ที่จริงแล้ว ไม่ต้องตามหาหรอกครับ ผมแค่ ไปนั่งรอ ที่ฟู้ดคอร์ท ของห้าง สองที่นี้ บ่อย ๆ ทุกเย็น ผมก็มีโอกาศเจอเขาแล้วครับ
แต่ที่ต้องมาตามหาก็เพราะว่า....ผมไม่รู้จักเขาน่ะสิครับ
...
เราเจอกันค่อนข้างบ่อยครับ หรือจะเรียกว่า "ผมเจอเขา" บ่อย
เพราะผมเอาตัวเองให้ไปเจอครับ โดยการไปนั่งรอทุกวัน สลับที่ของทั้งสองห้างไป แล้วแต่วันไหนสะดวกห้างไหน เป็นเวลา 2 ปี เข้าปี ที่ 3 แล้วครับ
พูดถึง ห้าง สอง ห้างนี้
สองห้างนี้ อยู่ไม่ไกลกันครับ อยู่ฝั่งถนนเดียวกัน ห่างกันไม่เกิน 300 เมตร มีโรงหนังของแหล่งเดินเล่นเล็ก ๆ แหล่งหนึ่ง กั้นระหว่างกลาง อยู่บนถนนเส้นที่รถติดที่สุดใน กทม. โดยเฉพาะ 1-2 ปี ที่ผ่านมา ยิ่งติดเพราะมีงานก่อสร้าง
ในการเจอกัน
ครั้งแรก ๆ ที่เจอ 2-3 ครั้ง แน่นอนจะเจอที่ไหนได้ ...ฟู้ดคอร์ทสิครับ ...ไม่เจอที่โลตัส ก็เจอที่บิ๊กซี
ผมก็ไม่ได้อะไรมากหรอกครับ เพราะเขาก็ดูธรรมดาทั่วไป และก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะสนใจใยดีผมอยู่แล้ว ก็นั่งกินข้าวเหงา ๆ ของผมคนเดียวต่อไป ตามกิจวัตรประจำเย็น
แต่มีครั้งหนึ่ง ณ ห้างบิ๊กซี เขาตัดผมใหม่ครับ สั้นลงกว่าเดิมมาก และมันสะดุดตาผมเลยในทันที ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าผมได้ไปสนใจในการเปลี่ยนแปลงของเขาแต่เมื่อไหร่ ถึงทำให้แค่การตัดผมสั้นลงของเขา ทำให้ผมต้องอุทานในใจว่า "เฮ้ย!..." ละก็อมยิ้มออกมา
นั่นละครับ หลังจากอาการอมยิ้มของผมในวันนั้น ผมก็พาตัวเองไปเป็นลูกค้าประจำของฟู้ดคอร์ท 2 ห้างนี้ บางอาทิตย์ก็มีเจอ 1 วันบ้าง 2 วันบ้าง
บางอาทิตย์ก็ไม่เจอเลย มันรู้สึกทำให้ต้องชะเง้อหาอยู่ตลอด เขาทำงานที่ไหนหรือ พักแถวนี้แน่เลย รับราชการหรือเปล่านะ แต่ก็อาจทำที่อื่น หรือว่าอยู่กับแฟนที่นี่ ทุกวันก็อาจมาลงรถเมย์ที่นี่ วิแคะบวกมโนไปต่าง ๆ นานา แม้กระทั่งการเข้าไปเช็คดูคนที่เช็คอินในเฟสบุ๊ค ว่ามีเขาไหม
ไม่ได้กระวนกระวาย ไม่ได้โหยหา ก็แค่อยากเจอ
ให้นานกว่าที่เคย....
ใช่ครับชื่อเพลง
เขาอาจจะมาที่นี่
แค่อยู่ตรงนี้คนละเวลา
เขาอาจจะเดินเข้ามาหลังจากที่ฉัน
หันหลังเดินออกไป
ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ให้นานกว่าที่เคยมา
ใช้เวลามองหาให้นานกว่าที่เคยใช้
เดินให้ช้าลงกว่านี้ในทุกที่ที่เคยไป
มันจะเป็นไปได้ไหมที่จะได้พบใครคนนั้น
ทำตามเพลงสิครับ รออะไร
ทำทุกอย่างให้ช้าลง นั่งอยู่ตรงนั้นให้นานขึ้น บางวันนั่ง อยู่ 2 ชั่วโมง...แล้ว....
ก็ไม่เจอเลยสิครับ ไม่ต้องลุ้นว่าเจอกันหรือเปล่า...โถ่ แพท ไผ่ หลอกกูได้..
แต่พอทำตัวปกติ ไม่คาดหวังอะไร ก็ได้เจออีกครั้งครับ...และครั้งต่อ ๆ ไป
เกลียดตัวเองครั้งที่ 1
ณ บิ๊กซี ผมหาอะไรกินเรียบร้อยแล้วครับ กำลังนั่งแชทกับเพื่อนในไลน์อย่างสนุก ก้มหน้าแทบจะไม่ได้เงยเลยครับ
แล้วมันก็เหมือนมีคน ๆ หนึ่ง มานั่งข้าง ๆ ครับ แทบติดกันเลย แต่ก็ยังเป็นโต๊ะคนละโต๊ะ (เป็นกลุ่มโต๊ะที่วางเรียงยาวต่อกัน 3 โต๊ะ) ผมนั่งโต๊ะริม เขามานั่งโต๊ะกลางถัดจากขวามือผมไป เห็นแว๊บ ๆ ว่าใส่เสื้อสีเหลือง ก็วันจันทร์อะเนอะ ส่วนใหญ่คนก็ใส่เสื้อสีเหลือง ผมก็เช่นกัน ต่างคนต่างก็นั่งเล่นมือถือ โดยที่ผมไม่ได้เงยและหันหน้าไปมองหน้าคนข้าง ๆ เลย ตามนิสัย
เวลาผ่านไปราว ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ แล้วคนข้าง ๆ ก็ลุกเดินออกไป เดินไปอยู่ในระดับที่ี ผมสามารถเงยมองหน้าได้ โดยที่ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ...
[ คือปกติ ผมไม่มองหน้าใคร ที่ผมไม่รู้จัก หรือไม่คุ้น แบบตรง ๆ เลยครับ ยิ่งถ้ามาอยู่ด้านข้างนี่ ผมไม่กล้าหันไปมองเขาแน่นอน เพราะมันดูตั้งใจมากไป คิดเอาเองว่าไม่ควร ]
...และพอผมเงยหน้ามอง ก็รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันทีทันใดเลยครับ ใช่ครับ เขาคนนั้นนั่นเอง
ทำไรไม่ได้ มองค้างอยู่อย่างนั้น นิ้วมือก็กดปิดจอมือถือ ไม่คุยกับเพื่อนต่อ ในใจคือ ด่าตัวเองไปสารพัด มองดูเขาเดินไป..
แล้วผมก็ ลุก เดินออกไปอย่างล่องลอย ระยะทางกลับห้องกว่า 600 เมตร เดินไปด่าตัวเองไป
"ทำไมมีนิสัยแบบนี้ว่ะ"
"แล้วเมื่อไหร่จะมีใคร"
"ไอ้ฟายเอ้ย"
"แต่เดี๋ยวนะ โต๊ะถัดไป ไม่มีคนนั่งนิ"
"ทำไมเขาเลือกมานั่งโต๊ะกลางที่ติดกับกูว่ะ"
"อย่า อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ไอ้ฟายยย"
ไลน์ปรึกษาเพื่อนหลังจากผ่านไปร่วมปี
เพื่อน: ยิ้มบ้างสิ เวลาเดินสวนกับใครอะ มันแสดงถึงความเป็นมิตร ไม่งั้นใครจะกล้าเข้ามาในเมื่อเราไม่กล้าเข้าไป
ผม: เออ ๆ จะพยายาม กลัวเขาหาว่าบ้านี่หว่า ยิ้มให้คนไม่รู้จัก
เพื่อน: แต่แนะนำว่าให้เข้าไปถาม เข้าไปคุยเลย
ผม: ไปกันใหญ่ ยิ้มก็ยังไม่กล้ายิ้มเลย จะทักเขาเลยนี่นะ
เพื่อน: แล้วไง ไม่รู้จักกันนิ มีไรต้องเสีย คิดเอาเองนะ จะอยู่คนเดียวไปแบบนี้หรือเปล่า
ผม: .....
เขาไม่ได้มาคนเดียว
ไม่บ่อยนัก ที่เขาจะมากับคนอื่น
ครั้งแรกที่เจอ ก็ สวนกันเลยทีเดียว เขาเดินคุยกันมาสองคน
เป็นคนฉลาดไง ฉลาดเกิ้นน ดูปุ๊บก็มีเค้าลางว่า อืม... เป็นไปได้ว่า สมรสกันแล้ว
โลกแมร่ง โหดร้ายกับกูเกิ้นนน ครั้งแรกแท้ ๆ ที่เจอเขากับคนอื่น ให้เห็นห่าง ๆ ก็ไม่ได้ เล่นเอาสวนระยะประชิด หันมองตามสบตากูอีก แหมมม
ไม่ได้รู้จักกัน คุณจะมองมาทำไม คุณเดินกับคนของคุณไปสิ ....พอคล้อยหลัง ห่อเหี่ยวไปเลยกู แต่ก็ไม่วายหันกลับไป ตอกย้ำอีกรอบ ... เดินกลับห้อง อย่าง ล่องลอย....ไม่มีคำถามอะไร เพราะคิดตอบตัวเองไปในแว๊บแรกที่เห็นแล้ว พังไปทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว
จนต้องปลงให้ตัวเองไป กลับไปใช้ชีวิตตามปกติสามัญของเราไปดีกว่า
“เออ คิดไปเองคนเดียวมาตลอดก็แบบนี้แหละ จบเสียที ”
ก็ย้ายไปประจำอีกห้าง ยาว ๆ เลย นึกแล้วก็ขำดี เพ้อเจ้ออยู่ได้กับคนไม่รู้จัก ไม่กล้า ก็ไม่น่าจะต้องมาเพ้อเจ้อ ขนาดนี้
แต่ก็ยังได้เจอเขาเรื่อย ๆ อยู่ดี
โควิด-19
หลังปลดล็อคใหม่ ๆ ฟู้ดคอร์ท ก็ยังต้องปิด เพราะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมตามมาตรการป้องกัน
บิ๊กซี ทำการปรับปรุงฟู้ดคอร์ท เหลือโต๊ะและร้านค้าให้เลือกนั่งเลือกกินไม่มาก
ที่โลตัสก็พอจะ สามารถ นั่งกินได้แล้ว ก็เลยต้องฝากท้องไว้ที่โลตัส เพราะเบื่อกินอาหารที่ห้องแล้ว
กลับมาทำงานที่ออฟฟิสแล้ว เลิกงานก็ตรงไปโลตัส เช่นก่อนนี้
เจอสิครับ คราวนี้ เหมือนว่า ไม่มีที่จะให้เลือกมากนัก ก็เลยเจอเขาถี่มาก แทบทุกวันเลยก็ว่าได้
นั่งมองแผ่นหลังเขาเช่นเคยครับ เหมือนก่อนหน้านี้แหละ ผมไม่ได้บอกเนอะว่านั่งไง นี่ไงบอกละ ... นั่งมองแผ่นหลัง มองต้นคอบ้าง มองหัวบ้าง บางครั้งก็เยื้อง ๆ เลยได้มองติ่งหู เห็นแก้ม บ้าบอจริง ๆ
...เฮ้ยยย ไม่สิ ไม่ เขามาคนเดียว เกือบทุกวันเลยนะ ไหนคู่สมรสเขาละ หรือกู คิดเองเออเองไปอีกแล้วสิ เอาไงดี.....
วันถัดมา ไปนั่งตรงข้ามเลย แต่ไกลมากอยู่ และพยายามมอง ให้เขารู้ว่า ผมมอง มองเขานะ ถามว่าถ้าใกล้กล้ามองไม๊ละ ไม่กล้าสิ ก็เลยต้องนั่งไกลไง ปัดโถ่เอ้ยยไอ้ฟายยย..
เกลียดตัวเองครั้งที่ 2
ณ โลตัส กินข้าวเสร็จ เล่นมือถือ มองเขาไปด้วย พักใหญ่ ๆ ก็ได้เวลาลุกกลับ
ผมลุกมาก่อนเขา ลงบันได้เลื่อน (ห้างนี้ฟู้ดคอร์ท อยู่ชั้นบน) แล้วก็ไป เดินซื้อของใช้ส่วนตัว จากอีกมุมหนึ่ง และก็กำลังจะเดินไปสวนกับเขาอีกมุมหนึ่ง (นึกออกไหมครับ โลตัส ส่วนใหญ่ที่เดินซื้อของ มันจะเป็น ตัว U ถ้าเราเข้าทางหนึ่ง เราก็มักจะออกมาอีกทางหนึ่ง เพื่อมาจ่ายเงิน)
เอาละสิ ยังไงดี เขามาแล้วนั่นไกล ๆ ...เป็นไงเป็นกันว่ะ เดินสวน แถวเดียวกันนี่แหละไปเลย ไม่ต้องหลบ
ตึก ตึก ๆ ....แล้วสวนกันไป โดยที่หันหน้าไปให้รู้ว่ามองนิดนึง พอเป็นพิธี...
ยัง ยังไม่จบ เอาไงดีทีนี้ เขามาซื้อของ เดี๋ยวเขาต้องไปจ่ายเงิน
รอ ๆ มอง ๆ ... มายัง ๆ นั่นเขาไปจ่ายเงินละ ...เดี๋ยว! ใจเย็น ถ้าไม่อยากเป็นคนบ้า เป็นไอ้โรคจิต ก็ใจเย็น
สักอึดใจ ก็พาตัวเองเดินไปที่แคชเชียร์
....คิดในใจ เอ้ ๆ จ่ายเงินช่องไหนดีน้า (เดินวนช่องเขา และ อีกช่องเท่านั้นแหละ เฮ้ยย ไม่ ๆ ไม่ได้ตามมาน้า ไม่ได้ตาม จริง ๆ) ละก็เข้าไปต่อคิวหลังเขาเลย
ระหว่างรอจ่ายเงินนั้น คุณป้าด้านหน้า ก็ มีปัญหาอะไรไม่รู้ คิดในใจ (อย่างกะเขาจะได้ยิน) เฮ้อ มนุษย์ป้า ช้าจัง แต่มีอีกความคิดหนึ่งแว๊บขึ้นมาว่า “ช้ากว่านี้อีกก็ได้นะป้า”
แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เขาหันมาครับ หันมาเหมือนมอง มองผมเลยครับ คล้าย ๆ ว่า มองไปทางอื่นแหละ แต่ผมรู้ว่า หันมาเพื่อมองผม
ก็ยิ้มสิครับ ยิ้มให้ไปเลย อย่างที่เพื่อนบอก แล้วเขาก็ หันกลับไป ...อ้าววว ไงละ ยังไงสิ
แต่เขาก็หันมาทำแบบเดิมอีกครับ โอ๊ยยย เอาไง ๆ
นั้นไงตัวช่วย อีกช่องครับ คนว่าง เป็นทางออกที่ดี ละก็ปลีกตัวออกมา จ่ายเงิน อีกช่อง รวดเร็วทันใจ เดินออกจากห้างไปเลย
“ไอ้ฟายย เอ้ยยย”
“ย้ายช่องจ่ายเงินทำไม”
“ทางออกโง่ ๆ ไรของ”
“ไอ้ฟายยยย”
“เฮ้อออ อีกแล้วหรือกูเนี๊ยะ ทำตัวแบบนี้อีกแล้วหรือ”.....เฮ้ออออ
“แต่เดี๋ยวนะ คือกูใส่เมส เออ กูใส่เมส ชิหายย”
“แล้วเขาจะรู้ไม๊ ยิ้มให้เขา”
“ไอ้ฟายยยยย”
“........”
“ตากูก็ยิ้มนะ เห็นไม๊” ยิ้มกับกระจก
“เขาเห็นตากู เขาก็รู้แล้วว่า กูยิ้มให้”
“...เนอะ”
หลายวันต่อมา
“ไม่เจอเขาเลยเนอะ”
“ใช่สิ ใครจะอยากมาเจอละ”
“เขาคงอยากรู้จักแหละ”
“แต่หนีเขาไง ไอ้ฟายยย”
เขาไม่ได้มาคนเดียว Ep.II
หลังจากเขาหายหน้าไปหลายวัน
แล้วเขาก็มาให้เจอครับ แต่พาคู่สมรส (ในมโนของผม) มาด้วย
เขาพามานั่งที่เดิมของเขา ที่ตรงข้ามกับของผม แต่ผมดันมานั่งใกล้ที่เดิมของเขามากครับ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอ
ใจดีสู้เสือครับ ทำตัวปกติ มีมองไป เขามองมา จนผมเลือกที่จะก้มลงเล่นเกมส์ ไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนเขาเดินมาข้าง ๆ ครับ...
เปล่าครับ เขาไม่ได้เดินมาทัก เขาแค่พาคนของเขาเดินผ่านไปครับ แต่มันใกล้มาก ใกล้จนไม่กล้าที่จะเงยหน้ามอง (อาการเดิมอีกแล้ว) ถ้าเขาสังเกตุก็จะเห็นเลยว่า ผมก้มหน้าเล่นเกมส์ก็จริง แต่มือไม่ได้ขยับอะไรเลย มันค้างไปเลย
“โอ๊ย ทำเพื่อ?”
“เดินไปทางอื่นก็ได้”
“นี่ไม่ใช่ทาง เดินออกจากฟู้ดคอร์ทเสียหน่อย”
“อ๋อ เขาเดินไปกดน้ำที่ตู้ขายน้ำ”....มโนได้อี๊ก
ณ ปัจจุบัน
คิดมาหลายวัน หลายครา แล้วว่า ผมจะต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วจะทำอย่างไรดี คืออยากทำให้เขารู้ว่า ผมอยากรู้จัก
“เดี๋ยวเขียนโน้ตเขียนเบอร์ แล้วเดินเอาไปให้เขาเลย” .... ก็ได้แต่คิดไม่เคยกล้าทำ
“พันทิพย์ไม๊ เคยอ่านเขาตามหาคนได้นะ” .... กลัวเรื่องจะ สาธารณะเกินไป คิดไปสารพัดสารเพ ก็ไม่ทำ
จนมาวันนี้ วันที่ เข้ามา เขียนลงพันทิพย์ จริง ๆ
ก็เพราะเจอเขาอีกแล้ว แค่ไม่ถึง 1 นาที หันไปเจอ เสื้อสีส้มอิฐ มีกระเป๋าดำใบเล็กใบเดิม ถุงผ้าใบเล็กสีเขียว เหมือนว่าจะเพิ่งตัดผมมาใหม่ได้ไม่กี่วัน ...เขาก็มองมานะครับ
“คุณครับ คู้ณณ”
ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ เขาไม่ได้ทัก และผมก็ยังไม่กล้าทักเขาเช่นเคย มันเป็นเพียงเสียงตะโกนในใจของผม ที่กำลังเดินตามหลังเขา มันช่างดังมากมาย อยู่ในหัว มันเป็นเสียงที่ดังมาตอด 2 ปี กว่ามานี้ แล้วก็ยังดังจนเราแยกกันตรงทางแยกภายในห้าง ทางใครทางมัน เดินออกจากห้าง บิ๊กซี แห่งนี้ กันคนละทาง
ผมแค่อยากบอกเขาว่า “ผมจะย้ายห้องแล้วครับ”
ผมจะไม่อยู่แถวนี้แล้ว และเราก็อาจจะไม่ได้เป็นคนเจอหน้าที่ไม่รู้จักกัน อีกแล้ว
“ผมอยากรู้จักคุณครับ”
เพราะในไม่กี่วันข้างหน้า ผมก็คงไม่ได้มาแถวนี้ หรือหากมา ก็อาจไม่ใช่เวลาเดียวกับคุณ
"ง่าย ๆ แค่พูดออกไป" ครับ ผมเข้าใจถึงวิธีการ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกขั้นตอนครับ
เพียงแต่ผม สู้ กับ ความกลัวในใจผมไม่ได้
มันชนะครับ มันชนะผมมาทั้งชีวิต
ความหวังเล็ก ๆ
หากคุณได้เห็น กระทู้นี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า ผมคงย้ายไปอยู่แถวอื่นแล้ว...
หากที่ผมเล่ามาทั้งหมดทั้งมวล แล้วคุณคิดแบบเดียวกับผม เราใจตรงกัน แล้วหากได้เจอผมและเราได้เจอกันอีกครั้ง ผมหวังในใจ อยากให้คุณ ตรงเข้ามาทักผมครับ (คุณคงกล้าหาญมากกว่าผม) หรือเข้ามาถามทาง หรืออะไรก็ได้ เพื่อที่ผมจะได้มีโอกาสเอ่ยปากกับคุณสักครั้ง
ถึงแม้มันจะเป็นโอกาสที่ยากที่จะเกิดขึ้น เพราะทุกครั้งที่เจอ ก็เพราะผมเป็นฝ่ายพาร่างหน้าเกลียดของผมไปรอคุณ ผมจึงได้เจอคุณ...
หรือมันจะเป็นไปได้ไหม ที่คุณจะส่งข้อความทักผมมาในกระทู้นี้
ผมฝากทุกคนตามหาคน ๆ นั้นด้วยครับ...คนที่ผมอยากรู้จัก
ตามหาคน ๆ หนึ่ง ฝากแชร์ให้ถึงเขา เหตุเกิด ณ บิ๊กซี โลตัส
แต่ที่ต้องมาตามหาก็เพราะว่า....ผมไม่รู้จักเขาน่ะสิครับ
...
เราเจอกันค่อนข้างบ่อยครับ หรือจะเรียกว่า "ผมเจอเขา" บ่อย
เพราะผมเอาตัวเองให้ไปเจอครับ โดยการไปนั่งรอทุกวัน สลับที่ของทั้งสองห้างไป แล้วแต่วันไหนสะดวกห้างไหน เป็นเวลา 2 ปี เข้าปี ที่ 3 แล้วครับ
พูดถึง ห้าง สอง ห้างนี้
สองห้างนี้ อยู่ไม่ไกลกันครับ อยู่ฝั่งถนนเดียวกัน ห่างกันไม่เกิน 300 เมตร มีโรงหนังของแหล่งเดินเล่นเล็ก ๆ แหล่งหนึ่ง กั้นระหว่างกลาง อยู่บนถนนเส้นที่รถติดที่สุดใน กทม. โดยเฉพาะ 1-2 ปี ที่ผ่านมา ยิ่งติดเพราะมีงานก่อสร้าง
ในการเจอกัน
ครั้งแรก ๆ ที่เจอ 2-3 ครั้ง แน่นอนจะเจอที่ไหนได้ ...ฟู้ดคอร์ทสิครับ ...ไม่เจอที่โลตัส ก็เจอที่บิ๊กซี
ผมก็ไม่ได้อะไรมากหรอกครับ เพราะเขาก็ดูธรรมดาทั่วไป และก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะสนใจใยดีผมอยู่แล้ว ก็นั่งกินข้าวเหงา ๆ ของผมคนเดียวต่อไป ตามกิจวัตรประจำเย็น
แต่มีครั้งหนึ่ง ณ ห้างบิ๊กซี เขาตัดผมใหม่ครับ สั้นลงกว่าเดิมมาก และมันสะดุดตาผมเลยในทันที ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าผมได้ไปสนใจในการเปลี่ยนแปลงของเขาแต่เมื่อไหร่ ถึงทำให้แค่การตัดผมสั้นลงของเขา ทำให้ผมต้องอุทานในใจว่า "เฮ้ย!..." ละก็อมยิ้มออกมา
นั่นละครับ หลังจากอาการอมยิ้มของผมในวันนั้น ผมก็พาตัวเองไปเป็นลูกค้าประจำของฟู้ดคอร์ท 2 ห้างนี้ บางอาทิตย์ก็มีเจอ 1 วันบ้าง 2 วันบ้าง
บางอาทิตย์ก็ไม่เจอเลย มันรู้สึกทำให้ต้องชะเง้อหาอยู่ตลอด เขาทำงานที่ไหนหรือ พักแถวนี้แน่เลย รับราชการหรือเปล่านะ แต่ก็อาจทำที่อื่น หรือว่าอยู่กับแฟนที่นี่ ทุกวันก็อาจมาลงรถเมย์ที่นี่ วิแคะบวกมโนไปต่าง ๆ นานา แม้กระทั่งการเข้าไปเช็คดูคนที่เช็คอินในเฟสบุ๊ค ว่ามีเขาไหม
ไม่ได้กระวนกระวาย ไม่ได้โหยหา ก็แค่อยากเจอ
ให้นานกว่าที่เคย....
ใช่ครับชื่อเพลง
เขาอาจจะมาที่นี่
แค่อยู่ตรงนี้คนละเวลา
เขาอาจจะเดินเข้ามาหลังจากที่ฉัน
หันหลังเดินออกไป
ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ให้นานกว่าที่เคยมา
ใช้เวลามองหาให้นานกว่าที่เคยใช้
เดินให้ช้าลงกว่านี้ในทุกที่ที่เคยไป
มันจะเป็นไปได้ไหมที่จะได้พบใครคนนั้น
ทำตามเพลงสิครับ รออะไร
ทำทุกอย่างให้ช้าลง นั่งอยู่ตรงนั้นให้นานขึ้น บางวันนั่ง อยู่ 2 ชั่วโมง...แล้ว....
ก็ไม่เจอเลยสิครับ ไม่ต้องลุ้นว่าเจอกันหรือเปล่า...โถ่ แพท ไผ่ หลอกกูได้..
แต่พอทำตัวปกติ ไม่คาดหวังอะไร ก็ได้เจออีกครั้งครับ...และครั้งต่อ ๆ ไป
เกลียดตัวเองครั้งที่ 1
ณ บิ๊กซี ผมหาอะไรกินเรียบร้อยแล้วครับ กำลังนั่งแชทกับเพื่อนในไลน์อย่างสนุก ก้มหน้าแทบจะไม่ได้เงยเลยครับ
แล้วมันก็เหมือนมีคน ๆ หนึ่ง มานั่งข้าง ๆ ครับ แทบติดกันเลย แต่ก็ยังเป็นโต๊ะคนละโต๊ะ (เป็นกลุ่มโต๊ะที่วางเรียงยาวต่อกัน 3 โต๊ะ) ผมนั่งโต๊ะริม เขามานั่งโต๊ะกลางถัดจากขวามือผมไป เห็นแว๊บ ๆ ว่าใส่เสื้อสีเหลือง ก็วันจันทร์อะเนอะ ส่วนใหญ่คนก็ใส่เสื้อสีเหลือง ผมก็เช่นกัน ต่างคนต่างก็นั่งเล่นมือถือ โดยที่ผมไม่ได้เงยและหันหน้าไปมองหน้าคนข้าง ๆ เลย ตามนิสัย
เวลาผ่านไปราว ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ แล้วคนข้าง ๆ ก็ลุกเดินออกไป เดินไปอยู่ในระดับที่ี ผมสามารถเงยมองหน้าได้ โดยที่ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ...
[ คือปกติ ผมไม่มองหน้าใคร ที่ผมไม่รู้จัก หรือไม่คุ้น แบบตรง ๆ เลยครับ ยิ่งถ้ามาอยู่ด้านข้างนี่ ผมไม่กล้าหันไปมองเขาแน่นอน เพราะมันดูตั้งใจมากไป คิดเอาเองว่าไม่ควร ]
...และพอผมเงยหน้ามอง ก็รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันทีทันใดเลยครับ ใช่ครับ เขาคนนั้นนั่นเอง
ทำไรไม่ได้ มองค้างอยู่อย่างนั้น นิ้วมือก็กดปิดจอมือถือ ไม่คุยกับเพื่อนต่อ ในใจคือ ด่าตัวเองไปสารพัด มองดูเขาเดินไป..
แล้วผมก็ ลุก เดินออกไปอย่างล่องลอย ระยะทางกลับห้องกว่า 600 เมตร เดินไปด่าตัวเองไป
"ทำไมมีนิสัยแบบนี้ว่ะ"
"แล้วเมื่อไหร่จะมีใคร"
"ไอ้ฟายเอ้ย"
"แต่เดี๋ยวนะ โต๊ะถัดไป ไม่มีคนนั่งนิ"
"ทำไมเขาเลือกมานั่งโต๊ะกลางที่ติดกับกูว่ะ"
"อย่า อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ไอ้ฟายยย"
ไลน์ปรึกษาเพื่อนหลังจากผ่านไปร่วมปี
เพื่อน: ยิ้มบ้างสิ เวลาเดินสวนกับใครอะ มันแสดงถึงความเป็นมิตร ไม่งั้นใครจะกล้าเข้ามาในเมื่อเราไม่กล้าเข้าไป
ผม: เออ ๆ จะพยายาม กลัวเขาหาว่าบ้านี่หว่า ยิ้มให้คนไม่รู้จัก
เพื่อน: แต่แนะนำว่าให้เข้าไปถาม เข้าไปคุยเลย
ผม: ไปกันใหญ่ ยิ้มก็ยังไม่กล้ายิ้มเลย จะทักเขาเลยนี่นะ
เพื่อน: แล้วไง ไม่รู้จักกันนิ มีไรต้องเสีย คิดเอาเองนะ จะอยู่คนเดียวไปแบบนี้หรือเปล่า
ผม: .....
เขาไม่ได้มาคนเดียว
ไม่บ่อยนัก ที่เขาจะมากับคนอื่น
ครั้งแรกที่เจอ ก็ สวนกันเลยทีเดียว เขาเดินคุยกันมาสองคน
เป็นคนฉลาดไง ฉลาดเกิ้นน ดูปุ๊บก็มีเค้าลางว่า อืม... เป็นไปได้ว่า สมรสกันแล้ว
โลกแมร่ง โหดร้ายกับกูเกิ้นนน ครั้งแรกแท้ ๆ ที่เจอเขากับคนอื่น ให้เห็นห่าง ๆ ก็ไม่ได้ เล่นเอาสวนระยะประชิด หันมองตามสบตากูอีก แหมมม
ไม่ได้รู้จักกัน คุณจะมองมาทำไม คุณเดินกับคนของคุณไปสิ ....พอคล้อยหลัง ห่อเหี่ยวไปเลยกู แต่ก็ไม่วายหันกลับไป ตอกย้ำอีกรอบ ... เดินกลับห้อง อย่าง ล่องลอย....ไม่มีคำถามอะไร เพราะคิดตอบตัวเองไปในแว๊บแรกที่เห็นแล้ว พังไปทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว
จนต้องปลงให้ตัวเองไป กลับไปใช้ชีวิตตามปกติสามัญของเราไปดีกว่า
“เออ คิดไปเองคนเดียวมาตลอดก็แบบนี้แหละ จบเสียที ”
ก็ย้ายไปประจำอีกห้าง ยาว ๆ เลย นึกแล้วก็ขำดี เพ้อเจ้ออยู่ได้กับคนไม่รู้จัก ไม่กล้า ก็ไม่น่าจะต้องมาเพ้อเจ้อ ขนาดนี้
แต่ก็ยังได้เจอเขาเรื่อย ๆ อยู่ดี
โควิด-19
หลังปลดล็อคใหม่ ๆ ฟู้ดคอร์ท ก็ยังต้องปิด เพราะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมตามมาตรการป้องกัน
บิ๊กซี ทำการปรับปรุงฟู้ดคอร์ท เหลือโต๊ะและร้านค้าให้เลือกนั่งเลือกกินไม่มาก
ที่โลตัสก็พอจะ สามารถ นั่งกินได้แล้ว ก็เลยต้องฝากท้องไว้ที่โลตัส เพราะเบื่อกินอาหารที่ห้องแล้ว
กลับมาทำงานที่ออฟฟิสแล้ว เลิกงานก็ตรงไปโลตัส เช่นก่อนนี้
เจอสิครับ คราวนี้ เหมือนว่า ไม่มีที่จะให้เลือกมากนัก ก็เลยเจอเขาถี่มาก แทบทุกวันเลยก็ว่าได้
นั่งมองแผ่นหลังเขาเช่นเคยครับ เหมือนก่อนหน้านี้แหละ ผมไม่ได้บอกเนอะว่านั่งไง นี่ไงบอกละ ... นั่งมองแผ่นหลัง มองต้นคอบ้าง มองหัวบ้าง บางครั้งก็เยื้อง ๆ เลยได้มองติ่งหู เห็นแก้ม บ้าบอจริง ๆ
...เฮ้ยยย ไม่สิ ไม่ เขามาคนเดียว เกือบทุกวันเลยนะ ไหนคู่สมรสเขาละ หรือกู คิดเองเออเองไปอีกแล้วสิ เอาไงดี.....
วันถัดมา ไปนั่งตรงข้ามเลย แต่ไกลมากอยู่ และพยายามมอง ให้เขารู้ว่า ผมมอง มองเขานะ ถามว่าถ้าใกล้กล้ามองไม๊ละ ไม่กล้าสิ ก็เลยต้องนั่งไกลไง ปัดโถ่เอ้ยยไอ้ฟายยย..
เกลียดตัวเองครั้งที่ 2
ณ โลตัส กินข้าวเสร็จ เล่นมือถือ มองเขาไปด้วย พักใหญ่ ๆ ก็ได้เวลาลุกกลับ
ผมลุกมาก่อนเขา ลงบันได้เลื่อน (ห้างนี้ฟู้ดคอร์ท อยู่ชั้นบน) แล้วก็ไป เดินซื้อของใช้ส่วนตัว จากอีกมุมหนึ่ง และก็กำลังจะเดินไปสวนกับเขาอีกมุมหนึ่ง (นึกออกไหมครับ โลตัส ส่วนใหญ่ที่เดินซื้อของ มันจะเป็น ตัว U ถ้าเราเข้าทางหนึ่ง เราก็มักจะออกมาอีกทางหนึ่ง เพื่อมาจ่ายเงิน)
เอาละสิ ยังไงดี เขามาแล้วนั่นไกล ๆ ...เป็นไงเป็นกันว่ะ เดินสวน แถวเดียวกันนี่แหละไปเลย ไม่ต้องหลบ
ตึก ตึก ๆ ....แล้วสวนกันไป โดยที่หันหน้าไปให้รู้ว่ามองนิดนึง พอเป็นพิธี...
ยัง ยังไม่จบ เอาไงดีทีนี้ เขามาซื้อของ เดี๋ยวเขาต้องไปจ่ายเงิน
รอ ๆ มอง ๆ ... มายัง ๆ นั่นเขาไปจ่ายเงินละ ...เดี๋ยว! ใจเย็น ถ้าไม่อยากเป็นคนบ้า เป็นไอ้โรคจิต ก็ใจเย็น
สักอึดใจ ก็พาตัวเองเดินไปที่แคชเชียร์
....คิดในใจ เอ้ ๆ จ่ายเงินช่องไหนดีน้า (เดินวนช่องเขา และ อีกช่องเท่านั้นแหละ เฮ้ยย ไม่ ๆ ไม่ได้ตามมาน้า ไม่ได้ตาม จริง ๆ) ละก็เข้าไปต่อคิวหลังเขาเลย
ระหว่างรอจ่ายเงินนั้น คุณป้าด้านหน้า ก็ มีปัญหาอะไรไม่รู้ คิดในใจ (อย่างกะเขาจะได้ยิน) เฮ้อ มนุษย์ป้า ช้าจัง แต่มีอีกความคิดหนึ่งแว๊บขึ้นมาว่า “ช้ากว่านี้อีกก็ได้นะป้า”
แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เขาหันมาครับ หันมาเหมือนมอง มองผมเลยครับ คล้าย ๆ ว่า มองไปทางอื่นแหละ แต่ผมรู้ว่า หันมาเพื่อมองผม
ก็ยิ้มสิครับ ยิ้มให้ไปเลย อย่างที่เพื่อนบอก แล้วเขาก็ หันกลับไป ...อ้าววว ไงละ ยังไงสิ
แต่เขาก็หันมาทำแบบเดิมอีกครับ โอ๊ยยย เอาไง ๆ
นั้นไงตัวช่วย อีกช่องครับ คนว่าง เป็นทางออกที่ดี ละก็ปลีกตัวออกมา จ่ายเงิน อีกช่อง รวดเร็วทันใจ เดินออกจากห้างไปเลย
“ไอ้ฟายย เอ้ยยย”
“ย้ายช่องจ่ายเงินทำไม”
“ทางออกโง่ ๆ ไรของ”
“ไอ้ฟายยยย”
“เฮ้อออ อีกแล้วหรือกูเนี๊ยะ ทำตัวแบบนี้อีกแล้วหรือ”.....เฮ้ออออ
“แต่เดี๋ยวนะ คือกูใส่เมส เออ กูใส่เมส ชิหายย”
“แล้วเขาจะรู้ไม๊ ยิ้มให้เขา”
“ไอ้ฟายยยยย”
“........”
“ตากูก็ยิ้มนะ เห็นไม๊” ยิ้มกับกระจก
“เขาเห็นตากู เขาก็รู้แล้วว่า กูยิ้มให้”
“...เนอะ”
หลายวันต่อมา
“ไม่เจอเขาเลยเนอะ”
“ใช่สิ ใครจะอยากมาเจอละ”
“เขาคงอยากรู้จักแหละ”
“แต่หนีเขาไง ไอ้ฟายยย”
เขาไม่ได้มาคนเดียว Ep.II
หลังจากเขาหายหน้าไปหลายวัน
แล้วเขาก็มาให้เจอครับ แต่พาคู่สมรส (ในมโนของผม) มาด้วย
เขาพามานั่งที่เดิมของเขา ที่ตรงข้ามกับของผม แต่ผมดันมานั่งใกล้ที่เดิมของเขามากครับ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอ
ใจดีสู้เสือครับ ทำตัวปกติ มีมองไป เขามองมา จนผมเลือกที่จะก้มลงเล่นเกมส์ ไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนเขาเดินมาข้าง ๆ ครับ...
เปล่าครับ เขาไม่ได้เดินมาทัก เขาแค่พาคนของเขาเดินผ่านไปครับ แต่มันใกล้มาก ใกล้จนไม่กล้าที่จะเงยหน้ามอง (อาการเดิมอีกแล้ว) ถ้าเขาสังเกตุก็จะเห็นเลยว่า ผมก้มหน้าเล่นเกมส์ก็จริง แต่มือไม่ได้ขยับอะไรเลย มันค้างไปเลย
“โอ๊ย ทำเพื่อ?”
“เดินไปทางอื่นก็ได้”
“นี่ไม่ใช่ทาง เดินออกจากฟู้ดคอร์ทเสียหน่อย”
“อ๋อ เขาเดินไปกดน้ำที่ตู้ขายน้ำ”....มโนได้อี๊ก
ณ ปัจจุบัน
คิดมาหลายวัน หลายครา แล้วว่า ผมจะต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วจะทำอย่างไรดี คืออยากทำให้เขารู้ว่า ผมอยากรู้จัก
“เดี๋ยวเขียนโน้ตเขียนเบอร์ แล้วเดินเอาไปให้เขาเลย” .... ก็ได้แต่คิดไม่เคยกล้าทำ
“พันทิพย์ไม๊ เคยอ่านเขาตามหาคนได้นะ” .... กลัวเรื่องจะ สาธารณะเกินไป คิดไปสารพัดสารเพ ก็ไม่ทำ
จนมาวันนี้ วันที่ เข้ามา เขียนลงพันทิพย์ จริง ๆ
ก็เพราะเจอเขาอีกแล้ว แค่ไม่ถึง 1 นาที หันไปเจอ เสื้อสีส้มอิฐ มีกระเป๋าดำใบเล็กใบเดิม ถุงผ้าใบเล็กสีเขียว เหมือนว่าจะเพิ่งตัดผมมาใหม่ได้ไม่กี่วัน ...เขาก็มองมานะครับ
“คุณครับ คู้ณณ”
ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ เขาไม่ได้ทัก และผมก็ยังไม่กล้าทักเขาเช่นเคย มันเป็นเพียงเสียงตะโกนในใจของผม ที่กำลังเดินตามหลังเขา มันช่างดังมากมาย อยู่ในหัว มันเป็นเสียงที่ดังมาตอด 2 ปี กว่ามานี้ แล้วก็ยังดังจนเราแยกกันตรงทางแยกภายในห้าง ทางใครทางมัน เดินออกจากห้าง บิ๊กซี แห่งนี้ กันคนละทาง
ผมแค่อยากบอกเขาว่า “ผมจะย้ายห้องแล้วครับ”
ผมจะไม่อยู่แถวนี้แล้ว และเราก็อาจจะไม่ได้เป็นคนเจอหน้าที่ไม่รู้จักกัน อีกแล้ว
“ผมอยากรู้จักคุณครับ”
เพราะในไม่กี่วันข้างหน้า ผมก็คงไม่ได้มาแถวนี้ หรือหากมา ก็อาจไม่ใช่เวลาเดียวกับคุณ
"ง่าย ๆ แค่พูดออกไป" ครับ ผมเข้าใจถึงวิธีการ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกขั้นตอนครับ
เพียงแต่ผม สู้ กับ ความกลัวในใจผมไม่ได้
มันชนะครับ มันชนะผมมาทั้งชีวิต
ความหวังเล็ก ๆ
หากคุณได้เห็น กระทู้นี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า ผมคงย้ายไปอยู่แถวอื่นแล้ว...
หากที่ผมเล่ามาทั้งหมดทั้งมวล แล้วคุณคิดแบบเดียวกับผม เราใจตรงกัน แล้วหากได้เจอผมและเราได้เจอกันอีกครั้ง ผมหวังในใจ อยากให้คุณ ตรงเข้ามาทักผมครับ (คุณคงกล้าหาญมากกว่าผม) หรือเข้ามาถามทาง หรืออะไรก็ได้ เพื่อที่ผมจะได้มีโอกาสเอ่ยปากกับคุณสักครั้ง
ถึงแม้มันจะเป็นโอกาสที่ยากที่จะเกิดขึ้น เพราะทุกครั้งที่เจอ ก็เพราะผมเป็นฝ่ายพาร่างหน้าเกลียดของผมไปรอคุณ ผมจึงได้เจอคุณ...
หรือมันจะเป็นไปได้ไหม ที่คุณจะส่งข้อความทักผมมาในกระทู้นี้
ผมฝากทุกคนตามหาคน ๆ นั้นด้วยครับ...คนที่ผมอยากรู้จัก