็คุ้มค่าอยู่” เราไม่รู้เลยว่ามันคืองานเดียวกันกับที่เราได้รับเสนอมา

จริงๆเรื่องแย่งงานมันเป็นอะไรที่แก้ตัวลำบากมาก เพราะอย่างที่เล่าไปว่าการทำงานเป็นทีมแบบนี้ ในทีมจะมีคนที่ถนัดไปคนละทางแล้วมาทำงานร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จริงอยู่ในบางครั้งสามารถเอาคนที่ถนัดทางนึงมาแทนอีกคนได้ ในกรณีที่ไม่มีทางเลือกจริงๆ

ซึ่งในกรณีของเราคือทางนั้นเสนอเรามาก่อน(อย่างเป็นทางการ) เพราะความถนัดเราเป็นทางตรงกับที่เค้าต้องการ และเสนอพี่จอยรวมถึงคนอื่นๆตามลำดับไว้เป็นสำรองในกรณีที่เราปฏิเสธ(ซึ่งตนเองจะรู้โดยอัตโนมัติว่าตนเองเป็นสายตรงหรือสำรองเมื่อได้ลองอ่านเนื้องาน) พี่จอยก็คงมั่นใจว่าได้งานนี้แน่ๆ เพราะเราน่าจะปฏิเสธตามสไตล์ แต่กลายเป็นว่าเราตอบรับ

ส่วนเรื่องคุณไมค์.. อันนี้เราไม่รู้จริงๆว่ายังไง ถ้าจะให้ถามคุณไมค์ว่า “มันยังไงกันนะ?” จะดูแปลกๆหรือเปล่า

ในกรณีถ้ามีอะไรๆระหว่างเขาสองคนที่เราไม่รู้ก็แสดงว่าเขาปกปิดได้แนบเนียนมาก เพราะตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกัน เราว่าเราก็สังเกตในระดับนึง แต่ไม่เจออะไรเลย รวมถึงที่คุณไมค์บอกว่าไม่ได้คบหรือคุยกับใครก็จะเป็นเรื่องโกหกด้วย ถ้าเป็นกรณีนี้ เราก็พร้อมตัดใจค่ะ

แต่..

ถ้าคุณไมค์ก็ไม่ได้รู้เรื่องเหมือนที่เราก็อยู่ของเรา เขาก็อยู่ของเขา พี่จอยและคนอื่นๆก็อยู่ไป แต่เรื่องมันแตกหักตรงที่พี่จอยคิดเหมือนเรา คือชอบคุณไมค์ และคิดจะใช้งานเพื่อเป็นโอกาสเหมือนเรา(และได้เงินพิเศษตามที่พี่เขาพูดด้วย)

แวดวงสังคมในการทำงานของเราไม่ได้กว้างมาก โอกาสที่จะต้องได้ทำงานร่วมกันในอนาคตมีแน่ๆ พี่จอยเป็นคนเก่งและอยู่มานาน(ไม่อย่างนั้นคงไม่ทราบก่อนเอกสารจะออกว่าจะมีการเสนอให้มีการจอยทีมอื่นหลังจากจบงานนั้น) ตอนทำงานด้วยกัน เราก็ได้เรียนรู้หลายอย่างจากพี่จอย

ตอนนี้เราไม่รู้ต้องแก้ปัญหานี้ยังไง? เริ่มตรงไหน? คุยกับใครก่อน?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่