Mount Nemrut เป็นสถานที่โบราณที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของตุรกี สุสานลึกลับบนยอดเขากระจัดกระจายไปด้วยศรีษะหิน แหล่งมรดกโลกขององค์การ UNESCO แห่งนี้ รู้จักกันในภาษาตุรกีว่า Nemrut Dağ หรือ Nemrut Daği สถานที่ห่างไกลในใจกลางอนาโตเลียตอนกลาง โดยชื่อ 'Nemrut Daği' เป็นภาษาตุรกีของ Mount Nimrod (Mount Nemrut) หมายถึง ทั้งภูเขาและสถานที่โบราณที่น่าสนใจซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นสุสานที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญในตัวเอง
การมีอยู่ของโบราณสถานบน Mount Nemrut ไม่ได้เป็นความลับมาตั้งแต่ปี1881 ที่ในขณะนั้น วิศวกรชาวเยอรมันชื่อ Karl Sester กำลังสำรวจเส้นทางคมนาคมผ่านอาณาจักรออตโตมัน (อนาโตเลียตะวันออก) ตามเส้นทางการสื่อสารในสมัยโบราณ ซึ่งแม้ว่าคนในท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และทำงานให้กับ Sester จะไม่สามารถระบุเส้นทางโบราณที่ Sester กำลังมองหาได้ แต่พวกเขาได้แบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจให้เขาทราบเกี่ยวกับรูปปั้นอนุสาวรีย์พิเศษที่อยู่บนภูเขา Nemrut
จากแรงบันดาลใจและความอยากรู้อยากเห็น Sesterจึงจ้างชายชาวเคิร์ดที่ชื่อ Bâko นำทางปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อจะเห็นรูปแกะสลักที่ยิ่งใหญ่ด้วยตาของเขาเอง และได้เขียนบันทึกไว้จนได้รับความสนใจอย่างมาก จนในปีต่อมา สถาบันโบราณคดีเยอรมันได้จัดตั้งคณะสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่นำโดย
Otto Puchstein ที่ในเวลานั้นทำงานอยู่ในอียิปต์ให้ไปตรวจสอบ
Mount Nemrut
เป็นภูเขาสูง 2,134 เมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี มีชื่อเสียงในเรื่องยอดเขาที่มีรูปปั้นขนาดใหญ่จำนวนมากที่สร้างขึ้นรอบ ๆ
ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นสุสานหลวงตั้งแต่ศตวรรษแรกก่อนคริสต์ศักราช
Puchstein ได้รับคำสั่งให้ไปพบกับ Sester เพื่อทำงานเบื้องต้น และสิ่งที่เขาพบนั้นน่าทึ่งมาก Puchstein จึงกลับมาพร้อมกับ Karl Humann ในภารกิจการวิจัยครั้งแรกของตุรกี ภายใต้การดูแลของนักโบราณคดี Osman Hamdi และประติมากร Osgan Effendi โดยทั้งหมดนี้เป็นที่ทราบกันดีในปัจจุบันเกี่ยวกับประวัติของสถานที่สำคัญแห่งนี้ ว่าเกิดจากผลงานของพวกเขาล้วนๆ
โดย Sester และ Puchstein ค้นพบจารึกขนาดยาวที่เขียนด้วยภาษากรีก ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสาเหตุที่อนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นในปี 1883 ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสชื่อ " Le Tumulus de Nemroud Dagh " แม้ว่าตอนนั้นจะยังไม่มีงานโบราณคดีที่จริงจังในสถานที่นี้
แต่เรื่องราวก็ยังคงดำเนินต่อไป และประชาชนทั่วไปเริ่มได้ยินเกี่ยวกับ " hierothesion " ซึ่งเป็นคำภาษากรีกโบราณที่มีความหมายว่า 'ที่นั่งศักดิ์สิทธิ์'
บนภูเขา Nemrut
แม้จะมีการค้นพบที่น่าตื่นเต้น แต่ Mount Nemrut ต้องรอนานกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อกระตุ้นความสนใจของนักวิจัยอีกครั้ง โดยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Friedrich Karl Dörner ได้เดินทางมาถึงอนาโตเลียตะวันออกและเริ่มการวิจัยภูเขาแห่งนี้อย่างเป็นระบบ และสามารถเปิดเผยความลับของภูเขาซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้นหาห้องฝังศพที่ซ่อนอยู่และข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ต่างๆ
แผนของระเบียงตะวันตกและตะวันออกบนภูเขา Nemrut
ของ Humann, Carl i Puchstein และOtto "Reisen ใน Kleinasien und Nordsyrien: ausgeführt im Auftrage der Königlichen Preussischen Akademie der Wissenschaften" Public Domain
แม้ว่า Dörner มักจะได้รับเครดิตในการรวบรวมรายละเอียดของไซต์ แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะผลงานของ Theresa Goell หรือที่เรียกว่า 'Queen of the Mountain' ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับห้องฝังศพที่ซ่อนอยู่ในภูมิภาคสำคัญของโลก รวมถึงการระบุเมืองหลวงในฤดูร้อนของอาณาจักร Commagene, เมืองโบราณ Arsameia on the Nymphaios และ second Arsameia บนแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates)
Mount Nemrut นั้น มีความสูง 2150 เมตรและมีพื้นที่ผิว 13.850 เฮกตาร์ ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้าน Kahta ไปทางเหนือ 40 กม.ของจังหวัด Adıyaman
โดยเมื่อปี 62 ก่อนคริสต์ศักราช King Antiochus I (แอนทิโอคัสที่ 1 ) กษัตริย์อาร์เมเนียและเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักร Commagene ได้สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาขนาบข้างด้วยรูปปั้นขนาดใหญ่ (8-9 เมตร / สูง 26-30 ฟุต) ของตัวเขาเอง และสิงโตสองตัว,นกอินทรีสองตัว และ เทพเจ้ากรีก - เปอร์เซียต่างๆ เช่น
Hercules-Vahagn (เทพเจ้าแห่งไฟ ฟ้าร้องและสงคราม) ,
Zeus-Aramazd (พระเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์) หรือ Oromasdes ,
Tyche (เทพีแห่งโชคลาภ โอกาส ความรอบคอบและโชคชะตา) และ
Apollo-Mithras (พระเจ้าแห่งมิตรภาพ,สัญญา)
โดยรูปปั้นเหล่านี้เคยตั้งตั้งเรียงรายอย่างสง่างามโดยมีชื่อของเทพเจ้าแต่ละองค์จารึกอยู่ ส่วนหัวของรูปปั้นบางองค์ถูกนำออกจากร่างของพวกเขาและกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ และแม้ว่าจะมีการสันนิษฐานว่า Antiochus ถูกฝังอยู่ที่นั่น แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่พบซากศพของเขา
ระเบียงทิศตะวันตกของ Mount Nemrut
รูปปั้นที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ที่ระเบียงตะวันออก แม้ว่ารูปปั้นทั้งหมดจะสูญเสียศีรษะขนาดยักษ์ซึ่งตอนนี้วางอยู่บนพื้น โดยรูปปั้นเทพเจ้าขนาดมหึมาหันหน้าเข้าหาแท่นบูชาหลัก ส่วนที่ระเบียงทิศตะวันตกรูปปั้นส่วนใหญ่ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี และมีความสวยงามเหมือนจริงและได้รับการอนุรักษ์ไว้
นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว Mount Nemrut อันยิ่งใหญ่ของตุรกี ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายพันคนที่หวังว่าจะได้สัมผัสกับพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกที่น่าทึ่ง เนื่องจากรูปปั้นที่ Mount Nemrut เป็นภาพที่ไม่ธรรมดาเมื่อพระอาทิตย์ตกดินและภายใต้แสงดาวยามค่ำคืนที่สวยงาม
ในปี 1987 Mount Nemrut ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO โดยนักท่องเที่ยวจะมาเยี่ยมชม Nemrut ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม และถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์และสถานที่ท่องเที่ยวหลักของตุรกีตะวันออก
รูปปั้นเทพเจ้ายักษ์บนยอดเขา Nemrut (Cr.ภาพ iStock)
ระเบียงตะวันออกบนเขา Nemrut ที่ตั้งของรูปปั้นอนุสาวรีย์
North Terrace บน Mount Nemrut
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ความลึกลับที่มีเสน่ห์ของ " Mount Nemrut " บนยอดเขาของตุรกี
แม้ว่า Dörner มักจะได้รับเครดิตในการรวบรวมรายละเอียดของไซต์ แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะผลงานของ Theresa Goell หรือที่เรียกว่า 'Queen of the Mountain' ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับห้องฝังศพที่ซ่อนอยู่ในภูมิภาคสำคัญของโลก รวมถึงการระบุเมืองหลวงในฤดูร้อนของอาณาจักร Commagene, เมืองโบราณ Arsameia on the Nymphaios และ second Arsameia บนแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates)
Mount Nemrut นั้น มีความสูง 2150 เมตรและมีพื้นที่ผิว 13.850 เฮกตาร์ ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้าน Kahta ไปทางเหนือ 40 กม.ของจังหวัด Adıyaman
โดยเมื่อปี 62 ก่อนคริสต์ศักราช King Antiochus I (แอนทิโอคัสที่ 1 ) กษัตริย์อาร์เมเนียและเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักร Commagene ได้สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาขนาบข้างด้วยรูปปั้นขนาดใหญ่ (8-9 เมตร / สูง 26-30 ฟุต) ของตัวเขาเอง และสิงโตสองตัว,นกอินทรีสองตัว และ เทพเจ้ากรีก - เปอร์เซียต่างๆ เช่น
Hercules-Vahagn (เทพเจ้าแห่งไฟ ฟ้าร้องและสงคราม) ,
Zeus-Aramazd (พระเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์) หรือ Oromasdes ,
Tyche (เทพีแห่งโชคลาภ โอกาส ความรอบคอบและโชคชะตา) และ
Apollo-Mithras (พระเจ้าแห่งมิตรภาพ,สัญญา)
โดยรูปปั้นเหล่านี้เคยตั้งตั้งเรียงรายอย่างสง่างามโดยมีชื่อของเทพเจ้าแต่ละองค์จารึกอยู่ ส่วนหัวของรูปปั้นบางองค์ถูกนำออกจากร่างของพวกเขาและกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ และแม้ว่าจะมีการสันนิษฐานว่า Antiochus ถูกฝังอยู่ที่นั่น แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่พบซากศพของเขา