สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเล่าชีวประว้ติคร่าวๆ ของแฟนเราให้เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ สมาชิกเวปพันทิพได้ฟัง เพื่อไว้เป็นแนวทางและกำลังใจสำหรับคนที่อยากจะมาเรียน(หรือทำงาน)ต่างประเทศ แต่ไม่มีกำลังทรัพย์ พ่อแม่ไม่รวย สอบชิงทุนในประเทศไม่ผ่าน หรือไม่อยากได้ทุนที่ต้องมาทำงานใช้คืนเป็นเวลาสองสามเท่า
เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยนะคะ แฟนเราเป็นเด็กในจังหวัดเล็กๆธรรมดาจังหวัดนึงในภาคกลาง เป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เขาโตมาด้วยความธรรมดาแบบเด็กทั่วไป ไม่เคยได้เรียนพิเศษ วันเสาร์-อาทิตย์ก็อยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้าน
โตมาหน่อยระดับปริญญาตรีเขาสอบเข้าวิศวะได้ที่ลาดกระบัง เริ่มฉายแววเรียนดี คงเป็นสาขาที่เขาชอบ เรียนจบปริญญาตรีเขาก็มีความฝันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ สมัยนั้น work and travel ยังไม่บูม หลักสูตรเรียนภาษาต่างประเทศก็ยังไม่ครึกโครมเหมือนสมัยนี้ เขาก็คิดไว้ว่าจะเรียนต่อปริญญาโททางด้านวิศวะของเขาเพื่อเปิดหูเปิดตา
หลังเรียนจบ แฟนเราทำงานได้ปีกว่าถึงสองปีก็เริ่มมีเงินเก็บ ก็พอดีกับจังหวะที่จะเริ่มสมัครเรียนต่อ จำได้ว่าเราไปเดินงานเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศกันที่เค้ามาออกบูทที่ศูนย์ประชุม ชักชวนให้คนไปเรียนยูนั้นยูนี้ อะไรทำนองนี้ ด้วยเงินเก็บที่มีอยู่ เขากะว่าจะไปขอแม่อีกซักหนึ่งแสนบาทแล้วจะสมัครไปเรียนที่ออสเตรเลีย เนื่องด้วยราคาพอไหว ถูกกว่าทางยุโรปหรือฝั่งอเมริกา
แต่แล้วก็ต้องพอกับความผิดหวัง เมื่อแม่ไม่ให้สตางค์มาสมทบ พร้อมบอกว่าจะไปทำไม เรียนในประเทศไทยก็ได้นี่
ด้วยความอยากเรียน แต่ไม่มีสตางค์พอ แฟนเราจึงจำยอมเรียนในไทยก็ได้ ว่าแล้วก็ไปสมัครเรียนที่ AIT ใกล้รังสิต อย่างน้อยมันก็อินเตอร์นิดๆ ใกล้เคียงเมืองนอกหน่อยๆ มีนักเรียนต่างชาติประเทศอื่นๆในแถบเอเชียมาเรียนเยอะพอสมควร ได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษด้วย
ทีนี้เวลาเรียนก็ต้องเลือกอาจารย์ที่ปรีกษาสำหรับทำ thesis
น้องๆเพื่อนๆทั้งหลายจำไว้เลยนะคะ อาจารย์ที่ปรึกษาสำหรับการเรียนปริญญาโทและเอกคือสำคัญมาก จะจบไม่จบ รุ่งหรือร่วงชีวิตเราขึ้นอยู่กับเค้า บางคนเสียเวลาเรียนไปหลายปี แต่ไม่ได้ใบปริญญาหรือไม่ได้วุฒิ เพราะอาจารย์ที่ปรีกษาไม่ให้ผ่านก็มี บางคนเขาไล่ให้จบแต่ให้วุฒิแค่ป.โททั้งๆที่ตอนสมัคร สมัครเรียนสำหรับปริญญาเอกก็มี
อ่ะมาต่อเรื่องอาจารย์ที่ปรีกษา แฟนเราเขาเลือกอาจารย์คนหนึ่ง ขอเรียกว่าอาจารย์ D นะคะ อาจารย์ D เป็นคนอินเดีย เด็กในกลุ่มของเขาส่วนมากเป็นคนชาติอื่น มีเพียงแฟนเราแล้วก็พี่อีกคนที่เป็นคนไทย แฟนเราบอกว่าเด็กไทยส่วนใหญ่มักเลือกแต่อาจารย์คนไทย แต่แฟนเราเห็นว่าอาจารย์ D เขาเป็นคน active ชอบทำงานเยอะ เลยเลือกเข้ากลุ่มอาจารย์ D นี่แหละ
อาจารย์ D คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้แฟนเราได้มาเรียนต่อที่อเมริกาค่ะ อย่างเราบอกอาจารย์ที่ปรีกษาสำคัญ ส่วนนึงก็เพราะอาจารย์แต่ละคน เค้าจะมี connection ของเค้า เค้ารู้จักใครบ้าง เค้านิสัยอย่างไร เค้าอยากจะช่วยเหลือผลักดันลูกศิษย์ให้ไปในที่ดีๆหรือไม่ หรือว่าเค้าไม่แคร์เค้าแค่มาสอนตามหน้าที่ อาจารย์แต่ละคนจะต่างกันตรงนี้
อาจารย์ D เป็นอาจารย์ที่ดีมาก (ตัวไม่เหม็นกลิ่นเครื่องเทศด้วย อันนี้ขอนอกเรื่องนิดนึง ^^” อยากให้คนไทยมองคนอินเดียใรแง่ที่ดีขึ้น บางทีเราก็ไปติดภาพว่าคนอินเดียเค้าจะมีกลิ่นเครื่องเทศแรง แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีกลิ่นนะคะ ขึ้นอยู่กับว่าในชีวิตประจำวันคนนั้นเค้ากินอาหารอะไรเป็นส่วนใหญ่) อาจารย์ D เป็นคนไม่ถือตัว ชอบคุย เขาไปรู้จักถูกคอกับเพื่อนคนอินเดียด้วยกันจากการไปประชุมวิชาการ เพื่อนอาจารย์นั้นขอเรียกว่าอาจารย์ S นะคะ อาจารย์ S สอนอยู่ที่ University of California ที่เมืองเบิร์กเล่ย์ (UCB) เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังในหลายสาขา หนึ่งในนั้นคือด้านวิศวะที่แฟนเราชอบ
อาจารย์ D เขาก็ชวนอาจารย์ S มาชม Lab ของเขาที่ AIT มาพูดให้เด็กของอาจารย์ D ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์ S ทำวิจัยอยู่ อาจารย์ S เขาพูดดีมาก วันนั้นวันเสาร์เราอยู่กับแฟนพอดี อาจารย์ D ก็ชวนเราไปนั่งฟังด้วย เราไม่มีความรู้ทางด้านวิศวะเลย แต่จำได้ว่าเข้าใจที่ อาจารย์ S พูด ^o^
อาจารย์ D เขาเห็นแฟนเราเป็นเด็กขยัน ตั้งใจดีมีความพยายาม เขาก็แนะนำให้อาจารย์ S รับไว้ เหมือนส่งไม้ต่อ ผลักดันให้ไปเรียนปริญญาเอกโดยเข้ากลุ่มกับอาจารย์ S ที่อเมริกา
อาจารย์ S ก็บ้าจี้ รับปากว่าจะรับเข้ากลุ่ม แต่ว่าแฟนเราต้องสอบให้ผ่าน standard ขั้นต่ำที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้ได้ก่อน (พวก GMAT,GRE,TOEFL ทั้งหลาย)
ถึงแม้ว่าแฟนเราจะเรียนที่ AIT มาซักพักแล้ว แต่ว่าแฟนเราก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษเลิศเลอขนาดนั้น คราวนี้ก็ถึงเวลาติวเข้มภาษาอังกฤษ แฟนเราก็ไปลงเรียนพิเศษคอร์ส TOEFL,GRE อาจารย์ D ก็สนับสนุนเต็มที่ให้แฟนเราฝึกเขียน writing แล้วไปให้ภรรยาอาจารย์ช่วยตรวจช่วยแก้ทุกอาทิตย์ (ภรรยาอาจารย์เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในอินเดียค่ะ)
ติวเข้มอยู่ประมาณ 6 เดือน -1 ปี (จำเวลาได้ไม่แน่นอนนัก) แฟนเราก็สอบได้คะแนนตามเกณฑ์ที่ UCB กำหนด ฮูเร่
ทีนี้ก็แค่ส่งใบสมัครค่ะ ไม่นานแฟนเราก็ได้รับจดหมายตอบรับให้เข้าเรียนจาก UCB ^.^
อ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งคิดว่าแฟนเราได้อะไรมาง่ายๆนะคะ ระหว่างที่เรียนโทที่ AIT นี้แฟนเราเขาก็เลี้ยงตัวเอง จ่ายค่าเรียนเอง ไม่ได้ขอตังพ่อแม่
เขารับจ๊อบเล็กๆน้อยๆจากที่ทำงานเดิม และช่วยอาจารย์ D ดูแล lab (พูดง่ายๆคือเป็น lab boy) อาจารย์ D ก็ให้ค่าจ้างนิดหน่อยพออยู่ได้
พอเลี้ยงข้าวจีบสาววันเสาร์-อาทิตย์ได้ อิอิ
เอาล่ะ เข้าเรื่องต่อดีกว่าเนอะ การเข้าเรียนป.เอกครั้งนี้ อาจารย์ S เป็นคนสปอนเซอร์ให้ทั้งหมดค่ะ แฟนเราจ่ายแค่ค่าเครื่องบินบินไปให้ถึงเท่านั้น
ค่าเรียน ค่าที่พัก ค่ากินอยู่รายเดือน อาจารย์ S ออกให้ค่ะ เรียนจบ ก็ทางใครทางมัน ไม่ต้องใช้หนี้หรือใช้ทุนให้ใคร เหมือนกับอาจารย์ S จ้างให้มาทำงาน แล้วของแถมเราคือได้วุฒิป.เอกหลังจากทำงานเสร็จ
เด็กทุกคนในกลุ่มอาจารย์ S สิบกว่าคน อาจารย์ S ออกตังค์ค่าเรียนให้หมดทุกคนนะคะ ไม่ได้ลำเอียงให้แค่แฟนเราคนเดียว
อ้าวแล้วอาจารย์ S เอาเงินมาจากไหน อาจารย์ S เขาก็เป็นคนพูดเก่งค่ะ รู้จักคนเยอะ หาสปอนเซอร์เก่ง เขาเอาเงินมาจากบริษัทต่างๆที่ให้เงินมาทำวิจัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ มาจ้างนักเรียนป.เอกทำวิจัยภายให้การดูแลของอาจารย์ S อาจารย์ S ก็ได้คนมาช่วยทำงานวิจัย ได้ชื่อเสียงจากการตีพิมพ์เปเปอร์ นักเรียนก็ได้เรียนรู้หาประสบการณ์ ได้วุฒิ บริษัทก็เอาผลวิจัยไปต่อยอด โอ๊ย win-win กันทุกฝ่ายค่ะ
ในเมื่ออาจารย์ S เขาเป็นคนออกตังค์ให้เรามาเรียนใช่มั้ยคะ การคัดคน เลือกคนมาเข้ากลุ่มเขาก็จะเลือกเอาแต่คนที่เขามั่นใจแล้วว่าดีมีคุณภาพ ไม่ใช่เลือกใครก็ได้หรือสุ่มเลือกมั่วๆ เพราะหากได้คนไม่ดี ทำวิจัยไม่เป็นไม่ได้เรื่อง ไม่มีผลงานออกมา อาจารย์เขาก็เสียหายหลายแสนเพราะเขาออกตังให้ไปแล้ว ทำให้มหาวิทยาลัยดังๆต่างๆจึงเข้ายากมาก
และนี่เอง ที่เป็นช่องโหว่ของระบบค่ะ อาจารย์บางคนคอนเนคชั่นไม่ดี ไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีคนมาจ้างให้ทำวิจัย แต่อาจารย์ก็ต้องการผลงานการตีพิมเปเปอร์เหมือนกัน ทำให้อาจารย์เลือกที่จะรับเด็กที่มีทุนมาเรียนเองอยู่แล้ว เช่นเด็กที่พ่อแม่ร่ำรวย เด็กที่ได้ทุนมาจากประเทศตัวเอง เด็กเหล่านี้ถือว่าเป็นแรงงานฟรี ทำงานให้อาจารย์ได้อัพเลเวลตีพิมเปเปอร์เหมือนกันแต่อาจารย์ไม่ต้องดิ้นรนมากนัก ระหว่างเรียนแฟนเราเล่าให้ฟัง อาจารย์ S แนะนำให้แฟนเราไปขอคำแนะนำจากอาจารย์ M ในเรื่องบางอย่าง แต่อาจารย์ M เป็นคนขี้จุกจิก ไม่ค่อยเป็นมิตรและถือตัวมาก ต้องใช้คำพูดแบบทางการคุยด้วยตลอด อาจารย์ M ไม่มีบริษัทมาสปอนเซอร์ และอาจารย์ M ก็มีเด็กใต้สังกัดแค่คนเดียว ซึ่งเป็นเด็กทุนมาจากต่างประเทศแถบตะวันออกกลาง และเด็กคนนั้นไม่ค่อยเก่งเท่าใดนัก แต่อาจารย์ M ก็รับไว้
แฟนเราเรียนอยู่กับอาจารย์ S 6 ปี อาจารย์ S เปรียนเสมือนพ่อ เพื่อน และอาจารย์ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ S เป็นคนที่เราเคารพและเป็นต้นแบบที่เราเลือกเดินตามอยู่เสมอ
หลังจากแฟนเรามาเรียนที่อเมริกาได้ไม่นานเราก็ตามมาด้วยค่ะ เรามีโอกาสได้พบอาจารย์ S อยู่บ่อยๆ อาจารย์ S ไม่ถือตัวเลย เราได้ไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนๆของแฟน เด็กกลุ่มอาจารย์ S อยู่หลายครั้ง อาจารย์ S ชอบเตะบอลและมีปาร์ตี้บาร์บีคิวเดือนละครั้ง มีพาไปเที่ยวเล่นสกีด้วย โดยอาจารย์ S ออกค่าเที่ยวให้ ตอนไปสกีที่ภูเขาอาจารย์ S ชวนเด็กในกลุ่มไปหมด เราไม่เกี่ยวเป็นแค่แฟนก็ได้ไป เด็กที่มาแลกเปลี่ยน หรือมาแจมวิจัยนิดหน่อยชั่วคราวก็ได้ไป เด็กคนไหนที่ไม่เคยเล่นสกีอาจารย์ S จะจับสอนให้หมด ล้มตัวระบมกันไปเป็นแถบๆ
อาจารย์ S ถือพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็น ให้เด็กๆคลายเครียดและสนิทกันมากขึ้น
เวลาอาจารย์ S ไปธุระไกลๆที่ต้องค้างหลายวัน อาจารย์มักจะจ้างนักเรียนให้ไปอยู่ที่บ้านของแกให้ช่วยให้อาหารหมาและเฝ้าบ้านให้ เรากับแฟนก็ได้ทำหน้าที่นี้อยู่บ่อยๆ ซี่งเราชอบมาก ได้ไปอยู่บ้านหรูหลังใหญ่ วิวสวยบน hill มี hot tub เน็ตแรง แถมยังได้ตังค์อีกต่างหาก (ตอนเป็นนักเรียนแฟนเราประหยัดเลือกเน็ตแบบราคาถูกที่สุด มันก็จะช้าๆหน่อย ฮ่าๆ)
อาจารย์ S จะคอยสอบถามเด็กทุกคนว่าหลังจบป.เอกแล้วอยากทำอะไรต่อ หากทางที่เราอยากไปอาจารย์ช่วยได้เขาก็จะช่วยเต็มที่
แฟนเราบอกว่าอยากทำงานบริษัท Steve Jobs อาจารย์ S ก็กริ๊งกร็างแปบเดียวแฟนเราก็ได้สัมภาษณ์และก็ได้ทำที่แอปเปิ้ลสมใจอยาก
อ๊ะๆ อย่าเพื่งเข้าใจผิด อาจารย์ช่วยแค่ให้ได้มีโอกาสสัมภาษณ์เท่านั้นนะคะ การจะถูกรับเข้าทำงานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราเอง แฟนเราก็มีไปสัมภาษณ์ที่บริษัทอื่นแล้วเค้าไม่รับเหมือนกัน
จากวันนั้นถึงวันนี้ แฟนเราก็ทำงานอยู่ที่แอปเปิ้ลมาได้ 7 ปีแล้วค่ะ จากชีวิตเด็กบ้านนอก ฝ่าฟันสู่ใจกลางเมือง Silicon Valley ชีวิตก็ต้องสู้กันต่อไป
ข้อสังเกตจากเรานะคะ
ตัวแปรที่สำคัญแรกเลยคือการที่แฟนเราเลือกอาจารย์ D เป็นที่ปรึกษา ถ้าไม่มีอาจารย์ D ก็ไม่มีคอนเนคชั่นถึงอาจารย์ S การเลือกไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ทำให้แฟนเราได้รับจุดแตกต่าง เราไม่ได้หมายความว่าอาจารย์คนอื่นไม่ดีนะคะ แต่ว่าอาจารย์คนอื่นก็จะมีคอนเนคชั่นในแบบของเค้า ซึ่งคอนเนคชั่นนั้นอาจไม่ใช่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ถ้าไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโอกาสที่อาจารย์จะมีเงินสปอนเซอร์ให้นักเรียนก็น้อยลงไป
ข้อที่สองคือเราต้องตั้งใจอยู่ตลอด เป็นคนดี มีความพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หากแฟนเราทำตัวขี้เกียจ อาจารย์ D ไม่เห็นแวว เขาก็คงไม่แนะนำแฟนเราให้อาจารย์ S ให้เสียชื่อและเสียเพื่อน
ข้อสาม เมื่อได้มาเรียนยูดังแล้วก็ห้ามแผ่ว ให้ตั้งใจต่อไป แฟนเราบอกว่าคนบางคนพอเข้ายูดังได้แล้วก็เหมือนประสบความสำเร็จแล้ว ทำให้แผ่วลง ไม่กระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อน อันนี้จะส่งผลต่อการสมัครงานหลังเรียนจบค่ะ หากเราไม่ดี อาจารย์เขาก็คงไม่อยากแนะนำเราให้บริษัทต่างๆให้เขาเสียชื่อ เราเห็นบางคนเมื่อเรียนจบแล้วอาจารย์ก็ไม่ได้ช่วยแนะนำกริ๊งกร๊างอะไรเลยนะคะ หางานเอง หาไม่ได้ก็ต้องกลับบ้านตัวเองไป คือถ้าไม่ใช่ American citizen หลังเรียนจบเราสามารถสมัคร opt เพื่อหางานในอเมริกาได้ค่ะ (ประมาณ 1ปี) ถ้าหางานไม่ได้ภายใน 1 ปีก็ต้องกลับบ้านค่ะ ถ้าอยากอยู่ต่อก็ต้องเปลี่ยนประเภทวีซ่ากันไป
แฟนเราโชคดีได้งาน บริษัทก็สปอนเซอร์วีซ่าให้ค่ะ เปลี่ยนสถานะจาก student visa เป็น working visa หลังจากทำงานได้สองปีบริษัทก็ทำเรื่องสปอนเซอร์กรีนการ์ดให้
เรื่องสุดท้ายที่อยากจะบอก : ตอนนี้อาจารย์ D ไม่ได้สอนอยู่ที่ AIT แล้วนะคะ เขาออกไปอยู่มหาลัยแถบยุโรปนานแล้ว บอกว่าเบื่อการเมืองภายใน AIT ^^”
อาจารย์ S ก็ไม่ได้สอนอยู่ที่ UCB แล้วเช่นกันค่ะ เพิ่งถูกมหาลัยในยุโรปซื้อตัวไปเมื่อสองปีก่อน ^^”
สุดท้ายนี้ เราหวังว่าเรื่องของแฟนเราจะช่วยเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคน ที่กำลังมีความฝัน ขอให้ใช้ความพยายาม ให้มีความมุ่งมั่นต่อไปนะคะ ขีดเส้นทางเดินชีวิตของตัวเอง ตามหาอาจารย์ D อาจารย์ S ของตัวเองกันนะคะ
เด็กนอกเมือง เรียนเมืองนอก ทำงานขายแอปเปิ้ล ทำได้ยังไง?
เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยนะคะ แฟนเราเป็นเด็กในจังหวัดเล็กๆธรรมดาจังหวัดนึงในภาคกลาง เป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เขาโตมาด้วยความธรรมดาแบบเด็กทั่วไป ไม่เคยได้เรียนพิเศษ วันเสาร์-อาทิตย์ก็อยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้าน
โตมาหน่อยระดับปริญญาตรีเขาสอบเข้าวิศวะได้ที่ลาดกระบัง เริ่มฉายแววเรียนดี คงเป็นสาขาที่เขาชอบ เรียนจบปริญญาตรีเขาก็มีความฝันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ สมัยนั้น work and travel ยังไม่บูม หลักสูตรเรียนภาษาต่างประเทศก็ยังไม่ครึกโครมเหมือนสมัยนี้ เขาก็คิดไว้ว่าจะเรียนต่อปริญญาโททางด้านวิศวะของเขาเพื่อเปิดหูเปิดตา
หลังเรียนจบ แฟนเราทำงานได้ปีกว่าถึงสองปีก็เริ่มมีเงินเก็บ ก็พอดีกับจังหวะที่จะเริ่มสมัครเรียนต่อ จำได้ว่าเราไปเดินงานเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศกันที่เค้ามาออกบูทที่ศูนย์ประชุม ชักชวนให้คนไปเรียนยูนั้นยูนี้ อะไรทำนองนี้ ด้วยเงินเก็บที่มีอยู่ เขากะว่าจะไปขอแม่อีกซักหนึ่งแสนบาทแล้วจะสมัครไปเรียนที่ออสเตรเลีย เนื่องด้วยราคาพอไหว ถูกกว่าทางยุโรปหรือฝั่งอเมริกา
แต่แล้วก็ต้องพอกับความผิดหวัง เมื่อแม่ไม่ให้สตางค์มาสมทบ พร้อมบอกว่าจะไปทำไม เรียนในประเทศไทยก็ได้นี่
ด้วยความอยากเรียน แต่ไม่มีสตางค์พอ แฟนเราจึงจำยอมเรียนในไทยก็ได้ ว่าแล้วก็ไปสมัครเรียนที่ AIT ใกล้รังสิต อย่างน้อยมันก็อินเตอร์นิดๆ ใกล้เคียงเมืองนอกหน่อยๆ มีนักเรียนต่างชาติประเทศอื่นๆในแถบเอเชียมาเรียนเยอะพอสมควร ได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษด้วย
ทีนี้เวลาเรียนก็ต้องเลือกอาจารย์ที่ปรีกษาสำหรับทำ thesis
น้องๆเพื่อนๆทั้งหลายจำไว้เลยนะคะ อาจารย์ที่ปรึกษาสำหรับการเรียนปริญญาโทและเอกคือสำคัญมาก จะจบไม่จบ รุ่งหรือร่วงชีวิตเราขึ้นอยู่กับเค้า บางคนเสียเวลาเรียนไปหลายปี แต่ไม่ได้ใบปริญญาหรือไม่ได้วุฒิ เพราะอาจารย์ที่ปรีกษาไม่ให้ผ่านก็มี บางคนเขาไล่ให้จบแต่ให้วุฒิแค่ป.โททั้งๆที่ตอนสมัคร สมัครเรียนสำหรับปริญญาเอกก็มี
อ่ะมาต่อเรื่องอาจารย์ที่ปรีกษา แฟนเราเขาเลือกอาจารย์คนหนึ่ง ขอเรียกว่าอาจารย์ D นะคะ อาจารย์ D เป็นคนอินเดีย เด็กในกลุ่มของเขาส่วนมากเป็นคนชาติอื่น มีเพียงแฟนเราแล้วก็พี่อีกคนที่เป็นคนไทย แฟนเราบอกว่าเด็กไทยส่วนใหญ่มักเลือกแต่อาจารย์คนไทย แต่แฟนเราเห็นว่าอาจารย์ D เขาเป็นคน active ชอบทำงานเยอะ เลยเลือกเข้ากลุ่มอาจารย์ D นี่แหละ
อาจารย์ D คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้แฟนเราได้มาเรียนต่อที่อเมริกาค่ะ อย่างเราบอกอาจารย์ที่ปรีกษาสำคัญ ส่วนนึงก็เพราะอาจารย์แต่ละคน เค้าจะมี connection ของเค้า เค้ารู้จักใครบ้าง เค้านิสัยอย่างไร เค้าอยากจะช่วยเหลือผลักดันลูกศิษย์ให้ไปในที่ดีๆหรือไม่ หรือว่าเค้าไม่แคร์เค้าแค่มาสอนตามหน้าที่ อาจารย์แต่ละคนจะต่างกันตรงนี้
อาจารย์ D เป็นอาจารย์ที่ดีมาก (ตัวไม่เหม็นกลิ่นเครื่องเทศด้วย อันนี้ขอนอกเรื่องนิดนึง ^^” อยากให้คนไทยมองคนอินเดียใรแง่ที่ดีขึ้น บางทีเราก็ไปติดภาพว่าคนอินเดียเค้าจะมีกลิ่นเครื่องเทศแรง แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีกลิ่นนะคะ ขึ้นอยู่กับว่าในชีวิตประจำวันคนนั้นเค้ากินอาหารอะไรเป็นส่วนใหญ่) อาจารย์ D เป็นคนไม่ถือตัว ชอบคุย เขาไปรู้จักถูกคอกับเพื่อนคนอินเดียด้วยกันจากการไปประชุมวิชาการ เพื่อนอาจารย์นั้นขอเรียกว่าอาจารย์ S นะคะ อาจารย์ S สอนอยู่ที่ University of California ที่เมืองเบิร์กเล่ย์ (UCB) เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังในหลายสาขา หนึ่งในนั้นคือด้านวิศวะที่แฟนเราชอบ
อาจารย์ D เขาก็ชวนอาจารย์ S มาชม Lab ของเขาที่ AIT มาพูดให้เด็กของอาจารย์ D ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์ S ทำวิจัยอยู่ อาจารย์ S เขาพูดดีมาก วันนั้นวันเสาร์เราอยู่กับแฟนพอดี อาจารย์ D ก็ชวนเราไปนั่งฟังด้วย เราไม่มีความรู้ทางด้านวิศวะเลย แต่จำได้ว่าเข้าใจที่ อาจารย์ S พูด ^o^
อาจารย์ D เขาเห็นแฟนเราเป็นเด็กขยัน ตั้งใจดีมีความพยายาม เขาก็แนะนำให้อาจารย์ S รับไว้ เหมือนส่งไม้ต่อ ผลักดันให้ไปเรียนปริญญาเอกโดยเข้ากลุ่มกับอาจารย์ S ที่อเมริกา
อาจารย์ S ก็บ้าจี้ รับปากว่าจะรับเข้ากลุ่ม แต่ว่าแฟนเราต้องสอบให้ผ่าน standard ขั้นต่ำที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้ได้ก่อน (พวก GMAT,GRE,TOEFL ทั้งหลาย)
ถึงแม้ว่าแฟนเราจะเรียนที่ AIT มาซักพักแล้ว แต่ว่าแฟนเราก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษเลิศเลอขนาดนั้น คราวนี้ก็ถึงเวลาติวเข้มภาษาอังกฤษ แฟนเราก็ไปลงเรียนพิเศษคอร์ส TOEFL,GRE อาจารย์ D ก็สนับสนุนเต็มที่ให้แฟนเราฝึกเขียน writing แล้วไปให้ภรรยาอาจารย์ช่วยตรวจช่วยแก้ทุกอาทิตย์ (ภรรยาอาจารย์เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในอินเดียค่ะ)
ติวเข้มอยู่ประมาณ 6 เดือน -1 ปี (จำเวลาได้ไม่แน่นอนนัก) แฟนเราก็สอบได้คะแนนตามเกณฑ์ที่ UCB กำหนด ฮูเร่
ทีนี้ก็แค่ส่งใบสมัครค่ะ ไม่นานแฟนเราก็ได้รับจดหมายตอบรับให้เข้าเรียนจาก UCB ^.^
อ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งคิดว่าแฟนเราได้อะไรมาง่ายๆนะคะ ระหว่างที่เรียนโทที่ AIT นี้แฟนเราเขาก็เลี้ยงตัวเอง จ่ายค่าเรียนเอง ไม่ได้ขอตังพ่อแม่
เขารับจ๊อบเล็กๆน้อยๆจากที่ทำงานเดิม และช่วยอาจารย์ D ดูแล lab (พูดง่ายๆคือเป็น lab boy) อาจารย์ D ก็ให้ค่าจ้างนิดหน่อยพออยู่ได้
พอเลี้ยงข้าวจีบสาววันเสาร์-อาทิตย์ได้ อิอิ
เอาล่ะ เข้าเรื่องต่อดีกว่าเนอะ การเข้าเรียนป.เอกครั้งนี้ อาจารย์ S เป็นคนสปอนเซอร์ให้ทั้งหมดค่ะ แฟนเราจ่ายแค่ค่าเครื่องบินบินไปให้ถึงเท่านั้น
ค่าเรียน ค่าที่พัก ค่ากินอยู่รายเดือน อาจารย์ S ออกให้ค่ะ เรียนจบ ก็ทางใครทางมัน ไม่ต้องใช้หนี้หรือใช้ทุนให้ใคร เหมือนกับอาจารย์ S จ้างให้มาทำงาน แล้วของแถมเราคือได้วุฒิป.เอกหลังจากทำงานเสร็จ
เด็กทุกคนในกลุ่มอาจารย์ S สิบกว่าคน อาจารย์ S ออกตังค์ค่าเรียนให้หมดทุกคนนะคะ ไม่ได้ลำเอียงให้แค่แฟนเราคนเดียว
อ้าวแล้วอาจารย์ S เอาเงินมาจากไหน อาจารย์ S เขาก็เป็นคนพูดเก่งค่ะ รู้จักคนเยอะ หาสปอนเซอร์เก่ง เขาเอาเงินมาจากบริษัทต่างๆที่ให้เงินมาทำวิจัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ มาจ้างนักเรียนป.เอกทำวิจัยภายให้การดูแลของอาจารย์ S อาจารย์ S ก็ได้คนมาช่วยทำงานวิจัย ได้ชื่อเสียงจากการตีพิมพ์เปเปอร์ นักเรียนก็ได้เรียนรู้หาประสบการณ์ ได้วุฒิ บริษัทก็เอาผลวิจัยไปต่อยอด โอ๊ย win-win กันทุกฝ่ายค่ะ
ในเมื่ออาจารย์ S เขาเป็นคนออกตังค์ให้เรามาเรียนใช่มั้ยคะ การคัดคน เลือกคนมาเข้ากลุ่มเขาก็จะเลือกเอาแต่คนที่เขามั่นใจแล้วว่าดีมีคุณภาพ ไม่ใช่เลือกใครก็ได้หรือสุ่มเลือกมั่วๆ เพราะหากได้คนไม่ดี ทำวิจัยไม่เป็นไม่ได้เรื่อง ไม่มีผลงานออกมา อาจารย์เขาก็เสียหายหลายแสนเพราะเขาออกตังให้ไปแล้ว ทำให้มหาวิทยาลัยดังๆต่างๆจึงเข้ายากมาก
และนี่เอง ที่เป็นช่องโหว่ของระบบค่ะ อาจารย์บางคนคอนเนคชั่นไม่ดี ไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีคนมาจ้างให้ทำวิจัย แต่อาจารย์ก็ต้องการผลงานการตีพิมเปเปอร์เหมือนกัน ทำให้อาจารย์เลือกที่จะรับเด็กที่มีทุนมาเรียนเองอยู่แล้ว เช่นเด็กที่พ่อแม่ร่ำรวย เด็กที่ได้ทุนมาจากประเทศตัวเอง เด็กเหล่านี้ถือว่าเป็นแรงงานฟรี ทำงานให้อาจารย์ได้อัพเลเวลตีพิมเปเปอร์เหมือนกันแต่อาจารย์ไม่ต้องดิ้นรนมากนัก ระหว่างเรียนแฟนเราเล่าให้ฟัง อาจารย์ S แนะนำให้แฟนเราไปขอคำแนะนำจากอาจารย์ M ในเรื่องบางอย่าง แต่อาจารย์ M เป็นคนขี้จุกจิก ไม่ค่อยเป็นมิตรและถือตัวมาก ต้องใช้คำพูดแบบทางการคุยด้วยตลอด อาจารย์ M ไม่มีบริษัทมาสปอนเซอร์ และอาจารย์ M ก็มีเด็กใต้สังกัดแค่คนเดียว ซึ่งเป็นเด็กทุนมาจากต่างประเทศแถบตะวันออกกลาง และเด็กคนนั้นไม่ค่อยเก่งเท่าใดนัก แต่อาจารย์ M ก็รับไว้
แฟนเราเรียนอยู่กับอาจารย์ S 6 ปี อาจารย์ S เปรียนเสมือนพ่อ เพื่อน และอาจารย์ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ S เป็นคนที่เราเคารพและเป็นต้นแบบที่เราเลือกเดินตามอยู่เสมอ
หลังจากแฟนเรามาเรียนที่อเมริกาได้ไม่นานเราก็ตามมาด้วยค่ะ เรามีโอกาสได้พบอาจารย์ S อยู่บ่อยๆ อาจารย์ S ไม่ถือตัวเลย เราได้ไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนๆของแฟน เด็กกลุ่มอาจารย์ S อยู่หลายครั้ง อาจารย์ S ชอบเตะบอลและมีปาร์ตี้บาร์บีคิวเดือนละครั้ง มีพาไปเที่ยวเล่นสกีด้วย โดยอาจารย์ S ออกค่าเที่ยวให้ ตอนไปสกีที่ภูเขาอาจารย์ S ชวนเด็กในกลุ่มไปหมด เราไม่เกี่ยวเป็นแค่แฟนก็ได้ไป เด็กที่มาแลกเปลี่ยน หรือมาแจมวิจัยนิดหน่อยชั่วคราวก็ได้ไป เด็กคนไหนที่ไม่เคยเล่นสกีอาจารย์ S จะจับสอนให้หมด ล้มตัวระบมกันไปเป็นแถบๆ
อาจารย์ S ถือพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็น ให้เด็กๆคลายเครียดและสนิทกันมากขึ้น
เวลาอาจารย์ S ไปธุระไกลๆที่ต้องค้างหลายวัน อาจารย์มักจะจ้างนักเรียนให้ไปอยู่ที่บ้านของแกให้ช่วยให้อาหารหมาและเฝ้าบ้านให้ เรากับแฟนก็ได้ทำหน้าที่นี้อยู่บ่อยๆ ซี่งเราชอบมาก ได้ไปอยู่บ้านหรูหลังใหญ่ วิวสวยบน hill มี hot tub เน็ตแรง แถมยังได้ตังค์อีกต่างหาก (ตอนเป็นนักเรียนแฟนเราประหยัดเลือกเน็ตแบบราคาถูกที่สุด มันก็จะช้าๆหน่อย ฮ่าๆ)
อาจารย์ S จะคอยสอบถามเด็กทุกคนว่าหลังจบป.เอกแล้วอยากทำอะไรต่อ หากทางที่เราอยากไปอาจารย์ช่วยได้เขาก็จะช่วยเต็มที่
แฟนเราบอกว่าอยากทำงานบริษัท Steve Jobs อาจารย์ S ก็กริ๊งกร็างแปบเดียวแฟนเราก็ได้สัมภาษณ์และก็ได้ทำที่แอปเปิ้ลสมใจอยาก
อ๊ะๆ อย่าเพื่งเข้าใจผิด อาจารย์ช่วยแค่ให้ได้มีโอกาสสัมภาษณ์เท่านั้นนะคะ การจะถูกรับเข้าทำงานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราเอง แฟนเราก็มีไปสัมภาษณ์ที่บริษัทอื่นแล้วเค้าไม่รับเหมือนกัน
จากวันนั้นถึงวันนี้ แฟนเราก็ทำงานอยู่ที่แอปเปิ้ลมาได้ 7 ปีแล้วค่ะ จากชีวิตเด็กบ้านนอก ฝ่าฟันสู่ใจกลางเมือง Silicon Valley ชีวิตก็ต้องสู้กันต่อไป
ข้อสังเกตจากเรานะคะ
ตัวแปรที่สำคัญแรกเลยคือการที่แฟนเราเลือกอาจารย์ D เป็นที่ปรึกษา ถ้าไม่มีอาจารย์ D ก็ไม่มีคอนเนคชั่นถึงอาจารย์ S การเลือกไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ทำให้แฟนเราได้รับจุดแตกต่าง เราไม่ได้หมายความว่าอาจารย์คนอื่นไม่ดีนะคะ แต่ว่าอาจารย์คนอื่นก็จะมีคอนเนคชั่นในแบบของเค้า ซึ่งคอนเนคชั่นนั้นอาจไม่ใช่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ถ้าไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโอกาสที่อาจารย์จะมีเงินสปอนเซอร์ให้นักเรียนก็น้อยลงไป
ข้อที่สองคือเราต้องตั้งใจอยู่ตลอด เป็นคนดี มีความพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หากแฟนเราทำตัวขี้เกียจ อาจารย์ D ไม่เห็นแวว เขาก็คงไม่แนะนำแฟนเราให้อาจารย์ S ให้เสียชื่อและเสียเพื่อน
ข้อสาม เมื่อได้มาเรียนยูดังแล้วก็ห้ามแผ่ว ให้ตั้งใจต่อไป แฟนเราบอกว่าคนบางคนพอเข้ายูดังได้แล้วก็เหมือนประสบความสำเร็จแล้ว ทำให้แผ่วลง ไม่กระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อน อันนี้จะส่งผลต่อการสมัครงานหลังเรียนจบค่ะ หากเราไม่ดี อาจารย์เขาก็คงไม่อยากแนะนำเราให้บริษัทต่างๆให้เขาเสียชื่อ เราเห็นบางคนเมื่อเรียนจบแล้วอาจารย์ก็ไม่ได้ช่วยแนะนำกริ๊งกร๊างอะไรเลยนะคะ หางานเอง หาไม่ได้ก็ต้องกลับบ้านตัวเองไป คือถ้าไม่ใช่ American citizen หลังเรียนจบเราสามารถสมัคร opt เพื่อหางานในอเมริกาได้ค่ะ (ประมาณ 1ปี) ถ้าหางานไม่ได้ภายใน 1 ปีก็ต้องกลับบ้านค่ะ ถ้าอยากอยู่ต่อก็ต้องเปลี่ยนประเภทวีซ่ากันไป
แฟนเราโชคดีได้งาน บริษัทก็สปอนเซอร์วีซ่าให้ค่ะ เปลี่ยนสถานะจาก student visa เป็น working visa หลังจากทำงานได้สองปีบริษัทก็ทำเรื่องสปอนเซอร์กรีนการ์ดให้
เรื่องสุดท้ายที่อยากจะบอก : ตอนนี้อาจารย์ D ไม่ได้สอนอยู่ที่ AIT แล้วนะคะ เขาออกไปอยู่มหาลัยแถบยุโรปนานแล้ว บอกว่าเบื่อการเมืองภายใน AIT ^^”
อาจารย์ S ก็ไม่ได้สอนอยู่ที่ UCB แล้วเช่นกันค่ะ เพิ่งถูกมหาลัยในยุโรปซื้อตัวไปเมื่อสองปีก่อน ^^”
สุดท้ายนี้ เราหวังว่าเรื่องของแฟนเราจะช่วยเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคน ที่กำลังมีความฝัน ขอให้ใช้ความพยายาม ให้มีความมุ่งมั่นต่อไปนะคะ ขีดเส้นทางเดินชีวิตของตัวเอง ตามหาอาจารย์ D อาจารย์ S ของตัวเองกันนะคะ